War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1779

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1779 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 1,779 : สัตว์ร้ายมีปีก!
 
เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วหลังจากที่แดนลับเซียนเปิดออก
 
เหล่าศิษย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับที่ถูกขับออกมาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ และทั้งหมดก็ไม่ได้รีบร้อนจากไปไหน เพียงเฝ้ารออยู่หน้าแดนลับเซียนด้วยเช่นกัน
 
พวกมันย่อมอยากรู้ว่าผู้อื่นเป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วใครได้เวทย์พลังอันใดออกมา…
 
นอกจากนี้พวกมันอยากรู้นักว่าผู้ใดจะสามารถอยู่ในแดนลับเซียนได้ครบกำหนด 3 เดือน
 
เมื่ออยู่ครบ 3 เดือน แดนลับเซียนจะส่งตัวออกมาโดยอัตโนมัติ
 
จนกว่าจะถึงตอนนั้น เว้นเสียแต่จะตกตาย หาไม่แล้วก็คงไม่มีใครอยากออกจากแดนลับเซียน
 
“มรดกเวทย์พลังที่ข้าเจอนั้นบททดสอบช่างโหดร้ายนัก! ขนาดพวกข้ามีเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด 2 คนกับเซียนขัดเกลาขั้นต้นอีกคนยังไม่อาจผ่านบททดสอบที่ 6 ได้! ตัวบ้านั่นมันเป็นถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง! พอพวกข้ารู้ว่าไม่ไหวจะสู้ ก็รีบหนีเตลิดออกมาทันที อนิจจาข้าที่บาดเจ็บก็เลยถูกจับคนช้า…ตัวบัดซบนั่นมันตบข้าทีเดียวข้าก็วูบออกมานี่เลย…”
 
หนึ่งในศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวออกมาอย่างออกรส กล่าวจบมุมปากยังเผยรอยยิ้มขื่นขม ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ..
 
“ดูเหมือนว่าสถานที่ทดสอบรับมรดกเวทย์พลังที่กลุ่มเจ้าพบเจอ จะมีระดับเดียวกันกับของข้า! แต่ทีมของข้าดีหน่อย เพราะนอกจากข้าที่เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดคนเดียว อีก 2 คนกลับเป็นเซียนขัดเกลาขั้นต้น…พวกเราสามารถร่วมมือกันจนผ่านบททดสอบที่ 6 มาได้…แต่พวกเรากลับล้มเหลวในบททดสอบที่ 7”
 
ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับอีกคนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม “หากข้าเดาไม่ผิดนั่นสมควรเป็นบททดสอบสุดท้ายแล้ว…เพราะคู่ต่อสู้ที่เป็นหุ่นประหลาดนั่นกลับมีระดับพลังถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ! ถึงหุ่นบัดซบมันจะร้ายกาจไม่เท่าผู้ฝึกตนมนุษย์เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ 2 เซียนขัดเกลาขั้นต้นกับข้าจะจัดการได้…”
 
“อะไรนะ? หุ่นที่ว่ามันมีพลังถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเลยหรือ! แล้วนี่กลุ่มของพวกเจ้าเป็นอย่างไรเล่า? หรือตกตายกันหมด?”
 
ชายคนก่อนมองสหายร่วมวังด้วยสายตาตกใจ
 
“ไม่…สหายข้าหนีไปได้ แต่ข้าถูกจับคนช้าหนึ่งนายเหมือนเจ้า…”
 
ศิษย์คนหลังกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม
 
“ฮัยยา…เช่นนั้นพวกเราก็เป็นสหายร่วมชะตากรรมเดียวกันสินะ”
 
คนหลังยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ และคล้ายจะนึกใดขึ้นได้จึงหันไปมองจ้าววังเหลือง เฉียนผิงเชิงที่อยู่ไม่ไกลทันที “ท่านจ้าววังเหลืองขอรับ พื้นที่มรดกเวทย์พลังที่พวกเราเจอ…เวทย์พลังที่อยู่ในนั้นใช่เวทย์พลังระดับสูงหรือไม่?”
 
ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับคนนี้ ก็เป็นศิษย์ของวังเหลือง
 
“เวทย์พลังระดับสูง?”
 
อย่างไรก็ตามพอได้ยินคำถามมัน เฉียนผิงเชิงพลันส่ายหัว “ฟังจากที่เจ้ากล่าวมรดกเวทย์พลังนั่นสมควรมีระดับกลาง…หากเป็นพื้นที่มรดกเวทย์พลังระดับสูง เกรงว่ากระทั่งบททดสอบแรกพวกเจ้าก็มิอาจผ่านได้แล้ว”
 
“อะไรนะ!?”
 
ศิษย์วังเหลืองคนนั้นพอได้ยินก็ถึงกับตกใจยกใหญ่ สูดลมหายใจเด้วยความหนาวเหน็บ “บททดสอบยากเย็นเช่นนั้น…ยังเป็นเพียงมรดกเวทย์พลังระดับกลางแค่นั้นหรือ?”
 
ตอนนี้เองเฉียนผิงเชิงก็มองทั้งคู่ พร้อมกล่าวให้ความรู้ออกมา
 
“มรดกเวทย์พลังชั้นสูงนั้น ตลอดประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา มีน้อยคนนักที่สามารถรับสืบทอดมาได้…ข้ายังกล่าวได้เลยว่าหากด่านพลังฝึกปรือของเจ้ามิได้บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเป็นอย่างต่ำ คงยากที่จะผ่านบดทดสอบมรดกเวทย์พลังระดับสูง! กระทั่งต่อให้เป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ก็ไม่แน่ว่าจะผ่านบททดสอบของมรดกเวทย์พลังระดับสูงด้วยซ้ำ!!”
 
เฉียนผิงเชิงกล่าวเพิ่มเติม “แน่นอนว่านี่หมายถึงในกรณีที่เจ้าลุยคนเดียว หากมีสหายที่ขอบเขตพลังไล่เลี่ยกัน ก็อาจฝ่าฟันบททดสอบได้ กระทั่งระดับพลังฝึกปรือต่ำกว่าสักขั้นก็ยังพอเป็นไปได้…แต่ที่แน่ๆคือทุกคนไม่อาจมีพลังฝึกปรือต่ำกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!”
 
“ในประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา กลุ่มที่ได้รับเวทย์พลังระดับสูงมา พลังฝึกปรือที่ต่ำที่สุดก็เป็นเซียนขัดเกลาขั้นกลางทั้ง 3 คน! แต่พวกมันก็เป็นสหายที่สนิทสนมกันมาก สามารถตั้งค่ายผนึกกำลังกันต้านรับศัตรูได้อย่างยอดเยี่ยม”
 
“แถมในแดนลับเซียนนั้น มรดกเวทย์พลังระดับสูงเองก็มีแบ่งแยกสูงต่ำดีเลว มิใช่ว่าเวทย์พลังระดับสูงทั้งหมดจะมีพลังอำนาจทัดเทียมกัน! กลุ่มนั้นที่ข้าว่า…ที่พวกมันสามารถได้รับมรดกเวทย์พลังระดับสูงมาได้ เพราะเป็นเวทย์พลังระดับสูงทั่วๆไป…”
 
เฉียนผิงเชิงกล่าวสืบต่อ “แน่นอนว่ายิ่งเป็นมรดกเวทย์พลังระดับสูงที่ร้ายกาจมากเข้าหน่อย บททดสอบก็ยิ่งทวีความยากเย็นมากขึ้นไปอีก กระทั่งกลุ่มเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ 3 คนก็ไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะบททดสอบได้เต็มปาก!”
 
มรดกเวทย์พลังระดับสูงยังมีแบ่งแยกสูงต่ำอีก?
 
ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับโดยรอบเอง หลายคนก็พึ่งได้รับทราบเรื่องนี้
 
วุ้ม! วู้ม! วู้ม!!
 
……
 
ตอนนี้เองวังวนเหนือฟ้าอันเป็นทางเข้าแดนลับเซียนที่สงบมานาน พลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ดึงความสนใจของทุกคนไปทันใด
 
“มีคนถูกขับออกมาอีกแล้วหรือ?”
 
ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับหลายคนเอ่ยออก
 
ขณะเดียวกันก็มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากวังวนทางเข้าแดนลับเซียน
 
“เซียวตุน!”
 
พอเห็นร่างคนที่พุ่งออกมา ศิษย์วังปฐพีคนหนึ่งเร่งเหินร่างขึ้นมาหามันทันที “ไฉนเจ้าถึงถูกขับออกมาเล่า?”
 
ตอนนี้เองคนสกุลจ้าวทั้ง 3 ที่อยู่ด้านหลังจ้าวเติง ก็มองมาที่เซียวตุนทันที สองตาพวกมันแต่ละคนยังทอประกายเรืองวูบ
 
พวกมันย่อมจดจำได้ดี ว่าเซียวตุนเป็นคนที่พวกมันปิดล้อมเอาไว้ และกำลังยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายบอกที่ตั้งมรดกเวทย์พลังทั้ง 2 แต่สุดท้ายกลับถูกหลิงเทียนเข้ามาแทรกแซง จนในที่สุดพวกมันก็ถูกขับออกมาจากแดนลับเซียน…
 
พอพวกมันเห็นเซียวตุน พวกมันก็หวนนึกถึงประสบการณ์อันน่าเศร้าเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนขึ้นมาอีกครั้ง
 
“เจ้ามิใช่ว่าถูกศิษย์พี่หลิงเทียนช่วยเอาไว้แล้วหรอกหรือ?”
 
ศิษย์วังปฐพีที่กล่าวถามก่อนหน้า ยิงคำถามออกมาอีกครั้งทันที มันก็คือสหายของเซียวตุน ที่มีวิชาเนตร แต่สุดท้ายกลับถูก 3 คนสกุลจ้าวฆ่าตายจนถูกขับออกจากแดนลับเซียนมาก่อน!
 
เบาะแสพื้นที่มรดกเวทย์พลังทั้ง 2 เป็นมันที่เป็นผู้ค้นพบ
 
“ก็ใช่”
 
เซียวตุนพยักหน้า “ข้าได้รับการช่วยเหลือจากศิษย์พี่หลิงเทียนจริงๆ อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเรื่องเมื่อ 10 วันก่อน หลังจากที่ข้าพาศิษย์พี่หลิงเทียนไปส่งยังพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งที่ 2 ที่เจ้าพบพวกเราก็แยกทางกัน…แน่นอนว่าศิษย์พี่หลิงเทียนก็ได้ช่วยให้ข้าได้รับมรดกเวทย์พลังชิ้นหนึ่ง”
 
กล่าวถึงจุดนี้เซียวตุนก็เผยรอยยิ้มออกมา
 
ศิษย์วังปฐพีที่ได้ฟังก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา “นั่นเป็นเรื่องดียิ่ง!”
 
อย่างไรก็ตามด้านเซียวตุน ได้แต่มองสหายด้วยสายตารู้สึกผิด “พี่เจิ้ง ข้ามอบ 1 ใน 2 พื้นที่มรดกเวทย์พลังที่ท่านพบให้ศิษย์พี่หลิงเทียนไป…เรื่องนี้ท่านคงไม่คิดตำหนิข้าใช่หรือไม่?”
 
“ข้าจะตำหนิเจ้าทำอะไรเล่า?! ข้าถูกกำจัดออกมาแล้ว มรดกเวทย์พลังทั้ง 2 นั่นย่อมเป็นของเจ้าตามธรรมชาติ…ในเมื่อศิษย์พี่หลิงเทียนเมตตาช่วยเหลือเจ้าเช่นนี้ มอบให้เขาที่หนึ่งก็เป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งแล้ว!”
 
ศิษย์วังปฐพีส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม
 
ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้วแบบนี้ มันไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรอีก ใจสงบลงอย่างสมบูรณ์
 
บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่ได้อย่างที่หวัง สุดมือสอยก็จำต้องปล่อยมันไป อย่ารั้น…
 
มันเองก็ปล่อยวางได้แล้ว
 
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่มันพบว่า 2 พื้นที่เก็บมรดกเวทย์พลัง 1 ในนั้นเป็นของสหาย อีก 1 เป็นของผู้มีพระคุณสหาย มันก็รู้สึกยินดี ทั้งยังมีความสุขกับเซียวตุนจากใจจริง
 
“หลิงเทียน?”
 
ทุกคนที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างศิษย์วังนภาอย่างเซียวตุนกับศิษย์วังปฐพีที่ถูกเรียกว่าพี่เจิ้ง ย่อมบังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที กระทั่งจ้าววังเหลืองยังอดไม่ไหว เร่งกล่าวถามออกมาเสียงดัง “ศิษย์น้อยแซ่เซียววังนภา เวทย์พลังอันใดหรือที่หลิงเทียนช่วยให้เจ้าได้รับมา?”
 
ทันทีที่จ้าววังเหลืองกล่าวถามออกมา ทุกผู้คนก็หันไปมองเซียวตุนด้วยความสนใจทันที
 
รวมถึงจ้าววังนภาอย่างจูลู่ฉีด้วย
 
หากเป็นคนอื่นมองถามมาแบบนี้เซียวตุนอาจเพิกเฉยได้ แต่เมื่อมีจูลู่ฉีรวมอยู่ด้วยมันย่อมไม่อาจเพิกเฉย
 
เพราะอย่างไรเสียจูลู่ฉีก็เป็นจ้าววังนภา หากมันคิดมีชีวิตที่ดีในวังนภา ย่อมไม่อาจขัดใจจ้าววังได้
 
“เวทย์พลังที่ข้าได้รับมาเรียกว่า ปราการศิลาสวรรค์!”
 
ภายใต้สายตาของทุกคน เซียวตุนกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด
 
ปราการศิลาสวรรค์!
 
ทันทีที่เซียวตุนกล่าวออกมา อาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกใจ
 
กระทั่งเมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับที่หลับตาอยู่ยังถึงกับลืมตาขึ้นมา มองเซียวตุนด้วยตาประกายตาลุกวาว
 
เมื่อสัมผัสได้ถึงการมองมาของจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เซียวตุนย่อมรู้สึกกดดันไม่น้อย แรงกดดันของจ้าวตำหนักเป็นอะไรที่หนักหน่วงสำหรับมันเกินไป
 
“ท่ามกลางเวทย์พลังสายป้องกันระดับกลาง…ปราการศิลาสวรรค์ของเจ้านับว่าเป็นหนึ่งในเวทย์พลังที่ยอดเยี่ยมที่สุด! นับว่าเจ้ามีโชคนักที่สามารถสืบทอดมรดกเวทย์พลังอย่างปราการศิลาสวรรค์มาได้! ข้าหวังว่าเจ้าจะทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ และสามารถเพาะสร้างเวทย์พลังปราการศิลาสวรรค์จนใช้งานได้!”
 
เฉียนผิงเชิงกล่าวกับเซียวตุนด้วยสายตาจริงจัง “ในประวัติศาตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเรา แม้มีไม่น้อยที่สามารถรับมรดกเวทย์พลังปราการศิลาสวรรค์มาได้ แต่มีน้อยคนนักที่ทะลวงถึงเซียนมนุษย์ เช่นนั้นพวกเราจึงยังมิเคยเห็นพลังอานุภาพของเวทย์พลังปราการศิลาสวรรค์มาก่อน กระทั่งยังมิมีผู้ใดสามารถถ่ายทอดมันได้ในตำหนักฟ้าลี้ลับเรา!”
 
“ท่ามกลางเวทย์พลังป้องกันระดับกลาง ปราการศิลาสวรรค์…นับว่าเป็นหนึ่งในเวทย์พลังที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
 
ได้ยินวาจานี้ของเฉียนผิงเชิง สองตาเซียวตุนพลันลุกวาวขึ้นมาทันที มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าเวทย์พลังป้องกันปราการศิลาสวรรค์ที่มันได้รับมา จะไม่ใช่เวทย์พลังระดับกลางสายป้องกันทั่วๆไป!
 
“ขอแสดงความยินดีด้วยสหายเซียวตุน!”
 
ตอนนี้เองเหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับคนอื่นที่ถูกขับออกมา ก็หันไปแสดงความยินดีกับเซียวตุน
 
ห่ากแต่ลึกลงไปในแววตาของพวกมันเผยความอิจฉากันไม่น้อย
 
ศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับคนใด ที่รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับกลางหรือสูงกว่านั้นมาได้ ทางตำหนักจะคอยดูแลสนับสนุนเป็นพิเศษ! เพื่อส่งเสริมให้ศิษย์คนนั้นบรรลุเซียนมนุษย์ในเร็ววัน กระทั่งหวังว่าจะสามารถเข้าใจจนเพาะสร้างต้นแบบใช้งานได้สำเร็จ จึงจะมีความสามารถถ่ายทอดให้กับทางตำหนัก…
 
ด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับกลางขึ้นไปในแดนลับเซียน
 
อนิจจาแม้จะมีบางคนที่สามารถรับสืบทอดเวทย์พลังได้ก่อนจะถูกขับออกมาเหมือนเซียวตุน แต่พวกมันก็ล้วนได้มาแต่เวทย์พลังระดับต่ำๆทั้งสิ้น ย่อมไม่ได้เป็นที่ต้องการอะไรมากมาย
 
“ขอแสดงความยินดีด้วยเซียวตุน”
 
ตอนนี้เองจ้าววังนภาอย่างจูลู่ฉี ก็ยิ้มกล่าวกับเซียวตุน ศิษย์วังนภาที่มันไม่ค่อยได้ให้ความสนใจอะไรมากมายในกาลก่อน มาตอนนี้มันต้องมองอีกฝ่ายใหม่แล้ว!
 
“ขอบคุณท่านจ้าววังขอรับ”
 
เซียวตุนรู้สึกปลาบปลื้มนัก
 
ศิษย์อีก 3 วังที่เหลือล้วนมองเซียวตุนอย่างอิจฉาตาร้อน เว้นแต่สหายของมันคนหนึ่งที่แย้มยิ้มยินดีกับสหายจนแก้มแทบปริ เพราะในเมื่อสหายรุ่งโรจน์..มันไหนเลยจะไม่พลอยได้อานิสงค์ไปด้วย!
 
ด้านจ้าวเติงกับบุตรชาย รวมถึงศิษย์สกุลจ้าวทั้ง 3 ตอนนี้สีหน้ามืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก!
 
ในสายตาของพวกมัน เวทย์พลังนั่นสมควรเป็นของสกุลจ้าวพวกมัน!
 
‘หลิงเทียน…หลิงเทียน!!’
 
จังหวะนี้ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเติงหรือจ้าวจี้ ความเกลียดชังที่มีต่อต้วนหลิงเทียนในใจของพวกมันล้วนเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น!
 
“ปราการศิลาสวรรค์งั้นหรือ…หากข้าจำมิผิด เจ้ากับหลิงเทียนสมควรบุกเข้าไปใน พระราชวัง 6 โถง!”
 
จูลู่ฉีมองเซียวตุนด้วยความสนใจ พอกล่าวเกริ่นจบค่อยถามออกมาอีกครั้ง “ว่าแต่เจ้าบอกว่าได้มอบที่ตั้งมรดกเวทย์พลังอีกที่ให้หลิงเทียนงั้นหรือ…สถานที่แห่งนั้นเป็นเช่นไรเล่า?”
 
เห็นได้ชัดว่าจูลู่ฉีอยากรู้นักว่าต้วนหลิงเทียนจะได้รับสืบทอดเวทย์พลังอะไร
 
“สถานที่มรดกเวทย์พลังดังกล่าว พอพวกเราเข้าไป…พวกเราก็เจอบึงน้ำดำตั้งอยู่เบื้องหน้าไกลๆ ส่วนโดยรอบเป็นป่ารกชัด บรรยากาศมืดครึ้มอึมครึม สิ่งที่ออกมาต้อนรับพวกเราเป็นสัตว์ร้ายที่มีร่างกายคล้ายมนุษย์หน้าตาอัปลักษณ์ เขายาวหัวโตแถมปูดบวม ผิวหนังยู่ย่นปานคนชรา มีปีกใหญ่โตที่กลางหลังจำนวน 4 ตัว…”
 
เซียวตุนพยายามอธิบายออกมาอย่างละเอียด โดยเฉพาะลักษณะของสัตว์ร้ายน่ากลัวนั่น
 
“สัตว์ร้ายมีปีก!?”
 
ทันทีที่เซียวตุนอธิบายถึงสัตว์ร้ายมีปีกที่หลังนั่นออกมา สองตาจูลู่ฉีหดหยีทันใด ยังโพล่งออกมาด้วยความตกใจเสียงดัง
 
สัตว์ร้ายร่างคล้ายมนุษย์มีปีก!
 
จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ เมิ่งฉิง ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ก็ถึงกับต้องลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินคำอธิบายของเซียวตุน!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด