War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1542

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1542 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

หานจิ้นเหนียน
 
จากที่ต้วนหลิงเทียนเล่า คนอื่นๆนอกเหนือจากเฉินเฉ่าช่วยก็ได้รับรู้เรื่องผู้ฝึกตนขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ที่ดำรงอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ว่าเป็นอะไรที่เหนือกว่าจักรพรรดิยุทธ์และจักรพรรดิปีศาจมากนัก!
 
“หลุดพ้นมนุษย์?”
 
หลังได้ยินคำถามนี้ของหนานกงยี่ ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวออกมาเบาๆ “ข้าไม่ได้อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์”
 
“เป็นไปได้ยังไง?!”
 
ได้ยินคำนี้ เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆไม่มีใครเชื่อ “หากเจ้าไม่ได้อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์แล้วไหงเจ้าพาพวกเราเหาะมานี่ได้ไวนักเล่า?”
 
“นั่นสิ! ตอนเจ้าพาพวกเราบินมา มันเร็วจนข้ามองอะไรรอบๆไม่ทันเลยด้วยซ้ำ!”
 
“ต้วนหลิงเทียนเจ้าล้อพวกเราเล่นหรือ…ถึงข้าจะยังไม่บรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิ แต่ข้ารู้ดีว่าไม่มีตัวตนจักรพรรดิคนไหนบรรลุความเร็วระดับนั้นได้”
 
……
 
ทุกคนไม่มีใครเชื่อ เฉินเฉ่าช่วย หนานกงยี่ และหนานกงเฉินถึงกับถามออกมาติดๆกัน
 
“ข้าแค่บอกว่าไม่ได้อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ แต่ข้าไม่ได้บอกว่ายังอยู่ที่ด่านพลังจักรพรรดิ…”
 
ต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มออกมาแห้งๆ ก่อนที่จะส่ายหัวไปมา
 
“เจ้าหมายความว่า…”
 
ทุกคนอึ้งไปทันใด
 
สุดท้ายเป็นเฟิ่งหวู่เต้าที่กลับมามีสติคนแรก และตระหนักได้ว่ามันคืออะไร พลันถามออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เจ้าหนูหลิงเทียน…หรือเจ้าข้ามผ่านขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์จนบรรลุด่านพลังที่สูงกว่านั้นไปแล้ว!?”
 
ทันทีที่เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวถามออกมา ทุกสายตาก็หันไปจับจ้องต้วนหลิงเทียนทันที
 
“ใช่”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ตอนนี้ข้าอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ”
 
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็อธิบายให้เฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆฟังถึงด่านพลังในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…และนั่นทำให้ทุกคนรู้ว่าขอบเขตสู่เซียน เป็นขอบเขตที่เหนือกว่าหลุดพ้นมนุษย์!
 
ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังได้รับทราบขั้นต่างๆในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์และสู่เซียนอีกด้วย
 
สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ ก็เหมือนสู่เซียนขั้นที่ 4!
 
พอได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกลับประสบความสำเร็จ และมีด่านพลังฝึกปรือก้าวหน้าครั้งใหญ่ในเวลาแค่ 3 ปี ทั้งหมดก็ตะลึงงันไปไม่น้อย
 
พอกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ลมหายใจยังถี่รัวขึ้นมาชัดเจน!
 
“สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันน่าทึ่งขนาดนั้นเลยหรือ?!”
 
เฉินเฉ่าช่วยอุทานออกมา
 
“นั่นสิ! ถึงแม้พรสวรรค์แต่กำเนิดของเจ้าจะสูงล้ำ แต่เจ้ากลับก้าวหน้าได้อย่างเหลือเชื่อนัก! ต้วนหลิงเทียน…ถึงแม้พรสวรรค์ของข้าจะไม่ได้มากเท่าเจ้า แต่พลังฝึกปรือข้าในช่วง 3 ปีนี้ ยังไม่อาจเทียบได้กับ 1 ใน 10 ของเจ้าด้วยซ้ำ”
 
หนานกงยี่กล่าวออกมาอย่างสะทกสะท้อน
 
ถึงแม้หนานกงเฉินจะไม่ได้กล่าวคำใดออกมา แต่แววตาร้อนแรงแฝงความมุ่งมั่นก็เผยอารมณ์ของมันดี
 
เรียกว่าจังหวะนี้เฟิ่งหวู่เต้าและทุกคน บังเกิดความมุ่งมาดปรารถนาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่น้อย!
 
มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มออกมา เพราะเขารู้ได้ทันทีว่าเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆได้ตัดสินใจกันแล้ว
 
เหตุผลที่ทำให้ทุกคนบังเกิดความคิดเช่นนี้ เพราะทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรจากหนานกงยี่
 
ทุกคนรู้สึกว่าสมควรเป็นเพราะสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า จึงทำให้ต้วนหลิงเทียนบรรลุพลังฝึกปรืออันน่าเหลือเชื่อในเวลาแค่ 3 ปี…
 
แต่ทั้งหมดไม่ได้รู้เลย…ว่าที่ด่านพลังของต้วนหลิงเทียนก้าวหน้ามาถึงขนาดนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะ เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
 
อย่างไรก็ตามเรื่องเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนไม่สะดวกที่จะกล่าวถึง
 
ไม่ใช่เพราะเขาเห็นแก่ตัว แต่เป็นเพราะเหตุผลเดียวกันกับที่เขาไม่บอกป๋ายลี่หง
 
เฟิ่งหวู่เต้าและทั้งหมดในที่นี้ยินดีตกตายไปพร้อมกันกับเขา แน่นอนว่าเขาย่อมไม่คิดว่าใครในนี้จะทรยศเขาได้…อย่างไรก็ตามภายใต้ทักษะวิญญาณลี้ลับอ่านความคิดบางประการ รวมไปถึงวิชาน่ากลัวจำพวกควาญวิญญาณนั้น…เป็นอะไรที่ทุกคนไม่อาจควบคุมได้!
 
ต้วนหลิงเทียนย่อมกังวลเรื่องนี้มากที่สุด
 
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะสาดน้ำเย็นปลุกสติทุกคนให้ตื่นจากฝัน เรื่องคิดไปว่าที่พลังฝึกปรือเขาก้าวหน้าฉับไว้ล้วนเป็นเพราะทรัพยากรบ่มเพาะและสภาพแวดล้อม
 
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะไม่ได้เลิศล้ำอย่างที่ทุกคนคิด แต่อย่างน้อยๆมันก็ดีกว่าที่ทวีปเมฆาล่องเกินครึ่ง…โดยเฉพาะในสำนักจันทร์จรัสแสง มันเหนือกว่าขุมพลังชั้น 8 และขุมพลังชั้น 9 มากมายนัก
 
“หลิงเทียน…แล้วตอนเจ้าอยู่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เจ้าได้ข่าวคราวของหวู่เอ๋อบ้างหรือไม่?”
 
พอได้ฟังเรื่องดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เฟิ่งหวู่เต้าพลันคิดถึงเฟิ่งเทียนหวู่ขึ้นมาไม่น้อย มันจึงมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความกังวลใจใคร่รู้
 
“ลุงเฟิ่งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านับว่าใหญ่กว่าทวีปเมฆาล่องมากจนไม่อาจเปรียบกันได้เลย…อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่าขุมพลังที่พาเทียหวู่ไป ไม่น่าจะใช่ขุมพลังยิ่งใหญ่อะไร และข้าเองก็ฝากศิษย์พี่ที่ดีกับข้าให้ช่วยหาเบาะแสของเทียนหวู่แล้ว…หากมีข่าวอะไร ศิษย์พี่ของข้าย่อมรีบบอกข้าทันที”
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเฟิ่งหวู่เต้า
 
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยลืมเฟิ่งเทียนหวู่
 
ดังนั้นแล้วหลังจากที่ป๋ายลี่หงรับเขาเป็นศิษย์น้องไม่นาน เขาก็ขอแรงอีกฝ่ายให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ทันที
 
และป๋ายลี่หงก็ใช้เส้นสายที่มี คอยหาข่าวคราวเกี่ยวกับเฟิ่งเทียนหวู่อยู่เสมอ
 
แน่นอนว่าแม้ป๋ายลี่หงจะเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว แต่อย่างไรเส้นสายของมันก็มีจำกัด ขอบเขตที่มันสามารถค้นหาได้ก็มีแต่ในขุมพลังชั้น 7 ชั้น 8 และชั้น 9 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น
 
หากเฟิ่งเทียนหวู่ถูกคนของขุมพลังชั้น 6 พาตัวไป หรือขุมพลังที่มีระดับสูงกว่านั้น น่ากลัวว่าต้องให้เฟิ่งเทียนหวู่สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจนโด่งดังเสียก่อน…หาไม่แล้วคงยากที่ป๋ายลี่หงจะรับทราบได้ด้วยสายสัมพันธ์ที่มี
 
กระทั่งตรวจสอบแค่ในบรรดาขุมพลังชั้น 7 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็นับว่ายากเย็นแล้ว
 
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องขุมพลังชั้น 8 กับชั้น 9 ที่มีมากมายนับไม่ถ้วนเลย
 
“อืม…”
 
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน เฟิ่งหวู่เต้าพยักหน้ารับคล้ายโล่งใจ แต่อารมณ์ยังหนักอึ้งไม่น้อย
 
ในกาลก่อนแม้จะรับทราบว่าบุตรีคนเดียวสมควรถูกพาตัวไปยังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่มันก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามากนัก จึงไม่ได้ห่วงกังวลอะไรมากเกินไป
 
แต่พอได้รับทราบเรื่องราวของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันอดกังวลขึ้นมาเสียไม่ได้
 
ความป่าเถื่อนและอันตรายของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังนับว่าโหดร้ายกว่าทวีปเมฆาล่องเสียอีก
 
ที่นั่นสุดยอดฝีมือของทวีปเมฆาล่องอย่างจักรพรรดิยุทธ์กับจักรพรรดิ์ปีศาจ ล้วนเป็นแค่ตัวตนต้อยต่ำให้ทุกคนย่ำเหยียบ!
 
ในเมื่อเฟิ่งหวู่เต้ากับคนอื่นๆตัดสินใจได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่ทวีปเมฆาล่องสืบไป
 
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นเขามีเรื่องที่ต้องไปจัดการเสียก่อน
 
“ลุงเฟิ่ง ครู…พวกท่านรอข้าที่นี่ครู่หนึ่ง ข้ามีบางอย่างต้องไปทำ ข้าจะรีบกลับมา”
 
หลังจากกล่าวแจ้งเฟิ่งหวู่เต้า ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน ดิ่งลงใต้ด้วยความเร็วสูงสุด
 
ตอนนี้ด้วยด่านพลังสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ คิดเดินทางออกจากอาณาจักรพนาครามไปยังอาณาจักรนภาล่อง ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 10 ลมหายใจเท่านั้น…
 
ที่เขากลับมายังอาณาจักรนภาล่องนั้นมีเหตุผลเดียวเท่านั้น คือแจ้งสหายอันดีของเขาให้รับทราบว่า เขากำลังจะไปไหน
 
‘หากเสี่ยวเฟยเอ๋อกับพวกเจ้าตัวเล็กไปหาเฉวี่ยไน่จริง วันหน้าพวกนางต้องย้อนกลับมาแน่…เมื่อเห็นว่าเกาะป้านเยว่ถูกทำลาย เสี่ยวเฟยเอ๋อย่อมมีไหวพริบมากพอจะนึกถึงอาณาจักรนภาล่อง’
 
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงกลับมายังเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง และกล่าวถึงที่อยู่ของเขาให้สหายเก่ารับทราบเอาไว้
 
ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาดำเนินการไม่นานก็จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น
 
และไม่ถึง 20 ลมหายใจต้วนหลิงเทียนก็กลับมารวมตัวกับเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ หลังจากกล่าวบอกอะไรอีกเล็กน้อยเขาก็นำพาทั้งหมดมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ไม่นานก็ออกจากทวีปเมฆาล่อง
 
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดเดินทางผ่านเกาะป้านเยว่ แต่ใช้การอ้อมไกลๆเอา
 
ใครจะไปรู้ว่าตี้จิ่วจะเฝ้าปากโพรงกระต่ายบนเกาะป้านเยว่อยู่หรือไม่?
 
เขาไม่กล้าเสี่ยง
 
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงต้องไปทิ้งข้อมูลเอาไว้ที่อาณาจักรนภาล่อง ไม่คิดไปทิ้งเบาะแสอะไรไว้ที่เกาะป้านเยว่
 
ตอนที่ไปจัดการทิ้งข้อความไว้ในอาณาจักรนภาล่องนั้น ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ฝากสหายและคนรู้จักไว้แต่ข้อความปากเปล่าอย่างเดียว เขายังทิ้งหยกบันทึกเสียงเอาไว้ด้วยเช่นกัน
 
ในหยกบันทึกเสียงมีข้อความที่เขาเตียมไว้ให้ลี่เฟย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเค่อเอ๋อถูกพาตัวไปและจุดหมายปลายทางของเขา
 
เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนไม่คิดเหินผ่านเกาะป้านเยว่ เขาจึงไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้เกาะป้านเยว่ได้จมลงสู่ก้นสมุทรไปแล้ว…โลกนี้จึงไม่มีเกาะป้านเยว่อยู่อีกต่อไป
 
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพาเฟิ่งหวู่เต้าและคนทั้งหมดกลับสำนักจันทร์จรัสแสงของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้นเอง
 
ที่ไหนสักแห่งในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ปรากฏร่าง 4 ร่างที่แลดูอิดโรยเหนื่อยล้าจากการเดินทาง กำลังมุ่งหน้าไปยังยอดเขาสูงแห่งหนึ่งที่มีม่านเมฆหมอกปกคลุมมิดชิด
 
เมื่อทั้ง 4 ร่างเข้าใกล้เขาลูกนั้น…ไม่ทันที่จะได้แหวกฝ่าม่านเมฆหมอกลงไป ก็ปรากฏผู้คนเหินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน
 
เป็นชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินรูปแบบเดียวกัน 3 คน และชายหนุ่มในชุดปกติ 2 คนที่ขวางทั้ง 4 เอาไว้
 
ชายหนุ่ม 1 ใน 2 คนนั้นแต่งตัวหรูหรามีระดับ พิจารณาจากท่วงท่าการแสดงออกของมันคล้ายเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่ง…ส่วนชายหนุ่มอีกคนมาในชุดปกติ ยังยืนประกบหลังชายหนุ่มแลดูมีระดับเอาไว้ คล้ายเป็นผู้ติดตาม
 
ชายหนุ่มในชุดหรูหรา…ท่าทางยังเป็นผู้นำของกลุ่มคน 5 คนนี้อีกด้วย
 
“พวกเจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้กล้าบุกรุกอาณาเขตคฤหาสน์คลื่นขจีของสกุลหาน!?”
 
ชายในชุดหรูหรากล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ตั้งแต่ที่ทั้ง 4 ปรากฏตัวออกมา มันยังไม่คิดจะเหลือบแลให้ชัดเสียด้วยซ้ำ
 
“นายน้อย! สาวงาม! สาวงามขอรับ!!”
 
ชายในชุดหรูหรากล่าวจบไม่ทันไร เสียงชายหนุ่มด้านหลังก็กระซิบบอกมาอย่างตื่นเต้น สุดท้ายยังกล่าวออกด้วยอาการเสียดาย “น่าเสียดาย…ที่นางกลับตั้งครรภ์อยู่”
 
สาวงาม!?
 
หลังได้ยินเสียงกระซิบจากผู้ติดตาม ชายหนุ่มในชุดหรูหราพลันบังเกิดความสนใจทันที มันเงยหน้าขึ้นมามองสำรวจคนทั้ง 4 ที่พึ่งมาถึง
 
ลูกตาของมันถูกร่าง 1 ในนั้นดึงดูดความสนใจไปทันที
 
เป็นสตรีที่มีรูปร่างเย้ายวนปานปีศาจสาว ทว่าใบหน้ากลับงดงามปานเทพธิดา…รูปลักษณ์นี้กล่าวว่างามล่มเมืองก็ไม่นับว่าเกินเลย สภาพแวดล้อมรอบกายนางยังแลดูหม่นหมองไปถนัดตา
 
ที่สำคัญคือความรู้สึกที่นางให้ออกมา นับว่ามีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลไม่น้อย!
 
มันเองก็พบพานสาวงามมามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่มันพบพานสาวงามทั้งให้ความรู้สึกยั่วใจ มากเสน่ห์ถึงเพียงนี้
 
“ตังครรภ์แล้วอย่างไร?”
 
แม้จะแลเห็นหน้าท้องของสตรีโฉมงามที่โห่งนูนออกมา ชายหนุ่มในชุดหรูหราก็ไม่แยแสเพียงกล่าวคำเย้ยออกมากับสุนัขรับใช้ด้านข้างอย่างชั่วร้าย “ข้าหานจิ้นเหนียนเองก็เชยชมสตรีมานับมิถ้วน…ทว่ากับสตรีตั้งครรภ์ยังมิเคยลองมาก่อน…โดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ที่งดงามมากเสน่ห์เช่นนี้!!”
 
“แม่นางท่านนี้ มิทราบเจ้าเรียกว่าอะไรหรือ?”
 
ใบหน้าหานจิ้นเหนียนเปลี่ยนจากเฉยเมยไม่แยแส กลับกลายเป็นกระตือรือร้นเร่งมาต้อนรับทันที
 
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้หานจิ้นเหนียนจะเต็มไปด้วยเจตนาอกุศล แต่กลับไม่เผยความชั่วร้ายให้เห็นบนใบหน้าแววตาแม้แต่น้อย มีเพียงประกายตาชั่วร้ายที่สว่างวาบขึ้นมาวูบเดียวก่อนหน้าเท่านั้น
 
ตอนนี้ท่าทางมันแลดูไม่ต่างอะไรจากชายหนุ่มสุภาพแสนดีดั่งวิญญูชนของตระกูลสูงศักดิ์แม้แต่น้อย!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด