War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2043

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2043 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 2,043 : จูลู่ฉีตกอยู่ในอันตราย!
 
“ข้าไม่เอาไหน…ทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวัง…”
 
ได้ยินคำของต่งหยวนจิ้น ต่งหลินก็ได้แต่ก้มหน้าลงไปด้วยความอับอาย แววตาเผยประกายเย็นเยียบ
 
เป็นธรรมดาที่ประกายเย็นเยียบในแววตาไม่ได้เพ่งเล็งไปที่บิดา แต่เป็นต้วนหลิงเทียน!
 
หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียน ไหนเลยมันจะต้องบากหน้ามาหาบิดาเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ?
 
หากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียน ไหนเลยมันจะได้ยินน้ำเสียงผิดหวังจากบิดามัน?
 
แต่ต้นจนจบต่งหลินโทษว่าเป็นความผิดของต้วนหลิงเทียนทั้งหมด!
 
มันไม่เคยคิดว่าเป็นเพราะตัวมันไม่เอาไหนเลย
 
ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามันเป็นฝ่ายไปหาเรื่องต้วนหลิงเทียนก่อน
 
หากมันยังมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ป่านนี้คงไปเร่งบ่มเพาะพลังฝีมือเพื่อล้างแค้นต้วนหลิงเทียนแล้ว ไหนเลยยังต้องถ่อมาหาบิดา?
 
“พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกเจ้าล้วนเป็นสีน้ำเงินทั้งคู่…ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถล้างความอัปยศนี้ได้ด้วยตัวเอง อย่าคิดแต่จะพึ่งพาความช่วยเหลือจากข้า!”
 
ต่งหยวนจิ้นมองกล่าวกกับต่งหลินด้วยท่าทางจริงจัง ทว่าลึกลงไปในแววตาก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน “ทว่าครั้งนี้ข้าจะให้เหล่าหยางไปฝากฝังเรื่องราวไว้กับเถียนตง พรุ่งนี้เจ้าก็ไปหาเถียนตรงพร้อมเหล่าหยางเถอะ…”
 
ได้ยินคำของต่งหยวนจิ้น ลูกตาต่งหลินเผยประกายสว่างวาบขึ้นมาทันที “อาวุโสเถียนตง!”
 
เถียนตงนั้นก็เป็นอาวุโสของหอคุมกฏเช่นกัน ยังเป็นอาวุโสเพลิงเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในหอคุมกฏ!
 
และด้วยความที่อีกฝ่ายมีหน้าที่การงานดีๆได้เช่นนี้ ก็เพราะมีบิดามันหนุนเสริม จึงกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของบิดามันก็ว่าได้!
 
เช่นนั้นแล้วพอมันได้ยินบิดากล่าวให้ไปหาเถียนตง มันก็ยินดีนักเพราะมันจะได้ใช้เถียนตงสั่งสอนต้วนหลิงเทียน
 
เมื่อเห็นว่าต่งหลินถึงกับแสดงความยินดีออกมาอย่างออกหน้าออกตา ที่จะได้อาศัยผู้อื่นจัดการความแค้นส่วนตัว ต่งหยวนจิ้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง
 
แต่แม้มันจะผิดหวังมันก็ทำอะไรไม่ได้
 
ใครใช้ให้ลูกชายคนนี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของมันเล่า
 
ไม่ว่าลูกชายของมันจะเป็นคนไม่เอาไหนหรือไม่ แต่อย่างไรมันก็รักและเอ็นดูอีกฝ่ายที่สุด
 
มันเองก็ทนไม่ได้ที่มีใครมารังแกบุตรชาย
 
แต่เป็นธรรมดาที่แม้ต้วนหลิงเทียนจะรังแกบุตรชายมัน แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ได้กระทำใดเป็นการล้ำเส้น มันจึงไม่คิดจะลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง
 
“ขอบคุณท่านพ่อ! เช่นนั้นลูกขอตัวลาไปก่อน!”
 
ไม่นานต่งหลินก็ดึงสติกลับมา มันรีบเร่งประสานมือกล่าวขอบคุณบิดาทันที ค่อยหันไปมองชายชราร่างผอมกล่าวว่า “เหล่าหยางเช่นนันวันนี้ข้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะมาหาท่านและไปหาอาวุโสเถียนตงด้วยกัน”
 
ก่อนกลับ ต่งหลินไม่วายหันมามองชายชราร่างผอมพร้อมกล่าวย้ำ
 
“ข้าไปก่อนแล้ว”
 
จนเมื่อได้เห็นชายชราร่างผอมพยักหน้า ต่งหลินค่อยจากไปด้วยใบหน้าเบิกบาน
 
มองแผ่นหลังต่งหลินที่จากไปไวๆ ชายชราร่างผอมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลอบกล่าวในใจ ‘นายน้อยเป็นเช่นนี้ ไหนเลยยังไม่ให้นายท่านผิดหวังได้…’
 
เรื่องที่ต่งหลินไปหาบิดาอย่างต่งหยวนจิ้น 1 ใน 2 รองจ้าวหอคุมกฏนั้น เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เรื่อง
 
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างแข็งขัน!
 
เป้าหมายต่อไปของเขาตอนนี้ก็คือ ทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นกลาง!
 
หากทะลวงผ่านแล้วล่ะก็ คราวนี้ต่อให้ไม่ต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์…แต่เขาก็สามารถเอาชนะเซียนสรรค์ 2 เปลี่ยนทั่วไปได้ด้วยพลังของเขา…แน่นอนว่าเป็นแค่เซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนทั่วๆไป!
 
หากเป็นชนชั้นยอดฝีมือของขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนอย่าง เวินเยี่ยน ต่อให้เขาจะทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นกลางแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเอาชนะนางได้หากไม่พึ่งพากระบี่นิลสวรรค์
 
ยังนับประสาอะไรกับก่านหรูเยี่ยน
 
ชนชั้นยอดฝีมือของเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน แน่นอนว่ายังมีความต่างของพลังฝีมือไม่น้อย
 
อย่างเช่นก่านหรูเยี่ยนที่สามารถมีชื่ออยู่ในรายนามยอดเซียนได้ แม้จะเป็นอันดับท้ายๆ ทว่าเวินเยี่ยนกับหลิวอวิ๋นที่บรรลุด่านพลังเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนเช่นเดียวกัน กลับไม่อาจติดอันดับได้
 
‘หากข้าทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นกลาง ข้าควรเอาชนะศิษย์พี่หลิวอวิ๋นได้โดยไม่ต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์…’
 
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ ‘แต่สำหรับยอดฝีมืออย่างก่านหรูเยี่ยน เกรงว่าข้าต้องทะลวงให้ถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุดซะก่อน ถึงจะเอาชนะนางได้โดยไม่ต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์…’
 
ต้วนหลิงเทียนได้เรียนรู้เรื่องราวไม่น้อยในระหว่างอยู่ที่ลัทธิบูชาไฟ
 
เขาเข้าใจพลังฝีมือของขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนดี
 
‘แต่ก่านหรูเยี่ยนก็ยังไม่ถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยน…หากข้าคิดเอาชนะเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนที่แข็งแกร่งที่สุดจริงๆโดยไม่พึ่งกระบี่นิลสวรรค์ น่ากลัวว่าพลังฝึกกปรือของข้าต้องบรรลุถึงเซียนนภาขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ’
 
ต้วนหลิงเทียนรู้ชัด
 
ขอบเขตเซียนสวรรค์นั้นแม้จะอยู่ในขั้นเดียวกัน แต่ความต่างพลังก็ยังมีมากมาย
 
ยิ่งแต่ละการเปลี่ยนแปลงของขอบเขตเซียนสวรรค์ยิ่งแล้วใหญ่ ความต่างระหว่างหนึ่งเปลี่ยนเป็นอะไรที่กว้างใหญ่นัก!
 
เรียกว่าแต่ละเปลี่ยนไม่ได้ด้อยไปกว่าความต่างระหว่างผู้ฝึกตนเซียนมนุษย์กับเซียนปฐพี และเซียนปฐพีกับเซียนนภาแม้แต่น้อย
 
ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนเร่งบ่มเพาะพลังฝีมือเป็นบ้าเป็นหลัง
 
เพราะเขารู้ดีแก่ใจ ว่าคิดจะช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกได้ มีเพียงต้องพึ่งพาพลังของตัวเองเท่านั้น
 
และเขาต้องพยายามยกระดับพลังฝีมือให้สูงพอจะช่วยเค่อเอ๋อแม่ลูกให้ได้ก่อนที่จ้าวลัทธิบูชาไฟจะออกจากการกักตัวฝึกตน!
 
หาไม่แล้วยังจะมีใครบอกเขาได้บ้างว่าจ้าวลัทธิออกด่านมาแล้วมันจะทำอะไรกับเค่อเอ๋อและลูกสาวเขา?
 
ต้วนหลิงเทียนไม่อยากให้บังเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น!
 
ค่ำคืนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
 
สำหรับต้วนหลิงเทียน คืนหนึ่งก็เทียบได้กับ 5 วันในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
 
เช่นนั้นพลังฝึกปรือของเขาก็กระเตื้องขึ้นไม่น้อย เข้าใกล้เซียนปฐพีขั้นกลางไปอีกก้าว
 
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจะออกจากส่วนที่พักของหอคุมกฏ เพื่อไปรายงานตัวที่หอหลักและทำงานที่ได้รับมอบหมายให้นั้น
 
ภายในสภานที่อันมีบรรยากาศลี้ลับอึมครึมน่ากลัวแห่งหนึ่ง…ปรากฏร่างจูลู่ฉีกำลังเดินทางด้วยสายตาหวาดกลัว
 
ไม่ผิด
 
มันคือจูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ที่ก่อนหน้านี้ได้บ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยิน จนถูกยอดฝีมือในภูมิภาคเบื้องล่างรว่มมือกันตามล่าเพื่อฆ่าให้ตาย
 
อย่างไรก็ตาม หลังจากชำระความแค้นแล้ว จูลู่ฉีก็ได้กลับใจ และเลือกติดตามต้วนหลิงเทียนมายังภูมิภาคเบื้องบน จนได้เข้าร่วมกับแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวของลัทธิบูชาไฟ
 
และเมื่อไม่นานมานี้ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ได้ร้องขอให้อาวุโสกัวฉงช่วยนำหยกบันทึกเสียงของเขาไปส่งให้จูลู่ฉี
 
ในหยกบันทึกเสียงล้วนเป็นคำขอให้จูลู่ฉีย้อนกลับไปยังภูมิภาคเบื้องล่าง เพื่อไปแจ้งบิดาเขาที่ตำหนักเมฆาครามให้เร่งอพยพผู้คนไปยังสถานที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด
 
เพราะสุดท้ายแล้วด้วยอำนาจของอาวุโสหลี่อันผู้เป็นถึงอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ ไม่นานต้องพบเจอตัวตนของเขา และกระทั่งพบเจอตำหนักเมฆาครามของบิดาเขาแน่!
 
ภายใต้สถานการณ์คับขันวันนั้น เขาที่ได้เปิดเผยออกไปว่าเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ ทำให้หลี่อันกับหยางชงได้รับเบาะแสสำคัญว่าเขาสมควรมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง
 
ด้วยอำนาจของหลี่อันกับหยางชง ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะส่งคนมาสืบพบฐานะเขาได้ในเวลาอันสั้น
 
นั่นเพราะนามต้วนหลิงเทียนในภูมิภาคเบื้องล่าง แม้เขาจะไม่กล้าพูดว่าทุกคนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะรู้จักเขา แต่น่ากลัวว่าคนส่วนใหญ่ล้วนรู้จักเขาดี
 
ทำให้ไม่ว่าจะหลี่อันหรือหยางชง ขอเพียงส่งคนมาสืบเสาะเรื่องราว เกรงว่าคงไม่ทันข้ามวันต้องรับทราบแน่ว่าเขามาจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักเมฆาคราม!
 
และถึงตอนนั้นตำหนักเมฆาคราม คงไม่อาจรอดพ้นหายนะ!
 
ภายใต้สถานการณ์ร้ายแรงดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนจึงร้องขอให้จูลู่ฉีเร่งรุดเดินทางย้อนกลับไปภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อส่งข่าวให้ต้วนหรูเฟิง!
 
ต้วนหลิงเทียนเชื่อมั่นว่าด้วยความสามารถของบิดาเขา ทันทีที่ได้รับแจ้งข่าวทันท่วงที ย่อมมีวิธีจัดการเรื่องราว และสามารถหายเข้ากลีบเมฆจนยากที่จะมีใครพบเจอได้แน่
 
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกลับไม่คิดไม่ฝันเลย
 
ว่าจูลู่ฉีจะประสบกับอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขณะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามแดน…
 
มันไม่ได้ถูกส่งตัวไปยังภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่กลับถูกส่งมาที่ใดก็ไม่ทราบ และบรรยากาศในสถานที่แห่งนี้ก็น่าขนลุกนัก
 
สถานที่แห่งนี้มองไปเสมือนถูกชโลมย้อมไปด้วยสีเทา
 
ผืนฟ้ามืดมิดตลอดเวลา ไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าที่แท้นี่มันกลางวันหรือกกลางคืนกันแน่
 
จูลู่ฉีเองก็ตระหนักได้หลังจากมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้ไม่นาน
 
“สถานที่แห่งนี้มันเป็นสถานที่ผีสางอันใดกันแน่ ดูเหมือนจักมิใช่ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…”
 
จูลู่ฉีแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าอันมืดมิด ที่แลเห็นก็มีเพียงจันทร์สีเลือดที่ชวนสยดสยอง ให้ความรู้สึกมืดมนและน่าขนลุกพิกล
 
ฟ้าที่มืดมิดไร้ซึ่งสรรพแสงอื่นใด คงเหลือเพียงแสงจันทร์สีเลือดที่ย้อมโลกเบื้องหน้าให้เป็นสีเทา…
 
‘พลังวิญญาณฟ้าดินในสถานที่ผีสางนี่ช่างน้อยนิดยิ่งนัก ยังน้อยเสียยิ่งกว่าดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างเสียอีก…ข้ารู้สึกเสมือนเดินวนเวียนอยู่นานเป็นเดือนแล้ว แต่กลับมิมีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอันใด’
 
จูลู่ฉีเดินทางไปอย่างไร้จุดหมายมาเนิ่นนาน มองไปทางใดก็เห็นเพียงต้นไม้ไร้ใบ ต่างแห้งเหี่ยวเน่าเปื่อยผุพัง ชวนให้ขนพองสยองเกล้านัก
 
ด้วยไร้วันคืน ยิ่งทำให้มันไม่อาจล่วงรู้ ว่าที่แท้กาลเวลามันผันผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด
 
หากแต่ในความรู้สึก มันเสมือนตกอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานหลายเดือน
 
แน่นอนว่าจูลู่ฉีรู้ดีว่าเวลายังไม่ผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนั้น
 
เพียงเพราะบรรยากาศของที่แห่งนี้มันมืดมนชวนขนลุก ทำให้แต่ละวินาทีมันเนิ่นนานปานชั่วโมง
 
สำหรับสถานที่ๆคล้ายจะไร้ซึ่งสิ่งใดเช่นนี้ จูลู่ฉีย่อมบังเกิดความเบื่อหน่าย ทั้งหวาดระแวงไม่น้อย
 
อย่างไรก็ตาม มันไม่รู้เลยว่าจะย้อนกลับไปได้อย่างไร
 
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับค่ายกกลเคลื่อนย้ายข้ามแดนกันแน่…ไฉนมันถึงส่งข้ามาสถานที่ผีสางเช่นนี้ แล้วที่นี่มันเป็นดินแดนบัดซบอะไรกัน!?”
 
แม้อารมณ์จูลู่ฉีใกล้พังทลายเต็มที แต่มันก็ยังสามารดึงสติกลับมาได้หลังระบายอารมณ์ และเริ่มมองสำรวจสถานที่โดยรอบอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
 
และในที่สุดมันก็ตระหนักได้ ว่าคล้ายมันกำลังวนเวียนอยู่ที่เดิม!
 
ทิวทัศน์โดยรอบเริ่มฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันกำลังวนเวียนในห้วงไร้ขอบเขต!!
 
“ค่ายกลลวงตา!?”
 
ทันใดนั้นใจจูลู่ฉีก็สั่นสะท้าน ร่างมันหยุดลงและไม่คิดไปไหนอีก
 
เพราะมันรู้ดีว่าต่อให้เดินทางต่อไป มันก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์อันใด! เพียงอยู่นิ่งๆคิดหาวิธีเสียประเสริฐกว่า!!
 
“เคี๊ยกๆ…ดูเหมือนเจ้ามนุษย์นั่นจะรู้ตัวแล้ว…”
 
แทบจะพร้อมกันกับที่จูลู่ฉีหยุดร่างลงไม่เคลื่อนไหว พลันมีเสียงหัวเราะเยาะหนึ่งดังขึ้นเข้าหู…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด