War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1789

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1789 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 1,789 : ใจรู้จักพอ จึงเป็นสุขที่สุด
 
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียน ก็ได้บุกเข้าไปในพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอเมื่อหลายวันก่อน…
 
บททดสอบแรกนั้นเป็นสัตว์ร้ายที่มีพลังฝึกปรือต้อยต่ำไม่กี่ตัว และเพียงหวางเฟยเซวียนโบกมือคราวเดียวก็ซัดปราณดาบไร้สภาพฆ่าพวกมันได้อย่างหมดจด…พวกมันเป็นแค่เซียนดั้งเดิมขั้นต้นเท่านั้น!
 
“ฮัยยา ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก!”
 
ถึงแม้จะพึ่งผ่านแค่บททดสอบแรก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าระดับความยากของบททดสอบพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก เป็นเวทย์พลังที่ไม่คุ้มค่ากับการรอคอยเอาเสียเลย!
 
“ปากอีกาจริงๆ”
(*ปากพาซวย)
 
ต้วนหลิงเทียนมองหวางเฟยเซวียนตาดุ กล่าวออกเสียงห้วน
 
แน่นอนว่าถึงเขาจะกล่าวไปทั้งทำหน้าตาแบบนั้น แต่ใจจริงเขาก็ไม่ได้โทษนางแม้แต่น้อย
 
เพราะสุดท้ายแล้วหวางเฟยเซวียนจะพูดหรือไม่พูดอะไร มันก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าพื้นที่มรดกเวทย์พลังนี้ เป็นมรดกเวทย์พลังระดับต่ำไปได้…
 
บททดสอบในพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้ เพียงแค่หวางเฟยเซวียนก็สามารถผ่านได้ง่ายดาย
 
ตั้งแต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่ได้ลงมือทำอะไร
 
และเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงปลายทางของพื้นที่มรดก ก็พบว่ามันเป็นเวทย์พลังระดับต่ำแสนไร้รสชาติจริงๆ
 
ถึงแม้จะไม่เห็นมันอยู่ในสายตา แต่ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะรับข้อมูลเวทย์พลังมา
 
ในเวลาไม่ถึง 2 วันทั้งคู่ก็กลับออกมาจากพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้
 
“ข้าเชื่อว่ามรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไปที่พวกเราจะเจอ ต้องเป็นเวทย์พลังระดับกลางหรือระดับสูงแน่นอน!”
 
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนและหวางเฟยเซวียนจะพบพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งใหม่ หวางเฟยเซวียนพลันยิ้มกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจขณะเดินทาง มุมปากยังเผยรอยยิ้มคล้ายจะเกทับต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง
 
เพราะมรดกเวทย์พลังชิ้นหน้าจะเป็นของนาง
 
“เจ้าฝันไกลเกินไปแล้ว”
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ “ข้าเชื่อว่ามรดิกเวทย์พลังชิ้นหน้าก็เหมือนกับเมื่อกี้นั่นล่ะ เต็มที่ก็เวทย์พลังระดับต่ำร้ายๆ”
 
“อะไร? เจ้าไม่เชื่อความสามารถในการทำนายของท่านย่าหรือ? เมื่อครู่ท่านย่าผู้นี้ก็ทำนายระดับเวทย์พลังของเจ้าถูกเห็นๆ! ฮึ่ม..มรดกเวทย์พลังชิ้นหน้าของท่านย่ามิมีทางเป็นเวทย์พลังระดับต่ำร้ายๆหรอก!!”
 
หวางเฟยเซวียนเชิดหน้ากล่าวออกด้วยความมั่นใจ เห็นชัดว่านางเองก็กล่าวเล่นกับต้วนหลิงเทียนด้วย
 
และ 3 วันต่อมา ทั้งคู่ก็พบพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกแห่ง…
 
และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นชัด ว่าหวางเฟยเซวียนอาจเดาถูกได้หนึ่งครั้ง แต่คิดจะเดาให้ถูก 2 ครั้งคงยากไปหน่อย…
 
เพราะเวทย์พลังในพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้…เป็นระดับต่ำ!
 
“เจ้าสิปากอีกา! ทั้งหมดเพราะเจ้าคนเดียวเลย!”
 
ตลอดทางไม่ว่าจะฆ่าสัตว์ร้ายที่ฝ่าบททดสอบ หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะหันมามองกล่าวโทษต้วนหลิงเทียนตาขวาง เรื่องนี้ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนกระพริบตาปริบๆ ไร้คำจะกล่าว
 
นี่นางลืมไปแล้วหรือไง ว่าเป็นนางกล่าวแช่งเขาก่อน?
 
หลังจากหวางเฟยเซวียนได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับต่ำชิ้นนี้แล้ว ทั้งคู่ก็ตระเวนหามรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไป
 
ระหว่างทางเมื่อเห็นว่าหวางเฟยเซวียนคล้ายจะกล่าวอะไรออกมาอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็เร่งกล่าวดักคอนางไว้ก่อน “ข้าบอกไว้ก่อนเลย ถ้าเจ้าแช่งข้าอีกที เจ้าอย่าได้หวังว่าจะได้รับเวทย์พลังระดับสูงอะไรอีก..เลิกฝันไปได้เลย!”
 
เมื่อคิดถึงความโชคร้ายที่พึ่งผ่านมาของตัวเองและอีกฝ่าย หวางเฟยเซวียนก็เงียบปากไปไม่คิดกล่าวอะไรเหลวไหลออกมาอีก หากแต่ยังอดไม่ได้ที่จะถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย
 
มีคำกล่าวที่ว่า ‘ชายหญิงร่วมมือกันงานใดล้วนลุล่วง’ นับว่าไม่ผิดเลยทีเดียว เพียงแค่ผ่านไปอีกวัน ทั้งคู่ก็พบทางเข้าพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกแห่ง
 
และตามกฏการร่วมมือกัน เวทย์พลังบทนี้จะเป็นของต้วนหลิงเทียน
 
‘หวังว่าจะเป็นเวทย์พลังจู่โจมระดับกลางหรือสูงนะ…หากให้ดีก็เป็นเวทย์พลังที่เสริมพลังกระบี่อะไรทำนองนั้นทีเถอะ’
 
ขณะเดินเข้าพื้นที่มรดกเวทย์พลัง ต้วนหลิงเทียนก็ลอบอธิษฐานในใจ
 
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แม้เวทย์พลังจะดูคล้ายคลึงกับวรยุทธ์เซียนอยู่บ้าง หากแต่มันก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เวทย์พลังนั้นโดยมากแล้วจะเป็นเหมือนทักษะสนับสนุน และมักใช้เพื่อเสริมอานุภาพวรยุทธ์ แน่นอนว่ายังมีเวทย์พลังบางอย่างที่มีพลังอำนาจร้ายกาจด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาวรยุทธ์…
 
ดังนั้นหากต้วนหลิงเทียนได้รับเวทย์พลังสายจู่โจมล่ะก็ พลังความแข็งแกร่งของเขาจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นหากทะลวงถึงอริยะเซียน
 
ต้องทราบด้วยว่าเขาเพียงต้องทะลวงให้ถึงขอบเขตอริยะเซียนเท่านั้น เขาก็สามารถเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังและใช้งานมันได้แล้ว
 
และตอนนี้เขาก็มีเวทย์พลังที่ใช้การได้อยู่ถึง 3 อย่างแล้ว ร่างทองลิ่วเหอ ปฐมเวทย์กลืนกิน และปีกอีกาทองคำ!
 
ร่างทองลิ่วเหอนั้นเป็นเวทย์พลังสายป้องกัน ส่วนปฐมเวทย์กลืนกินนั่นเป็นเวทย์พลังเสริมพลังอันน่ากลัว ส่วนปีกอีกาทองคำเป็นเวทย์พลังเสริมการเคลื่อนไหว!
 
ในบรรดาเวทย์พลังทั้ง 3 ร่างทองลิ่วเหอนั้นนับว่ามีระดับต่ำที่สุด เพราะมันเป็นแค่เวทย์พลังระดับกลางเท่านั้น
 
สำหรับเวทย์พลังอีก 2 อัน เขาเองก็ไม่รู้ว่าอันไหนมันจะมีระดับมากกว่ากัน เรื่องนี้จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้กลับร่างที่แท้จริง และกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วดู
 
อย่างไรก็ตามจิตใต้สำนึกเขาบอกว่า ‘ปีกอีกกาทองคำ’ ของผู้เฒ่าหั่วสมควรมีระดับสูงกว่า!
 
เพราะสุดท้ายแล้วผู้เฒ่าหั่วก็คืออีกาทองคำ 3 ขา! วิหกเทพสุริยันในตำนาน!!
 
แน่นอนว่าในนาคตถึงแม้เขาจะใช้ปีกอีกาทองคำที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดให้เขาได้ แต่ก็คงไม่อาจใช้มันให้มีอานุภาพเทียบกับผู้เฒ่าหั่วยามใช้เวทย์พลังนี้ด้วยตัวเองได้ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเวทย์พลังเฉพาะตัวเผ่าพันธุ์ของผู้เฒ่าหั่ว!
 
อย่างไรก็ตามนี่นับเป็นเวทย์พลังระดับสูงล้ำที่ไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะมีได้
 
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงเชื่อไปอย่างไม่รู้ตัว ว่าในบรรดาเวทย์พลังที่เขามีตอนนี้ ปีกอีกาทองคำ เป็นเวทย์พลังที่มีระดับสูงสุด
 
แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะรู้สึกว่ามันสมควรเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มั่นใจเต็มสิบส่วน
 
เขามักรู้สึกว่าปฐมเวทย์กลืนกินเองก็ไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาๆเลย
 
‘หลังออกจากแดนลับเซียนนี่ ค่อยถามผู้เฒ่าหั่วดู…เดี๋ยวก็รู้’
 
เมื่อคิดได้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กังวลเรื่องนี้อีกต่อไป
 
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังขาดเวทย์พลังสายโจมตีอยู่
 
ถึงแม้เขาจะได้รับสืบทอดเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่อันสูงสุดอย่างยอดใจกระบี่มา แต่ยอดใจกระบี่ก็ยังจัดอยู่ในประเทภของวรยุทธ์เซียน
 
เช่นนั้นขั้นต่างๆของยอดใจกระบี่ ก็จัดเป็นวรยุทธ์แขนงหนึ่ง
 
แม้มันจะมีพลังอำนาจลี้ลับที่ทำให้หนุนเสริมวรยุทธ์อื่นได้ แต่มันก็ยังไม่ใช่เวทย์พลัง…กลวิธีการใช้พลังมันแตกต่างกัน!
 
‘จะดีที่สุดหากข้าได้เวทย์พลังจู่โจมสายกระบี่อะไรทำนองนั้นมา!’
 
ต้วนหลิงเทียนยังคงฝันไปเรื่อยขณะเดินเข้าพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งใหม่
 
ยังดีที่หวางเฟยเซวียนไม่ได้ยินความคิดของต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วนางคงหัวเราะร่า เพราะความคิดนี้ของต้วนหลิงเทียนมันเพ้อฝันเกินไป!
 
และไม่นานต้วนหลิงเทียนกับหวางเฟยเซวียนก็เผชิญหน้ากับบททดสอบแรก…
 
หลังจากกำจัดสัตว์ร้ายในบททดสอบแรกแล้ว หน้าต้วนหลิงเทียนก็ดำคล้ำเป็นน้ำหมึกทันที…
 
หวางเฟยเซวียนเองก็หน้าขึ้นสีระเรื่อ ผ่านไปพักหนึ่งนางก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้สืบไป “เจ้ามิอาจตำหนิข้าได้นะ! ข้าไม่ได้แช่งเจ้าเลยนะ ไม่ได้แช่งเลย!!”
 
สัตว์ร้ายในบททดสอบแรกที่ปรากฏตัวออกมา ทั้งคู่ก็บอกได้ทันทีว่านี่สมควรเป็นมรดกเวทย์พลังระดับต่ำอีกแล้ว
 
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
 
“เจ้าคอยดูเถอะ! มรดกเวทย์พลังชิ้นหน้าไม่มีทางเป็นระดับต่ำแน่นอน!!”
 
ขณะเดินทางค้นหามรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไป หวางเฟยเซวียนก็กล่าวออกมาอย่างมั่นใจ
 
“ขอให้เป็นงั้น”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับไปส่งๆ คร้านจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับนางอีก
 
แต่ทว่าอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนไม่ได้หงุดหงิดเพราะได้รับมรดกเวทย์พลัง 2 ครั้งติดแต่อย่างใด
 
“เจ้าใจเย็นหน่า! ข้ามั่นใจว่ามรดกเวทย์พลังชิ้นต่อไปของเจ้า ต้องไม่มีทางเป็นมรดกเวทย์พลังระดับต่ำแน่นอน!!”
 
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ต่อปากต่อคำกับนางอีก หวางเฟยเซวียนก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาพิกล
 
“ตามนั้น”
 
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบอย่างไม่แยแส
 
“เจ้า…เจ้าเป็นไรหรือไม่?”
 
หวางเฟยเซวียนถึงกับหยุดลง ก่อนที่จะหันมามองถามต้วนหลิงเทียนอย่างจริงจัง
 
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร ไปต่อเถอะ”
 
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว พร้อมยิ้มบางๆ
 
ถึงแม้เขาจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้รับเวทย์พลังสายจู่โจมระดับสูงและได้รับแค่เวทย์พลังระดับต่ำ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจ
 
เพราะที่เขาหงุดหงิดใจขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเขาได้รับเวทย์พลังระดับต่ำอะไรนั่น! แต่เพราะเขาพึ่งตระหนักได้ว่า…ไฉนอยู่ๆเขาถึงเกิดความโลภไม่รู้จักพอขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว!!
 
มองย้อนกลับไป เขาพึ่งเข้ามาในแดนลับเซียนได้ไม่ทันไรก็ได้รับ ‘ร่างทองลิ่วเหอ’ อันเป็นเวทย์พลังสายป้องกันระดับกลางมาแล้วแท้ๆ…
 
แถมเวทย์พลังที่ใช้การได้อีกอย่างที่เขาได้รับก็คือ ปฐมเวทย์กลืนกิน ซึ่งนี่ไม่เพียงแต่จะเป็นเวทย์พลังระดับสูงในแดนลับเซียนเท่านั้น แต่น่ากลัวว่ายังเป็นเวทย์พลังที่มีระดับสูงสุดในแดนลับเซียนแห่งนี้ด้วยซ้ำ…อย่างน้อยๆ คนของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ไม่มีโอกาสได้รับมันอีกต่อไป!!
 
ทำให้พอสำรวจใจตัวเองและทบทวนความคิดจบ มุมมองของต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที
 
สุดท้ายแล้ว ใจรู้จักพอ จึงเป็นสุขที่สุด…พอใจในสิ่งที่ตนเองมีถือเป็นลาภอันประเสริฐ!
 
ถึงแม้ว่าหลังจากนี้ในการเดินทางท่องแดนลับเซียนเขาจะไม่ได้รับเวทย์พลังอื่นใดเพิ่มเติมก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะเขาได้รับของดีๆมาพอแล้ว
 
พอเขาคิดได้แบบนี้ จึงทำให้เขาแลดูเฉยๆกับทุกสิ่ง
 
แน่นอนว่าหวางเฟยเซวียนย่อมไม่อาจรับทราบห้วงคิดหรือมุมมองที่เปลี่ยนไปของต้วนหลิงเทียนได้ นางคิดว่าเขายังเสียใจและเซื่องซึมไปเพราะความผิดหวัง
 
แต่ต้องกล่าวบอกเลยว่าหวางเฟยเซวียนนับว่ามีโชคนัก
 
เพราะหลังจากนั้นอีก 2 วันทั้งคู่ก็ได้พบเจอกับพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกแห่ง ความยากของบททดสอบนั้นเพียงอ่อนกว่าบททดสอบของหอคอยลิ่วเหอ กับพระราชวัง 6 โถงแค่เล็กน้อยเท่านั้น!
 
และเวทย์พลังที่มรดกเวทย์พลังชิ้นนี้บันทึกไว้ มันก็เป็นเวทย์พลังสายเดียวกับเวทย์พลังในหอคอยลิ่วเหอ และพระราชวัง 6 โถง…เวทย์พลังสายป้องกัน!
 
อย่างไรก็ตาม แม้มันจะเป็นเวทย์พลังสายป้องกันระดับกลาง แต่ยังนับว่าอ่อนด้อยกว่าร่างทองลิ่วเหอที่ต้วนหลิงเทียนมี กับ ‘ปราการศิลาสวรรค์’ ที่เซียวตุนได้ไปอยู่บ้าง
 
หากแต่การได้รับเวทย์พลังสายป้องกันระดับกลางแบบนี้ หวางเฟยเซวียนย่อมพึงพอใจมากแล้ว นางอารมณ์ดีไม่น้อย “เอาล่ะ! พวกเราไปหาพื้นที่มรดกเวทย์พลังกันต่อเถอะ!”
 
และไม่นานนักทั้งคู่ก็ได้พบพื้นที่มรดกเวทย์พลังอีกครั้ง
 
และคราวนี้เป็นมรดกเวทย์พลังของต้วนหลิงเทียน
 
อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นมรดกเวทย์พลังระดับต่ำอีกครั้ง…
 
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเท่าไหร่ หากแต่หวางเฟยเซวียนกลับรู้สึกผิดไม่น้อย “นี่…พวกเรามาเปลี่ยนกฏกันดีหรือไม่ หากพวกเราเจอเวทย์พลังระดับต่ำอีกครั้งข้าจะรับไว้เองจนกว่าจ้าจะได้เวทย์พลังระดับกลางหรือระดับสูง”
 
ความโชคร้ายของต้วนหลิงเทียน กระทั่งหวางเฟยเซวียนยังไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป
 
นางกลัวจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะได้พบเจอแต่มรดกเวทย์พลังระดับต่ำ เพราะอย่างไรเสียนางก็ได้รับสืบทอดเวทย์พลังระดับกลางมาถึง 3 ชิ้นแล้ว
 
“ไม่ต้องหรอก”
 
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้ปรับทัศนคติไปแล้ว มุมมองต่อโลกหล้าย่อมแปรเปลี่ยนไป เขาจึงกล่าวปฏิเสธหวางเฟยเซวียนออกมาตรงๆทันที
 
“ข้าพูดเอง! เจ้าจะหยิ่งไปทำอันใด?”
 
เผชิญหน้ากับการปฏิเสธของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนย่อมรู้สึกไม่ดี “เจ้าคิดว่าการปฏิเสธข้าถือเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของเจ้าหรืออย่างไร? ศักดิ์ศรีของบุรุษเช่นพวกเจ้ามันสำคัญกว่าอนาคตหรืออย่างไร! หรือเจ้ามิรู้ว่าเวทย์พลังระดับกลางหรือระดับสูงบางทีมันก็สามารถเปลี่ยนชีวิตเจ้าได้!?”
 
“เอ่อ…นี่เจ้าคิดว่า ก่อนที่ข้าจะเจอเจ้า…ข้าไม่เจอมรดกเวทยืพลังระดับกลางหรือระดับสูงมาก่อนเลยงั้นเหรอ?”
 
ได้ยินเสียงโวยวายรอบนี้ของหวางเฟยเซวียนใจต้วนหลิงเทียนกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่น้อย ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามนางออกไปด้วยรอยยิ้ม

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด