War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2158

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2158 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

 ตอนที่ 2,158 : จ้าวลัทธิบูชาไฟทะลวงผ่าน?
 
กระทั่งให้เป็นพลังป้องกันของมังกรเทพยดา 7 กรงเล็บของเผ่าพันธุ์มังกร น่ากลัวว่าจะยังเทียบกับ โม่เซวียนไม่ได้
 
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะโม่เซวียนสำเร็จเวทย์พลังป้องกันโบราณ ที่กล่าวได้ว่าเป็นเวทย์พลังป้องกันอันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญอย่างยิ่งยวดอีกด้วย
 
มันไม่ใช่ผู้ฝึกตนมนุษย์!
 
มันไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ!!
 
ร่างที่แท้จริงของมันคือสัตว์เซียนชั้นสูง ราชาหมูป่าเกราะแดง! ซึ่งสัตว์เซียนสายพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามสัตว์เซียนที่มีพลังป้องกันสูงล้ำที่สุด ไม่ได้ด้อยไปกว่ามังกรเทพยดา 7 กรงเล็บแม้แต่น้อย!
 
นอกจากนั้นทุกคนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากปัจจุบัน
 
เพราะถึงแม้ร่างโม่เซวียนจะปกคลุมไปด้วยบาดแผลสาหัสทั่วทั้งตัว แต่ทว่าโลหิตนั้นไม่คล้ายไหลออกมาอีกต่อไป ที่สำคัญยังสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าบาดแผลทั้งหมดกำลังสมานตัว…เพียงแค่ 10 กว่าลมหายใจ บาดแผลที่เคยสาหัสก็ฟื้นฟูจนไม่ต่างอะไรจากบาดแผลธรรมดา อาการบาดเจ็บทั่วร่างฟื้นฟูไปกว่าครึ่ง!!
 
และนี่คืออีก 1 คุณลักษณะอันโดดเด่นของ ราชาหมูป่าเกราะแดง!
 
ความสามารถในการฟื้นฟู!
 
เรียกว่าไม่เพียงร่างกายของมันจะอึดถึกทนกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ยังมีความสามารถในการฟื้นฟูรักษาตัวอันน่ากลัว เรียกว่าเผ่าพันธุ์หมูป่าเกราะแดงนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์เซียนชั้นสูงที่ทนมือทนเท้าหรือ ‘ถึก’ ที่สุดในใต้หล้าก็ว่าได้!!
 
นอกจากนี้เมื่อรวมกับเรื่องที่โม่เซวียนดันเข้าใจเวทย์พลังป้องกันอันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเข้าไปอีก…
 
เช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของแดนดินอย่างเนี่ยอู๋เทียน แต่เกรงว่าหากไม่มียอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันติดตัว ก็คงไม่อาจเทียบเรื่องพลังป้องกันกับโม่เซวียนได้เลย…
 
ทว่าตัวตนเช่นนั้น หลังเข้าไปในระนาบเทียมที่คาดกันว่าถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือครึ่งก้าวเซียนอมตะ 3 คน…กลับออกมาในสภาพยับเยินขนาดนี้!
 
“ให้ตาย…ท่าทางที่เผยซื่อไห่กล่าวไว้ จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว…”
 
ท่ามกลางผู้คนที่กำลังตื่นตะลึง จงเฉินกับเฉิงอี้ข่ายย่อมดึงสติกลับมาได้ก่อนใคร พวกกมันอดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมาด้วยความหวั่นใจ กระทั่งยังรู้สึกขอบคุณสวรรค์ไม่น้อยที่พวกมันยังไม่ได้เข้าไป…
 
ไม่งั้นได้ตายอนาถแน่!
 
พรึ่บ!
 
หลังจากที่บาดแผลทั่วร่างเริ่มฟื้นฟูจนใกล้หายดีแล้ว โม่เซวียนก็สะบัดมือเรียกชุดคลุมตัวใหม่ออกมาสวมใส่ ค่อยหันไปมองจงเฉินด้วยสายตาลึกซึ้ง
 
และสายตานี้ของมันทำให้จงเฉินหวาดกลัวไม่น้อย
 
แต่สุดท้ายโม่เซวียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเหินร่างหายไปต่อหน้าต่อตาผู้คน
 
และในบรรดาผู้คนทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้ ก็มีเพียงจงเฉินกับเฉิงอี้ข่ายเท่านั้นที่สามารถมองตามความเคลื่อนไหวได้ทัน แม้จะเห็นเพียงแค่เงาเลือนที่วูบหายไปต่อหน้าต่อตาก็ตาม
 
หลังโม่เซวียนจากไปสักพัก ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็ทยอยกันกลับมารู้สึกตัว
 
หลังคืนสติแล้วทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดบนสนทนาออกมาด้วยความตื่นตระหนก และไม่ทันข้ามวันข่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ก็เริ่มแพร่กระจายออกไปด้วยความเร็ว ไม่นานก็รู้กันไปทั่วภูมิภาคเบื้องบน
 
“สถานที่ๆต้องสงสัยว่าถูกเหลือทิ้งไว้ด้วยฝีมือ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นช่างน่ากลัวเสียจริง…ไม่เพียงทำให้แขนเผยซื่อไห่กับกระบี่พันอาคมเซียนสลาย…ยังร้ายกาจถึงขั้นทำให้ อันดับ 3 ในรายนามยอดเซียนอย่างโม่เซวียนบาดเจ็บสาหัสได้เลยหรือ?”
 
“มารดามันเถอะ! ถึงใต้เท้าโม่เซวียนจะไม่มียอดศาสตราประเภทป้องกัน แต่พลังป้องกันส่วนตัวก็มิใช่ชั่ว ให้พูดกันตรงๆยังไม่อ่อนด้อยไปกว่าเผยซื่อไห่ที่ใช้ระฆังสุญตาด้วยซ้ำ! แต่เข้าไปในสถานที่ผีสางนั่นยังเจ็บหนัก…แล้วนี่หากผู้อื่นเข้าไปไม่ดับอนาถทันทีรึไร?”
 
“เรื่องนี้เป็นความจริง มีผู้เห็นเหตุการณ์หลายคน!”
 
“ตอนนี้ข้าอยากรู้นักว่า 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะพวกนั้นที่แท้เป็นใครกันแน่…สถานที่ผีสางมารดามันเช่นนั้น ยังไม่ใช่หลุมพรางที่จงใจขุดไว้อีกหรือ?”
 

 
ตอนนี้ผู้คนทั้งขุมพลังทั้งหมดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ได้ยืนยันถึงความน่ากลัวของสถานที่ๆเหลือไว้ด้วยน้ำมือของ 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะเรียบร้อย
 
ก่อนหน้านี้แม้ในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระจะเชื่อเรื่องราวไปแล้ว แต่สำหรับขุมพลังต่างๆยังไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องราวที่ลือกันสักเท่าไร เพราะอย่างไรวันนั้นก็เป็นคนของผู้ฝึกตนอิสระที่กล่าวแจ้งเรื่องนี้
 
ทั้งหลายยังคิดกันไปว่านี่อาจเป็นข่าวลวงที่ผู้ฝึกตนอิสระจงใจเผยแพร่ออกมา เพื่อที่จะ ‘ฮุบ’ มรดกทั้งสมบัติที่เหลือไว้โดยครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 3 นั่นไว้เอง…
 
ทว่าตอนนี้ทั้งหมดได้ตระหนักแล้ว ว่าเหล่าผู้ฝึกตนอิสระไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย
 
ไม่นานนักระนาบเทียมอันถูกสร้างขึ้นด้วยปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะ 3 ตนที่ต้วนหลิงเทียนติดแหง็กอยู่ ก็กลายเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับผู้คนในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…
 
เป็นธรรมดาทสำหรับต้วนหลิงเทียนที่ติดแหง็กอยู่ด้านใน จะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
 
ณ ทางตอนเหนือของแดนดิน สถานที่อันเหน็บหนาวถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี…
 
ปรากฏชายชราในชุดคลุมสีเทาหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาสูง สายตามองไปยังทิศใต้ อันเป็นทิศทางที่ตั้งของภาคกลางอย่างเลื่อนลอย
 
เกล็ดหิมะยังคงโปรปรายร่วงหล่นจากฟ้ามาไม่หยุด หากแต่เมื่อปุยขาวเย็นร่วงเข้าใกล้ร่างชายชรา พวกมันก็คล้ายถูกพลังที่มองไม่เห็นสลายหายไป คล้ายชายชราผู้นี้มีเวทมนตร์ก็ไม่ปาน
 
ฮู่ววว!
 
ดั่งสายลมแรงหนึ่งพัดผ่าน หอบไอเย็นทั้งก้อนหิมะจากฟ้าให้ม้วนวนเป็นกลุ่มก้อนปลิวไปวุ่นวาย
 
ด้านหลังชายชราพลันปรากฏร่างสตรีงดงามหนึ่ง
 
“ก่อนหน้านี้…ข้าเพียงคิดว่าการตามหาผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ทั้ง 7 เพียงเพื่อหาทางล้างแค้น 3 ลัทธิ ไม่ให้พวกมันได้ผยองถือดีเหมือนก่อนหน้า…กระทั่งให้พวกมันลิ้มรสความรู้สึกที่ต้องเดินก้มหน้าในแดนดินสักครา…”
 
แม้สตรีโฉมงามปรากฏตัวหากแต่ชายชราก็ไม่ได้หันไปสนใจนางแต่อย่างไร แต่อยู่ๆชายชราก็กล่าวคำออกมาอย่างเลื่อนลอย ไม่ทราบกล่าวกับตัวหรือกล่าวให้สตรีโฉมงามฟังกันแน่
 
“แต่ทว่ายามนี้…ดูเหมือนในอนาคต 7 ทวาราเที่ยงแท้เราไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องล้างแค้นลัทธิให้พวกมันโงหัวไม่ขึ้นด้วยซ้ำ! กระทั่งจะลบล้างบ่อนทำลายถอนรากถอนโคนพวกมันให้สิ้นซากก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”
 
ชายชรายังกล่าวสืบต่อ
 
“ท่านกล่าวเช่นนี้…”
 
สตรีโฉมงามพลันกล่าวออกมา คล้ายจะต่อคำ “ใช่เพราะสาวน้อยทั้ง 3 นั่นกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วง หรือไม่?”
 
“ใช่”
 
ชายชราพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าเพียงคิดว่ามีเพียงพรสวรรค์รากวิญญาณของสาวน้อยผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสงเท่านั้นทีสามารถยกระดับกลายเป็นสีม่วงได้…แต่ไม่คิดเลยว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของแม่หนูอีก 2 คนนั่นจักกลายเป็นสีม่วงด้วย”
 
“สำหรับพวกเรา 7 ทวาราเที่ยงแท้รุ่นก่อนแล้ว นี่นับเป็นความสุขความยินดีที่มาอย่างมิทันให้ตั้งตัวนัก…เจ้าลองคิดภาพอนาคตยามพวกนางเติบโตโดยมีทายาทหมอกพิรุณนำพาดูเถอะ! กระทั่งข้ายังมิอาจทำนายถึงความสำเร็จของรุ่นเยาว์เหล่านี้ได้เลย แต่ดูเหมือนคิดกำจัด 3 ลัทธิจักมิใช่เรื่องยากอันใดอีกต่อไป เจ้าเห็นด้วยหรือไม่เล่า?”
 
ชายชรากล่าวออกมาอีกครั้ง
 
และฟังจากวาจาที่กล่าวมาของชายชรา
 
เห็นได้ชัดว่ามันคือผู้สืบทอดความลับสวรรค์รุ่นก่อน ผู้เฒ่าพยากรณ์!
 
สำหรับสตรีโฉมงามนั้นไม่พ้นผู้สืบทอดธุลีแดง อาจารย์ของหานเฉวี่ยไน่!
 
“เฒ่าพยากรณ์…นี่ท่านจะไม่ดูเบา 3 ลัทธิมากไปหน่อยหรือ?”
 
สตรีโฉมงามส่ายหัวพลางกล่าว “ย้อนกลับไปในอดีต สมัยที่บรรพชน 7 ทวาราเที่ยงแท้พวกเราอยู่ในยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด ยุคสมัยที่ถูกนำโดยท่านบรรพชนเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง…ตอนนั้นท่านบรรพชนเซียนกระบี่เป็นดั่งตัวตนไร้พ่ายในแดนดิน เรียกว่าหนึ่งในใต้หล้าก็ไม่เกินเลย…”
 
“ทว่าแม้จะเป็นยุคนั้นของท่านบรรพชนเซียนกระบี่ ก็ยังมิอาจทำลาย 3 ลัทธิได้…แล้วท่านคิดวว่าผู้สืบทอด 7 ทวาราเที่ยงแท้รุ่นนี้ ยังเหนือกว่ายุคสมัยของท่านบรรพชนเซียนกระบี่อีกรึ?”
 
ทันทีที่สตรีโฉมงามกล่าวประโยคนี้ออกมา ชายชราก็นิ่งเงียบไปทันที
 
“แน่นอนว่าทั้งหมดอาจเป็นเพราะท่านบรรพชนเซียนกระบี่มีจิตเมตตาไม่ล้างผลาญชีวิตผู้คนราวผักปลา…แต่นั่นก็มิใช่ว่าจะแน่นัก เพราะบางทีพวก 3 ลัทธิอาจมีไพ่ลับอันใดที่พวกเรายังไม่ล่วงรู้ก็ได้?”
 
สตรีโฉมงามกล่าวเสริม
 
“ที่เจ้ากล่าวก็มีเหตุผล”
 
ผู้เฒ่าพยากรณ์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำที่หญิงงามพูด
 
“อย่างไรก็ตาม จากการทำนายครั้งสุดท้ายของข้า…คราวนี้ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา 7 ทวาราเที่ยงแท้อาจมิใช่พวก 3 ลัทธิ!”
 
ขณะที่กล่าวประโยคนี้ออกมาสีหน้าท่าทางของผู้เฒ่าพยากรณ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังนัก
 
“ท่านหมายถึง…พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจจากแดนเนรเทศรึ?”
 
สตรีงามหยีตาถามออก
 
“มิผิด”
 
เฒ่าพยากรณ์พยักหน้ารับแข็งขัน
 
“เผ่าพันธุ์ปีศาจหวนกลับมาแล้วหรือ…”
 
ถึงแม้สตรีโฉมงามจะไม่ได้มีประสบการณ์ในยุคมนุษย์ปีศาจโดยตรง แต่ทว่าจากบันทึกของบรรพชนธุลีแดงที่สตรีงามไดรับสืบทอดมา นับว่าได้รับทราบความเลวร้ายของยุคมนุษย์ปีศาจชัดเจนนัก
 
ในยุคมนุษย์ปีศาจดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นภูมิภาคเบื้องบนกับเบื้องล่างแบบนี้
 
ในตอนนั้นการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เสมือนหายนะครั้งใหญ่ที่โลกต้องเผชิญ…เป็นหายนะที่อาจทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ชาติสิ้นสูญ!
 
“สมควรมาแล้ว 8 หรือ 9 ใน 10 ส่วน…เพราะตอนนี้ข้ามิอาจทำนายหรือหยั่งรู้ลิขิตฟ้าของภูมิภาคเบื้องล่างได้เลย”
 
เฒ่าพยากรณ์ส่ายหัวไปมาพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “อย่าว่าแต่เจ้าเด็กน้อยทั้ง 3…กระทั่งจ้าวตำหนักเมฆาครามอย่างต้วนหรูเฟิง กระทั่งผู้คนรอบๆ ข้าก็มิอาจอ่านชะตาของผู้ใดได้ ยากจะคำนวณสถานการณ์ในปัจจุบันของพวกมันนัก เสมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นกำแพงหนึ่งปิดกั้นข้าจากการทำนายชะตาของพวกมัน…”
 
สตรีงามได้ยินดังนั้น ก็เงียบไป
 
หลังจากนั้นไม่นาน นางพลันเอ่ยออกอีกครั้งและน้ำเสียงที่เอ่ยก็เต็มไปด้วยความสงสัย “แล้วถ้าหากพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกรุกเข้ามาจริง…พวกเด็กน้อยเหล่านี้ จักมีเวลามากพอให้เติบโตหรือไม่?”
 
“ข้า…ไม่ทราบ”
 
เฒ่าพยากรณ์กล่าววาจาที่หากได้ยากยิ่งออกมา นับเป็นวาจาที่น้อยครั้งมันจะกล่าวออก!
 
ณ ภาคตะวันตก…ลัทธิบูชาไฟ
 
ภายในแท่นบูชาจตุรทิศอันเป็นปราการที่ห้อมล้อมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟเอาไว้…
 
ปกตินั้นมักเต็มไปด้วยความสงบ ยากมีใครก่อกวน ทว่าอยู่ดีๆวันนี้ทั่วทุกหัวระแหงของแท่นบูชาจตุรทิศ พลันมีกลิ่นอายพลังมหาศาลขุมหนึ่งกดดับลงมาจากฟากฟ้า ยังเป็นกลิ่นอายพลังอันมหาศาลสุดที่ผู้ใดจะเทียบเทียมได้!!
 
กลิ่นอายพลังนี้สมคววรโถมถันลงมาจากฟ้าเบื้องบน เหนือทะเลเมฆ ทั้งอยู่เหนือเกาะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอีกที!!
 
แน่นอนว่ากลิ่นอายพลังสุดไพศาลเมื่อโถมถันลงมาแบบนี้ สถานที่ๆสัมผัสได้ถึงก่อนย่อมเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นสถานที่ๆผู้คนในดินแดนศักดิสิทธิ์มารวมตัวกันอยู่เยอะที่สุด!
 
ภายในเกาะศักดิ์สิทธิ์ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังทรงอำนาจทั้งครอบงำปานไร้ผู้ต้าน ก็ทำให้เหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยถึงกับร่างสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว
 
ตอนนี้พวกมันเสมือนสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอ่อนแอในป่า ที่ได้พบพานกับเจ้าป่าอันน่าเกรงขาม!
 
ที่บังเกิดขึ้นกับพวกมัน เป็นความกลัวจากสัญชาตญาณ!
 
“นะ…นี่มันกลิ่นอายพลังของผู้ใดกันแน่?”
 
ศิษย์ที่แท้จริงและอาวุโสเพลิงทองแดงมากมายอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังดังกล่าว แตกตื่นกันยกใหญ่
 
“ช้าก่อน…กลิ่นอายพลังนี่มัน…ระ…หรือว่า…”
 
ทว่าอาวุโสเพลิงเงินหลายคนคล้ายตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ลูกตาของพวกมันลุกวาวสว่างจ้า ใบหน้าฉาบไว้ด้วยความยินดีแจ่มชัด
 
ชณะเดียวกัน จากแท่นบูชาจตุรทิศ จ้าวแท่นบูชามังกรคราม จ้าวแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว จ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬและจ้าวแท่นบูชานกไฟต่างพร้อมใจกันเหินร่างขึ้นฟ้า ปรี่ตรงไปยังทิศทางเกาะศักดิ์สิทธิ์ด้ววยความเร็วสูง
 
กล่าวให้ชัด เนสถานที่อันลอยล่องอยู่เหนือเกาะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปบนฟ้าสูง!
 
กระทั่งในเขตเหมืองแร่ต่างๆที่สำคัญๆของลัทธิบูชาไฟ ก็มีร่างระดับสูงหลายคนพากันเหินทะยานขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
 
ณ เขตหอคุมกฏ บนเกาะศักดิ์สิทธิ์
 
ภายในหุบเขาอันเงียบสงัด ลานเล็กๆที่แลดูธรรมดาๆแห่งหนึ่ง
 
ชายชราที่นอนเอนกายอย่างผ่อนคลายสบายอารมรณ์บนเก้าอี้เอนในลาน พอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่แผ่ซ่านลงมาจากฟ้าเบื้องบน ร่างชราพลันทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมานั่งหลังตรงทันที ลูกตายังหดเล็กหน้าตาแลดูตื่นๆ
 
“ท่านจ้าวลัทธิทะลวงด่านแล้วรึ!?”
 
ชายชราดังกล่าวเร่งจัดชุดเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ก่อนที่จะเร่งรุดเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าพลางพึมพำกับตัวเสียงเบาด้วยความแปลกประหลาดใจ…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด