War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1884

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1884 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 1,884 : มุ่งหน้า! ภูมิภาคเบื้องบน!!
 
จูลู่ฉี!
 
ชื่อนี้นับว่าล่วงรู้กันไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว!
 
ทันใดนั้นเหล่าผู้คุมและยามเฝ้าประตูหน้าของตลาดมืดหยินชานก็อื้ออึงไป คล้ายยังตั้งตัวไม่ทัน
 
จนเมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว พวกมันจึงหันหน้ามองสบตากันทันที สีหน้าแววตายังเผยความหวาดผวาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ!
 
“จูลู่ฉี…อดีตจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ ที่ฝึกฝนด้วยเคล็ดมารกลืนหยินคนนั้น?”
 
“ข้าเองก็ได้ยินข่าวมา…ที่จูลู่ฉีช่วงชิงเคล็ดมารกลืนหยินไปฝึกปรือ ล้วนเป็นเพราะต้องการล้างความอัปยัศที่ท่านรองผุ้นำเคยยัดเยียดให้…”
 
“นี่ท่านรองเฝิงถูกจูลู่ฉีสังหารจริงๆหรือ!?”
 

 
ไม่นานข่าวการตายของเฝิงปู่อี้ก็แพร่กระจายไปทั่วตลาดมืดหยินชานสาขาหลัก
 
ด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่าอาวุโสไม่เว้นผู้นำอย่างตู้กู ถึงกับมารวมตัวกันทันที ต่างหารือกันถึงเรื่องฆ่าจูลู่ฉีล้างแค้นให้เฝิงปู่อี้ ครั้งนี้เสมือนตลาดมืดหยินชานของพวกมันถูกตบหน้าเข้าฉาดใหญ่แล้วจริงๆ
 
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ในขณะที่คนของตลาดมืดหยินชานกำลังปรึกษาหารือกัน ด้านจูลู่ฉีก็ย้อนกลับมาถึงสถานที่ๆมันใช้ซ่อนตัว…
 
สถานที่ๆมันใช้ซ่อนตัวนั้นอยู่ในหุบเขาลึกร้างผู้คนแห่งหนึ่ง มองไปในหุบเขาปรากฏกระท่อมไม้หลังเล็กๆตั้งอยู่ จากสภาพเห็นชัดว่าพึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือไม่นานนัก
 
ตัวมันอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังหนึ่ง
 
ส่วนกระท่อมไม้อีกหลังนั้น กลับมีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่…เป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง!
 
ตอนนี้วิญญาณของฉีจิ้งก็ฟื้นฟูใกล้สมบูรณ์เต็มที กำลังจะผสานเข้ากายหยาบแล้ว
 
ยามเมื่อผสานเข้ากายหยาบ มันก็เสมือนเกิดใหม่ได้มองเห็นฟ้าครามและโลกกว้างอีกครั้ง…
 
แอ๊ด…
 
ทันใดนั้นเองประตูกระท่อมไม้ของฉีจิ้งก็ถูกคนเปิดออก
 
“กลับมาแล้วรึ?”
 
ถึงแม้ตอนนี้ฉีจิ้งจะยังไม่ได้ผสานวิญญาณเข้ากับกายหยาบอย่างสมบูรณ์ หากแต่มันสามารถใช้สำนึกเทวะได้ตามใจชอบแล้ว คิดรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบหรือสนทนาย่อมง่ายดายนัก
 
“อืม”
 
และผู้ที่เข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นจูลี่ฉีเอง!
 
อย่างไรก็ตามวันนี้สายตาที่จูลู่ฉีใช้มองร่างฉีจิ้ง กลับเผยประกายเยียบเย็นกว่าที่เคย
 
“สหายจู…มิใช่เจ้าออกไปล้างแค้นเฝิงปู่อี้รึไร ไฉนกลับมาเร็วนักเล่า? หรือได้เรื่องอันใดแล้ว?”
 
ฉีจิ้งกล่าวถาม
 
“อ่อ มันตายแล้ว…”
 
จูลู่ฉีกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
 
“เช่นนั้นก็ดี! หากข้าฟื้นตัวเต็มที่เมื่อใด ข้าจะส่งมอบเคล็ดวิชาบทสุดท้ายของเคล็ดมารกลืนหยินให้กับเจ้า! ภายภาคหน้ามีเจ้ากับข้าร่วมมือกัน ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดต้านทานพวกเราได้อีก!”
 
ฉีจิ้งส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะด้วยความฮึกเหิมลำพอง แลดูมันหมายมั่นตั้งใจนัก
 
“เกรงว่าเจ้าจักมิมีโอกาสนั้น…”
 
ทว่าจูลู่ฉีกลับกล่าวสืบต่อออกมาเสียงเย็นทันที
 
“เหอะๆ สหายจูอย่าได้ล้อเล่นแล้ว”
 
ฉีจิ้งคิดว่าจูลู่ฉีเพียงกล่าวล้อเล่น
 
“ข้ามิได้พูดเล่น”
 
น้ำเสียงของจูลู่ฉียิ่งมายิ่งเย็นลง
 
“สหายจู! อย่าได้ลืมเลือนไปว่าเจ้ากับจ้าวจี้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์แล้ว…ว่าหากไม่ใช่ข้าคิดลงมือกับพวกเจ้าก่อน พวกเจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้! หากเจ้าฆ่าข้าก็ถือว่าละเมิดคำสัตย์ เช่นนั้นก็เหลือเพียงหนทางตายสถานเดียว!!”
 
ฉีจิ้งคล้ายไม่ได้กังวลอะไรเลย
 
“ผ่อนคลาย…ข้ามิได้คิดฆ่าเจ้า แต่จากคำสาบาน…ข้าไม่ฆ่าเจ้า แต่มิใช่ว่าข้าไม่อาจทำให้เจ้าไร้โอกาสเห็นแสงตะวันอีกต่อไป…”
 
จูลู่ฉีกล่าวออกด้วยร้ำเสียงอำมหิต
 
“เจ้า…เจ้าคิดทำบ้าอะไร!?”
 
ในที่สุดน้ำเสียงผ่านสำนึกเทวะของฉีจิ้งก็กลายเป็นร้อนรนขึ้นมาแล้ว! เพราะมันสัมผัสได้ว่าจูลู่ฉีไม่ได้คิดล้อเล่นกับมันจริงๆ!!
 
“เจ้าคิดว่า…หากเจ้ากลายเป็นคนพิกลพิการไม่อาจทำอะไรได้ เช่นนั้นวิญญาณกลับเข้าร่างแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า?”
 
จูลู่ฉีกล่าวออกไม่ทราบกล่าวกับฉีจิ้งหรือกล่าวถามตัวเองกันแน่
 
“ไม่! ไม่! เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้! เจ้าอย่าได้ทำเช่นนั้น!อย่า!!”
 
ฉีจิ้งที่ได้ยินคำของจูลู่ฉี ยิ่งเป็นกังวลจนใจแทบไหม้แล้ว
 
อย่างไรก็ตามจูลู่ฉีไม่สนใจคำร้องของฉีจิ้งแม้แต่นิดเดียว ยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ ปรากฏคลื่นพลังฉุดดึงอำมหิตขุมหนึ่ง กระชากแขนขาทั้ง 4 ของจูลู่ฉีจนขาดออกจากตัวราวดึงถอนต้นหญ้า…
 
“เจ้า…เจ้าไม่ต้องการเคล็ดความบทสุดท้ายของเคล็ดมารกลืนหยินแล้วรึไร!?!”
 
เสียงผ่านสำนึกเทวะของฉีจิ้งตอนนี้กลายเป็นวุ่นวายร้อนรนหนักหนาแล้ว
 
ถึงแม้ว่าวิญญาณของฉีจิ้งจะยังไม่ได้ผสานเข้าร่างทำให้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ด้วยสำนึกเทวะไหนเลยมันยังไม่ทราบว่าแขนขาของมันถูกตัดขาดไปแล้ว
 
“ภายภาคหน้าข้าคิดดูดซับไอพลังจันทรา ตามเคล็ดมารกลืนหยินฉบับดั้งเดิม…เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้ายังต้องการเคล็ดความบทสุดท้ายอีกหรือไม่?”
 
จูลู่ฉีกล่าวออกเสียงเรียบ ขณะที่คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงสะบัดมืออีกครั้งป่นทำลายแขนขาที่กระชากขาดจนกลายเป็นละอองโลหิต…
 
สุดท้ายฉีจิ้งก็ทำได้แค่ร่ำร้องออกมาอย่างสิ้นหวังในใจ แน่นอนว่าจูลู่ฉีก็ไม่คิดจะปล่อยให้มันนอนอยู่เช่นนี้ ยังใช้พลังหอบหิ้วร่างคนที่คล้ายตอไม้มุ่งหน้าไปยังถ้ำที่มันได้ตระเตรียมเอาไว้เนิ่นนานแล้วทันที…
 
มันโยนร่างไร้แขนขาของฉีจิ้งเข้าไปไว้ในส่วนลึกสุดของถ้ำ ก่อนที่จะปิดผนึกถ้ำเอาไว้อย่างดี ไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้เลยว่าลึกลงไปใต้หุบเขาแห่งนี้กลับมีร่างอนาถาหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้
 
อีกทั้งวิญญาณของฉีจิ้งที่แต่เดิมใกล้ฟื้นฟูสมบูรณ์แล้ว ก็ถูกจูลู่ฉีฝังไอมารขุมหนึ่งเอาไว้ ซึ่งไอมารขุมนี้สามารถกัดเซาะวิญญาณของฉีจิ้งได้ หากแต่อานุภาพไม่ร้ายแรงถึงขั้นทำลายดับสูญ…เพียงทำให้ดวงวิญญาณของฉีจิ้งไม่อาจฟื้นตัวได้สมบูรณ์ไปตลอดกาล…
 
เพราะคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า จูลู่ฉีจึงไม่อาจฆ่าฉีจิ้งได้…เช่นนั้นมันก็ทำได้แค่นี้ ให้ฉีจิ้งตกอยู่ในสภาพคนไม่ใช่ผีไม่เชิงไปจนกว่าร่างกายของมันจะสิ้นอายุขัย…
 
“ท่านจ้าวตำหนัก…แม้ข้าจะไม่อาจฆ่ามันเพราะข้าได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เอาไว้แล้ว แต่มันก็ไม่มีวันสร้างปัญหาอันใดให้กับตำหนักฟ้าลี้ลับได้อีกต่อไป! นี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ข้าจักมอบให้ตำหนักฟ้าลี้ลับได้ ก่อนที่ข้าจะลาจากภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้…”
 
หลังจากจัดการเก็บกวาดหลักฐานทำลายร่องรอยทุกอย่างแล้ว จูลู่ฉีก็เหินร่างขึ้นมาบนฟ้า มันหันไปมองขอบฟ้าทิศทางที่ตั้งตำหนักฟ้าลี้ลับด้วยสายตาซับซ้อนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
 
กล่าวจบคำมันก็เหินร่างมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปด้วยความเร็วสูง
 
มันได้วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วก่อนจะลงมือฆ่าเฝิงปู่อี้
 
เมื่อมันฆ่าเฝิงปู่อี้ได้แล้ว มันจะกำจัดภัยคุกคามจากฉีจิ้งที่จะมีต่อตำหนักฟ้าลี้ลับจนสิ้นซาก และออกจากภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ไปยังภูมิภาคเบื้องบน
 
มันไปภูมิภาคเบื้องบน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่!
 
ด้วยเคล็ดวิชามารกลืนหยินฉบับดั้งเดิม มันเชื่อว่ามันสามารถสร้างหนทางให้ตัวเองก้าวเดินต่อไปได้ แม้จะไม่ต้องใช้ทางลัดอันใด…
 
จังหวะนี้มันยังสัมผัสได้ถึงเลือดที่เคยไหลเวียนอย่างสงบทั่วร่างชรา พลันหวนกลับมาสูบฉีดแล่นพล่านเต็มไปด้วยความฮึกเหิมคึกคักอีกครา ราวกับได้ย้อนกลับไปครั้งยังหนุ่มแน่นเปี่ยมล้นไปด้วยความฝันและกำลังใจ…
 
“หืม?”
 
หลังจากเร่งรุดเดินทางไปไม่กี่วัน จูลู่ฉีที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือด้วยคิดออกจากภูมิภาคเบื้องล่าง พลันแลเห็นเงาหลังไวๆเบื้องหน้าที่คุ้นๆในสายตา…
 
“เป็นพวกมัน! พวกมัน…คิดไปที่ภูมิภาคเบื้องบนด้วยงั้นหรือ?”
 
จูลู่ฉีที่คาดเดาใดได้ กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ
 
นั่นเพราะแผ่นหลังไวๆที่เหินนำอยู่ด้านหน้าไกลตาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นกู่ลี่ กับต้วนหลิงเทียน ที่จูลู่ฉีพึ่งเจอเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง!
 
ฟุ่บ!
 
ด้วยความเร็วในการเหินบินที่เหนือกว่า ไม่นานจูลู่ฉีก็ไล่ทั้งคู่ทัน กระทั่งแซงไปหยุดขวางเอาไว้อีกครั้ง
 
“จ้าววังจูท่านมีอะไรงั้นหรือ?”
 
ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่ไล่หลังมาได้แต่แรก หากแต่ด้วยอีกฝ่ายไร้ซึ่งจิตมุ่งร้ายใดๆ เขาเลยไม่ได้สนใจจะบอกกู่ลี่
 
แต่เรื่องที่อยู่ๆอีกฝ่ายกลับเหินร่างแซงแล้วหยุดขวางไว้แบบนี้ ย่อมทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยความสงสัย
 
“อะไร…เจ้าต้องการอะไร!?”
 
เห็นจูลู่ฉีอีกครั้ง เทียบกับต้วนหลิงเทียนที่แปลกใจสงสัยทว่าหน้านิ่ง กู่ลี่ถึงกับหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวปั้นยากทันที
 
ใจมันคิดวุ่นวายไปหลายหลาก ที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือมันคิดว่าจูลู่ฉีเสียใจที่ปล่อยมันกับต้วนหลิงเทียนไปวันก่อน และเกิดเปลี่ยนใจคิดฆ่าคนปิดปากจึงไล่ตามมาฆ่าคนเก็บงาน…
 
“ต้วนหลิงเทียน…นี่พวกเจ้าคิดไปยังภูมิภาคเบื้องบนกันหรือ?”
 
จูลู่ฉีถามออกไปตรงๆ
 
“ใช่”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ค่อยโค้งคิ้วขึ้นข้างหนึ่งกล่าวถามด้วยความแปลกใจ “หรือจ้าววังจูก็จะไปภูมิภาคเบื้องบนด้วย?”
 
“อืม”
 
จูลู่ฉีพยักหน้า “ตอนนี้ภูมิภาคเบื้องล่างไร้สิ่งใดให้ข้าอาลัยแล้ว…เช่นนั้นข้าจึงคิดไปยังภูมิภาคเบื้องบนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากเจ้าสนใจพวกเราเดินทางไปด้วยกันดีหรือไม่?”
 
ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำถามของจูลู่ฉี ก็ไม่ได้รีบร้อนตัดสินใจอะไร เพียงหันไปมองกู่ลี่ และรอให้กู่ลี่กล่าวเสนอความเห็น
 
ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าให้ความเคารพการตัดสินใจของกู่ลี่เช่นกัน
 
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว
 
หากเขาอยู่คนเดียว ย่อมไม่คิดมากอะไรเรื่องเดินทางร่วมกับจูลู่ฉี
 
เพราะสุดท้ายตอนนี้จูลู่ฉีก็ได้ล้างแค้นสำเร็จแล้ว ปมในใจคลี่คลายจึงไม่มีความคิดฝึกฝนบ่มเพาะด้วย เคล็ดมารกลืนหยินฉบับลัดอีกต่อไป ถือเป็นการกลับตัวกลับใจละทิ้งความชั่วร้ายหวนคืนสู่ครรลองคลองธรรม…
 
ดั่งคำกล่าวที่ว่า “เกเรกลับใจ เอาทองมายังไม่แลก”
(ประมานว่า คนที่กลับตัวกลับใจเป็นคนดีแล้ว มีค่ามากต่อให้เอาทองมาแลกก็ไม่ยอม…ปกติใช้กับพวกเจ้าชู้ ถ้าเลิกแล้วก็จะมีรักเดียวไปเลย แบบนี้เอาทองมาแลกผู้หญิงก็ไม่ปล่อยไป…)
 
จูลู่ฉีที่ไม่คิดก่อกรรมทำเข็ญอีกต่อไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รังเกียจอะไรอีก
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามความเห็นกู่ลี่แบบนี้ ย่อมทำให้กู่ลี่รู้สึกตื้นตันในใจไม่น้อย
 
“น้องหลิงเทียน เจ้าตัดสินใจเถอะ ข้าแล้วแต่เจ้า…”
 
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายกู่ลี่ก็ยกมอบการตัดสินใจครั้งนี้ให้ต้วนหลิงเทียน
 
“จ้าววังจู เช่นนั้นพวกเราคงต้องร่วมทางกันแล้ว…”
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบจูลู่ฉีไปด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงในใจเขาก็ยินดีไม่น้อย
 
สุดท้ายแล้วหากเขาไปยังภูมิภาคเบื้องบนด้วยตัวคนเดียว เขาก็เป็นดั่งหัวเดียวกระเทียมลีบ ไร้ที่พึ่งพิงทุกสิ่งเริ่มต้นจากศูนย์…
 
แต่หากเขามีสหายและพวกพ้องอันดีตั้งแต่แรก เรื่องราวย่อมแตกต่างออกไปแล้ว
 
อย่างน้อยหนทางเบื้องหน้าก็ราบรื่นขึ้นไม่น้อย
 
ขณะเดียวกันทางด้านกู่ลี่นั้น แม้ไม่คิดคัดค้านอะไร แต่ในแววตาก็เผยความระแวงจูลู่ฉีอยู่ไม่น้อย
 
จูลู่ฉีเองก็ย่อมสังเกตเห็นเรื้องนี้เป็นธรรมดา แต่มันก็ทำเฉยคล้ายไม่สนใจ
 
แน่นอนว่าผิวเผินไม่สนใจ หากแต่ลึกลงไปข้างในใจกลับเจ็บปวดนัก…
 
หากเทียบกับต้วนหลิงเทียนแล้ว ตอนที่มันอยู่ในวังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ มันสนิทสนมกับกู่ลี่ไม่น้อย ความสัมพันธ์เรียกว่าดีเลยทีเดียว
 
คนแรกจะอย่างไรก็แค่ศิษย์วังนภา แต่คนหลังนั้นกล่าวไปยังเป็นเหมือนหลานชายของมันด้วยซ้ำ!!
 
ทั้ง 3 เดินทางไปด้วยกันพักหนึ่ง ก็มาถึงบริเวณใกล้ๆกับหนทางมุ่งสูภูมิภาคเบื้องบน
 
ตอนนี้เบื้องหน้าของทั้ง 3 ปรากฏภูเขาหิมะลูกใหญ่มหึมาตั้งตระหง่าน
 
ด้วยความที่ภูมิประเทศแถวนี้ถูกหิมะปกคลุมไปตลอดทั้งปีจึงค่อนข้างหนาวเย็นนัก แถมตอนนี้ก็ยังมีพายุหิมะโหมกระหน่ำไม่หยุด ทัศนวิสัยค่อนข้างต่ำ จำต้องพึ่งสำนึกเทวะสำรวจที่ทาง
 
“อาวุโสหลิว!”
 
เมื่อเหินร่างขึ้นมาถึงยอดภูเขาหิมะ ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นผู้สังเกตการณ์ที่เฝ้าอยู่ ไม่ใช่ใครอื่นเป็นอาวุโสหลิวที่เขาเคยเจอในตำหนักเมฆาคราม
 
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักไป ชายชราพอแลเห็น ก็จดจำได้ทันทีว่าชายหนุ่มีท่กล่าวทักทายตัวก็คือนาน้อยตำหนักเมฆาคราม บุตรชายของจ้าวตำหนักเมฆาครามต้วนหรูเฟิง
 
“พวกเจ้าคิดไปภูมิภาคเบื้องบนกันรึ?”
 
ชายชราแซ่หลิวกล่าวถาม
 
“ใช่”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ “อาวุโสหลิวถึงแม้พวกเราจะรู้ว่าหนทางมุ่งหน้าสู่ภูมิภาคเบื้องบนอยู่แถวนี้…แต่พวกเราหามานานแล้วก็ยังไม่พบ…รบกวนท่านแนะนำพวกเราหน่อยได้หรือไม่?”
 
“ไม่มีปัญหา มากับข้า”
 
ว่ายตามองจูลู่ฉีกับกู่ลี่รอบหนึ่ง อาวุโสหลิวก็พยักหน้าตอบต้วนหลิงเทียน
 
ขณะเดียวกันมันก็เหินร่างขึ้นฟ้า นำต้วนหลิงเทียนและคนอื่นไปยังจุดหนึ่งของภูเขาหิมะ
 
ตอนนี้บนยอดเขามีพายุโหมกระหน่ำรุนแรงนัก
 
ซัวว!!
 
ภายใต้สายตาของต้วนหลิงเทียน อาวุโสหลิวพลันยกมือขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน มวลพลังยิ่งใหญ่สุดไพศาลขุมหนึ่งผนึกควบรวมอยู่ในมือ!
 
และทันทีที่อาวุโสหลิวสะบัดมือออกไป ก็ปรากฏพลังไร้สภาพไม่อาจมองเห็นขุมใหญ่ พุ่งพัดออกไปปานไม้กวาด ปาดหิมะออกไปเป็นทาง เผยให้เห็นถ้ำหนึ่งที่ถูกหิมะปกคลุมอยู่…
 
มองไปภายในถ้ำ มีแต่ความมืดดำไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้!
 
“เอ่อ…นี่น่ะหรือช่องทางนำไปสู่ภูมิภาคเบื้องบน?”
 
กู่ลี่รู้สึกผิดหวังไม่น้อย เมื่อเห็นว่าทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนกลับเป็นแค่ถ้ำๆหนึ่งแบบนี้…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด