แม่สาวเข็มเงิน – ตอนที่ 48 พลังที่แข็งแกร่งมาก

อ่านนิยายจีนเรื่อง แม่สาวเข็มเงิน ตอนที่ 48 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 48 พลังที่แข็งแกร่งมาก

ชาวบ้านที่มารวมตัวกันเพื่อดูเรื่องสนุกยิ่งอยู่ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อย ๆ

จู่ ๆ ก็มีเสียงที่ค่อนข้างแก่แต่น่าเกรงขามดังขึ้น “ทำอะไรกัน ?”

ท่านปู่เจียงรีบเดินไปต้อนรับทันที เขาพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “พี่ฉวน ลมอะไรพัดพี่มารึ ?”

ในชีหลี่โว คนที่นามสกุลฉวนมีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้น แต่คนที่สามารถทำให้ท่านปู่เจียงเรียกว่า ‘พี่ฉวน’ ได้ ก็เห็นจะมีเพียงหลี่เจิ้งในชีหลี่โวคนนี้

บนใบหน้าของฉวนหลี่เจิ้งมีรอยเหี่ยวย่นมากกว่าท่านปู่เจียงเล็กน้อย เขาพูดขึ้นช้า ๆ “ข้าออกมาเดินย่อย บ้านเจ้าครึกครื้นดีนะ”

ปู่เจียงกดเสียงให้เบาลง “นี่นะ… เจ้าปัญญาอ่อนบ้านข้าถูกผีน้ำเข้าสิงร่าง นี่เซียนเว่ยก็กำลังขับไล่สิ่งชั่วร้ายอยู่”

ฉวนหลี่เจิ้งพยักหน้า เขาส่งเสียงอุทานออกมาเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรอีก

ในตอนนั้นเอง เจียงป่าวชิงที่เงียบและอยู่นิ่ง ๆ มาตลอดก็ขยับตัว นางฉีกยันต์เหลืองที่ติดอยู่บนหน้าออก จากนั้นก็เช็ดหน้าเล็กน้อยและเรียกเจียงหยุนชานด้วยเสียงสะอื้น “พี่ ข้ากลัว”

เห็นทีว่าคงจะตกใจจนเสียสติไปแล้วจริง ๆ ถึงได้ดึงสติกลับมาเอาป่านนี้  แม่เฒ่าเซียนเว่ยลอบพิจารณาในใจว่าเวลานี้คงจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการทำให้สาวน้อยตกใจ นางจึงตีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็นับนิ้วและพูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่เข้าใจ ผ่านไปสักครู่ นางก็ลืมตาและตวาดขึ้นอย่างฉับพลัน “สิ่งอัปมงคลนี้ พลังของมันแข็งแกร่งมาก พวกเจ้าอย่าเข้าไปใกล้นาง ระวังนางจะหาตัวตายตัวแทนอีกครา”

บนตัวของเจียงป่าวชิงเปื้อนไปด้วยเลือดหมาดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนี้นางดูเหมือนมนุษย์เลือดอย่างไรอย่างนั้น และถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเที่ยงวัน แต่ผู้คนที่มาล้อมดูเหตุการณ์กลับรู้สึกว่าใต้เท้าของพวกเขามีความหนาวเย็นพุ่งสูงขึ้นถึงบนศีรษะ เมื่อได้ยินที่แม่เฒ่าเซียนเว่ยบอก พวกเขาแต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

เจียงหยุนชานถูกกดหน้าลงกับพื้น เมื่อเขาได้ยินน้องสาวตัวเองร้องไห้เรียกเขาอยู่ตรงนั้น เขาก็ดิ้นรนอย่างรุนแรงอีกครั้งทันที “ป่าวชิง! ป่าวชิง!”

เจียงอีหนิวกำลังหวาดเสียวต่อสภาพของเจียงป่าวชิง ตอนที่เจียงหยุนชานออกแรงดิ้นรนอย่างสุดกำลัง เขาก็กดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป จึงทำให้เจียงหยุนชานสามารถพลิกตัวและตะเกียกตะกายออกไปได้ในที่สุด

เมื่อเจียงหยุนชานเห็นน้องสาวที่มีเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งตัว น้ำตาของเขาก็หลั่งออกมาทันที เขารีบเข้าไปใช้มือช่วยเจียงป่าวชิงเช็ดเลือดที่ติดอยู่บนหน้านางออก “ป่าวชิง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหมป่าวชิง ?”

แน่นอนว่าเจียงป่าวชิงไม่ได้เป็นอะไร

อันที่จริง นางสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่โจซื่อถือเลือดหมาเพื่อจะนำมาสาดใส่นางแล้ว เดิมทีนางคิดจะเบี่ยงตัวหลบ แต่จู่ ๆ ในหัวกลับมีความคิดเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเสียก่อน ไม่ใช่ว่าตอนนี้นางกำลังต้องการหาข้ออ้างเพื่อออกไปจากตระกูลเจียงได้อย่างเปิดเผยหรอกหรือ ? นี่ไม่เท่ากับว่าพวกเขาส่งหมอนให้ในตอนที่นางกำลังสัปหงกอยู่หรืออย่างไร ?

ดังนั้น เจียงป่าวชิงจึงทำเป็นมองไม่เห็น ยอมถูกโจซื่อสาดเลือดหมาดำใส่จนเลอะไปทั่วทั้งตัว

ใครหลายคนอาจกลัวสิ่งที่เรียกว่าเลือด แต่สำหรับเจียงป่าวชิงที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ผู้ฝึกฝนการฝังเข็มในยุคปัจจุบันแล้ว เลือดเป็นสิ่งที่นางเห็นจนชินเสียแล้ว

มีอะไรให้ต้องกลัวกัน ? เลือดเป็นสิ่งที่ร่างกายของเจ้ามี ในร่างกายของข้าก็ต้องมีเช่นกัน …ก็แค่กลิ่นคาวเลือดไม่เป็นที่น่าดมเท่านั้นเอง ทว่าเมื่อดมไปนาน ๆ ก็จะชินไปเองอีกนั่นแหละ

เจียงป่าวชิงยืนเป็นไม้กระดานจัดฉากอยู่ตรงนั้นโดยที่ร่างนางเปื้อนไปด้วยเลือดหมาดำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่นางกลับไร้ซึ่งภาระทางจิตใจใด ๆ

นางกำลังรอให้ผู้คนที่มามุงดูเยอะขึ้นอีกหน่อย ขอเพียงเยอะขึ้นอีกสักหน่อย

และการมาของฉวนหลี่เจิ้งก็ทำให้หัวใจของเจียงป่าวชิงกระตุก นางรู้ว่าในที่สุดก็ถึงเวลาที่นางรอคอยสักที

ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็มีภาพความทรงจำเกี่ยวกับฉวนหลี่เจิ้งคนนี้อยู่เช่นกัน ซึ่งในปีนั้นที่เจียงหยุนชานผู้เป็นพี่ชายสอบเข้าเป็นนักเรียนของโรงเรียนในอำเภอได้ และเขาอยากไปเรียนหนังสือที่นั่นแต่คนในตระกูลเจียงไม่ยอมให้เขาไปโดยให้เหตุผลว่าถ้าเขาไป ในบ้านก็จะขาดแรงงานไปหนึ่งคน สุดท้ายก็เป็นฉวนหลี่เจิ้งคนนี้ที่มาพูดกล่อมและทำให้คนในตระกูลเจียงยอมเห็นด้วยในที่สุด

ดังนั้น เจียงป่าวชิงจึงฉีกยันต์เหลือง จากนั้นก็เรียกพี่ชายและเริ่มส่งเสียงร้องไห้ทันที

อันที่จริงเมื่อก่อนเจียงป่าวชิงไม่ใช่คนที่ขี้แยอะไรด้วยซ้ำ

ในยุคปัจจุบัน เธอได้รับการปลูกฝังจากปู่ของเธอให้เป็นทายาทตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่หน้าตาน่ารักแล้วยังสวยหยดย้อย แต่นิสัยของเธอกลับเข้มแข็งทรหดมาก  นอกจากนี้ เบื้องหลังยังมีน้องสาวที่ป่วยเป็นโรคอีกหนึ่งคนด้วย เธอจึงต้องแบกความรับผิดชอบไว้มากมาย ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่ค่อยหลั่งน้ำตาออกมาให้เห็นสักเท่าไหร่

แต่ทว่าเมื่อเธอมาเกิดใหม่บนร่างของเจียงป่าวชิงผู้เป็นเด็กสาวปัญญาอ่อนในยุคโบราณ ดูเหมือนเธอจะเปลี่ยนเป็นคนขี้แยไปเสียแล้ว

เดิมทีเธอแค่ตั้งใจจะแกล้งร้องไห้เล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนที่เจียงหยุนชานตะเกียกตะกายขึ้นมาจากบนพื้นด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและดิน จากนั้นก็วิ่งมาเช็ดเลือดหมาดำออกจากหน้าเธอด้วยความรัก จู่ ๆ จมูกของเธอก็คัดขึ้นมาทันทีด้วยความตื้นตัน จากนั้นเธอก็ร้องไห้ออกมาจากใจจริง

“พี่… ฮือ… พี่…”

ดูเหมือนสวรรค์จะไม่ยุติธรรมกับสองพี่น้องคู่นี้จริง ๆ แต่ต่อให้กฎแห่งสวรรค์จะไม่ยุติธรรมสักเพียงใด พวกเขากลับต้องเดินต่อไปอยู่ดี

เหตุการณ์ของโลกมีขึ้น ๆ ลง ๆ แต่คนเราก็มักจะไม่สามารถหยุดเดินได้เพราะความขึ้น ๆ ลง ๆ นี้

หลีโผจื่อหลบอยู่ด้านหลังเซียนเว่ย นางชี้ไปที่เจียงหยุนชานและตะโกนเรียกเขาว่า “เจ้าอย่าหลงกลผีชั่วร้ายตัวนั้นเชียว นั่นไม่ใช่น้องสาวเจ้า นั่นคือผีน้ำในแม่น้ำคราดที่กำลังเข้าสิงร่างของน้องสาวเจ้าและมาสร้างหายนะให้กับตระกูลเจียงของเรา ถ้าเราไม่ฆ่ามันให้ตาย ครอบครัวของเราก็จะไม่มีชีวิตที่ดี  เจ้าดูพี่ฉายสิ นี่เขาก็ใกล้จะถูกผีร้ายตนนั้นดูดกลืนพลังหยางไปจนหมดแล้ว”

เจียงหยุนชานยืดอกบังหน้าเจียงป่าวชิงและพูดขึ้นอย่างโมโห “ท่านย่าสอง นางไม่ใช่ผีน้ำอะไรนั่นนะขอรับ นางคือน้องสาวของข้า ข้ากับนางเป็นพี่น้องท้องเดียวกันและโตมาด้วยกัน! เหตุใดพวกท่านถึงทำกับนางได้ขนาดนี้ ?!”

เสียงร้องไห้ที่อ่อนวัยของเจียงป่าวชิงดังขึ้นในลานบ้าน “ฮือ… พี่ชาย… เป็นเพราะข้าไม่ฟังคำพูดของพวกท่านย่าสองและไม่ยอมขายตัวเองเพื่อแลกกับสินสมรสของพี่ต้ายาหรือเปล่า ? พวกเขาถึงได้คิดว่าข้าเป็นผีน้ำอะไรนั่น”

มีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้เรื่องที่ตระกูลเจียงคิดจะขายเจียงป่าวชิง  ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็ส่งเสียงเกรียวกราวและมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กทันที

ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย…

หลายคนในหมู่บ้านรู้เรื่องของสองพี่น้องเจียงหยุนชานและเจียงป่าวชิงเป็นอย่างดี หากพูดกันตามเหตุผล เด็กสองคนนี้ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวให้พวกเขาเพื่อแลกกับการที่พวกเขาจะได้อาศัยอยู่ในตระกูลเจียง ซึ่งนี่เท่ากับว่าเป็นการตกลงร่วมกัน และตระกูลเจียงไม่มีสิทธิ์ขายเด็กสองคนนี้

ตะกูลเจียงเอาทรัพย์สินครอบครัวของสองพี่น้องไปและบอกว่าจะเลี้ยงดูพวกเขา แต่ตระกูลเจียงกลับขายคนที่เป็นน้องสาว ถ้าหากว่าคำพูดนี้แพร่กระจายออกไป ลองคิดดูว่ามันจะน่าฟังหรือไม่ ?

คนรักศักดิ์ศรีอย่างท่านปู่เจียงอดกลั้นจนหน้าแดงลามไปถึงใบหู เขาร้อนรนรีบอธิบายให้คนอื่น ๆ ฟังทันที โดยเฉพาะกับฉวนหลี่เจิ้ง “ไม่ใช่นะ อย่าไปฟังที่ผีร้ายตนนั้นพูดเหลวไหล… ขายที่ไหน บ้านเราก็แค่ให้นางแต่งออกไปเท่านั้นเอง… แต่เจ้าเด็กคนนี้ดันไม่พอใจคนที่พวกเราหาให้นาง จึงบอกออกไปว่าพวกเราขายนางยังไงเล่า”

เจียงป่าวชิงร้องไห้และถามขึ้นอย่างน้อยใจ “ฮือ… พี่เอ้อยาอายุมากกว่าข้าตั้งหนึ่งปี เหตุใดถึงให้ข้าแต่งออกไปก่อนล่ะเจ้าคะ ? ไม่ใช่เพราะว่าคนที่ต้องแต่งด้วยคือชายวัยสี่สิบกว่าปีที่ตาเอียงจมูกเบี้ยวและขาไม่สมประกอบหรอกหรือ ครอบครัวของพวกท่านขาดเงินใช้ แต่ทำใจไม่ได้ที่จะส่งพี่เอ้อยากระโดดลงไปในขุมนรกจึงขายข้าออกไปแทนมิใช่หรือ ?”

เสียงแสดงความคิดเห็นของชาวบ้านเริ่มดังขึ้น “ไอ้โย! นี่ไม่ไร้คุณธรรมไปหน่อยรึ ? เด็กปัญญาอ่อนคนนี้อายุเพียงสิบสามปี นางยังเด็กเกินไป”

“ก็อย่างว่าแหละ ถ้าไม่ใช่ลูกหลานแท้ ๆ ก็จะไม่รักและเอ็นดูเลย แต่จะว่าไปคนขาเป๋อายุสี่สิบกว่าปีนั้นคงไม่ใช่เฉจื่อเจิ้งที่หมู่บ้านหลีหรอกใช่ไหม ? ถ้าไม่ใช่ว่าทำเพื่อเงิน ใครบ้านไหนเขาจะให้ลูกสาวแต่งออกไปกับคนแบบนั้นกัน ? …ถ้าจะพูดให้ดีหน่อยก็คือแต่งงาน แต่ที่จริงคือขาย! ขายชัด ๆ เลย”

คำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านทำให้คนในตระกูลเจียงรู้สึกอับอาย แต่พวกเขาไม่สามารถยืดคอเพื่อโต้แย้งได้จริง ๆ  พวกเขาไม่กล้าพูดเรื่องนี้มากนัก เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวข้องกับเจียงต้ายาที่ท้องก่อนแต่งจริง ๆ นั่นแล

ขายหลานสาวเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ แต่หากว่าถูกพูดออกไปว่าเจียงต้ายามีพฤติกรรมเช่นนี้ หน้าตาของตระกูลเจียงของพวกเขาก็จะพังพินาศไปจนหมดสิ้น

หลีโผจื่อรู้สึกแค้นในใจ ตอนที่รู้ว่าเจียงต้ายาท้อง นางน่าจะจับเจียงต้ายาถ่วงน้ำและให้นางจมน้ำตายอยู่ในแม่น้ำคราดโดยที่ไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

โจซื่อหน้าซีดเผือด นางรีบขัดขวางเจียงป่าวชิงทันที “พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเมื่อก่อนแล้ว ตอนนั้นเจ้ายังปัญญาอ่อน คนในบ้านแค่อยากให้เจ้าแต่งออกไปเพื่อที่เจ้าจะได้มีสามีที่อายุมากกว่าคอยดูแลเจ้าก็เท่านั้น แต่ตอนหลังเจ้าหนีกลับมาและบอกว่าตัวเองหายจากอาการป่วยแล้ว บ้านเราก็ไม่ได้ขับไล่เจ้าออกไปไม่ใช่รึ ? แต่ใครจะคิดว่าเจ้าไม่ใช่หายดีอะไร แต่ถูกผีน้ำเข้าสิงร่างและกลับมาทำร้ายครอบครัวของเราต่างหาก!”

ต้องบอกว่าโจซื่อฉลาดมาก นางสามารถทำให้หัวข้อสนทนากลายเป็นการที่เจียงป่าวชิงไม่ได้หายจากอาการป่วย แต่ถูกผีชั่วร้ายเข้าสิงร่างแทนได้

ไม่ได้มีเพียงเจียงป่าวชิงเท่านั้นที่ร้องไห้เป็น โจซื่อก็ร้องไห้เป็นเช่นกัน นางโยนกะละมังล้างหน้าในมือไปด้านข้าง จากนั้นก็ร้องห้มร้องไห้ ปากก็ฟ้องทุกคนไปด้วย

“ฮือ… ตั้งแต่ผีน้ำตนนี้กลับมา ในบ้านก็เกิดเรื่องร้ายขึ้นมากมาย พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าเจียงป่าวชิงคนนี้ผิดปกติมากแค่ไหน ตั้งแต่นางกลับมา ในบ้านก็เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นมากมาย พี่ฉายของเราไม่เคยป่วยมาก่อน แต่หลังจากที่นางกลับมา ผ่านไปไม่กี่วันพี่ฉายของเราก็ป่วยจนถึงกับลงไปกลิ้งบนพื้น เราจึงต้องไปเชิญหมอกัวมาที่นี่ แต่หมอกัวกลับบอกตรง ๆ ว่าเขาจะไม่รอด เราจึงรีบไปเชิญแม่เฒ่าเซียนเว่ยเพื่อให้นางมาแสดงอิทธิฤทธิ์ พี่ฉายถึงจะดีขึ้น แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน พี่ฉายของเราก็ป่วยอีก …นี่ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งอัปมงคลคอยก่อกวนอยู่ลับหลัง มันจะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร ?”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด