ตอนที่ 217-1 เข้าวังน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ

อ่านนิยายจีนเรื่อง ตอนที่ 96 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

สวีโย่วกับเสิ่นเวยเดินเข้าเรือนกันตามลำดับ ทั้งสองคนเพิ่งจะถอนหายใจอย่างโล่งอก สวีโย่วยื่นมือออกไปหาเสิ่นเวย เสิ่นเวยถลึงตามองเขาปราดหนึ่งฝ่ามือข้างหนึ่งปัดออก “ตอนนี้นึกถึงข้าแล้วหรือ เมื่อครู่ยังถลึงตาใส่ข้าอยู่เลย เหอะ สายไปแล้ว” นางบิดตัวเดินเข้าไปในห้องหอ/n /n /nสวีโย่วลูบจมูกยิ้ม เดินตามหลังนางอย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย “ฮูหยิน ข้าผิดไปแล้วได้หรือไม่ หรือว่า ฮูหยินก็ถลึงตาใส่ข้าสักหลายๆ ครั้ง”/n /n /nเสิ่นเวยหันหน้ายิ้มเยาะ “คิดว่าข้าไร้เดียงสาเหมือนท่านหรือไร เหอะ ข้าขี้เกียจจะสนใจท่านแล้ว” สวีโย่วหน้าหนาเดินตามหลังนางเข้าไปในห้องต่อ/n /n /nเมื่อเสิ่นเวยเข้าห้องไปก็ตรงไปยังเตียงหลังใหญ่ เหนื่อยเกินไปแล้ว นางต้องงีบสักพัก ตอนบ่ายยังมีงานดุเดือดให้ต้องสู้อีก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าสวีโย่วเองก็ตามมา ก็โบกมืออย่างรำคาญใจ “ท่านออกไปทำงานเถอะ ข้าจะหลับสักตื่น ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับท่าน”/n /n /nสวีโย่วอารมณ์ดียิ่งนัก “ข้าไม่ยุ่ง ให้ข้านอนเป็นเพื่อนฮูหยินเถอะ”/n /n /n“ไม่ต้อง” เสิ่นเวยกล่าวปฏิเสธ คิดว่านางไม่รู้หรือว่าเขาคิดอะไรอยู่ ผีทะเลจิตใจชั่วร้าย เมื่อคืนทรมานนางครึ่งค่อนคืน ตอนนี้นางไม่มีกระจิตกระใจจะคิดบัญชีเขา เหอะ รอก่อนเถอะ/n /n /n“ข้ารับปากจากใจจริง จะไม่รบกวนฮูหยินแน่นอน” สวีโย่วรีบรับปาก/n /n /nเสิ่นเวยเชื่อเขาก็บ้าแล้ว คิ้วงามตั้งขึ้น กล่าวด้วยความโมโห “ข้าจะบอกอะไรท่านให้สวีโย่ว แต่งข้าได้ก็ถือเป็นบุญสูงสุดในชีวิตท่านแล้ว ด้วยปัญหาจุกจิกมากมายในจวนท่าน นอกจากข้าแล้วยังจะมีใครทนอยู่ในนรกนี้ของท่านได้อีก หลังจากนี้ท่านก็ทำดีกับข้าหน่อย ได้ยินแล้วหรือยัง มิเช่นนั้น หึ!” ท่าทางแก้มป่องของนางเหมือนกระรอกน้อยอย่างถึงที่สุด/n /n /nสวีโย่วอารมณ์ดีแล้ว เหตุใดเวยเวยของเขาถึงน่ารักเพียงนี้ “ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว ข้ารับปากว่าจะทำดีต่อฮูหยิน เมื่อคืนฮูหยินสัมผัสได้ถึงความจริงใจของข้าได้แล้วมิใช่หรือ” สวีโย่วกล่าวอย่างจริงจัง “หากว่าไม่พอ ข้ายังสามารถทุ่มเทแรงได้อีก” พูดพลางก็กำลังจะถอดสายคาดเอวของตน/n /n /nเสิ่นเวยเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง สะบัดรองเท้าบนเท้าออกไปทันที กระแทกอกของสวีโย่วพอดี “เล่นลูกไม้ให้น้อยหน่อย ตอนบ่ายยังต้องเข้าวังไปน้อมสำนึกพระกรุณาธิคุณ อ้อจริงสิ ฝ่าบาทผู้อาวุโสคงจะไม่สมองกลวงเหมือนพ่อท่านหรอกนะ ในวังหลังมีใครคิดจะขุดหลุมฝังท่านเหมือนแม่เลี้ยงท่านหรือไม่”/n /n /nมุมปากสวีโย่วกระตุก เด็กคนนี้ปากร้ายจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่พูดกลับเป็นเรื่องจริง เสด็จพ่อของเขาสมองกลวงจริงๆ มิใช่หรือ แม่เลี้ยงเขาก็คิดจะขุดหลุมฝังเขาอยู่ทุกเมื่อมิใช่หรือ ฮูหยินฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ เข้าเรือนวันแรกก็รู้ธาตุแท้ของคนทั้งสองนี้อย่างชัดเจนแล้ว/n /n /n“ฮูหยินวางใจเถิด ในวังไม่มีคนไม่ดูตาม้าตาเรือเหล่านั้นหรอก ฝ่าบาทก็ยิ่งไม่ต้องเป็นกังวล” สวี/n /n /nโย่วกล่าว บางครั้งเขาก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง ชัดเจนว่าเสด็จพ่อเขาเป็นพี่มารดาเดียวกับฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาสามารถมีบุคลิกของฮ่องเต้เช่นนั้น เสด็จพ่อของเขาเทียบฝ่าบาทไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรจะด้อยไปกว่ามากนักมิใช่หรือ ครึ่งหนึ่งก็ควรจะเทียบได้มิใช่หรือ/n /n /nแต่ในความเป็นจริงเล่า เสด็จพ่อของเขาไม่เพียงแต่มีความรู้ด้านราชการพื้นๆ สามัญ ซ้ำยังหูเบา ถูกสตรีควบคุมอยู่ในมือหลายสิบปี เขาทำได้เพียงคาดเดาว่าตอนที่เสด็จย่าคลอดเสด็จพ่อออกมาเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรหรือไม่ หรือว่าเด็กถูกคนสับเปลี่ยน/n /n /nคราวนี้เสิ่นเวยจึงวางใจแล้ว นางไม่อยากฉีกหน้าจวนอ๋องเสร็จแล้วยังต้องไปฉีกหน้าพระราชวังอีก เรื่องฉีกหน้าข่มขู่พรรณ์นั้นน่ารำคาญที่สุด นางยกขาถีบรองเท้าอีกข้างให้หลุด จากนั้นจึงดึงปิ่นหยกเขียวบนศีรษะส่งให้หลีฮวา มุดเข้าไปนอนต่อในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว/n /n /nสวีโย่วถูกนางกั้นไว้นอกม่านก็คับแค้นใจ เขาคิดเพียงแค่จะนอนเป็นเพื่อนเฉยๆ จริงๆ เด็กคนนี้ก็คิดมาก แต่เมื่อด้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเสิ่นเวยที่ดังออกมาจากในม่าน มือที่ยกขึ้นของสวีโย่วก็วางลงอีกครั้ง ช่างเถอะ ปล่อยให้เด็กคนนี้นอนหลับสักตื่นเถอะ เมื่อคืนทำนางเหนื่อยเกินไปจริงๆ/n /n /nไม่รู้เหมือนกันว่าหลับไปนานเพียงใด เสิ่นเวยตื่นแล้ว นางบิดขี้เกียจถูหน้าอยู่บนหมอน รู้สึกสบายตัวยิ่งนัก/n /n /n“กี่ยามแล้ว” นางลุกขึ้นมองไปข้างนอกแล้วกล่าวถาม เสียงมีความอ่อนนุ่มอย่างคนเพิ่งตื่นนอน/n /n /n“ตื่นแล้วหรือ” เสียงของสวีโย่วดังขึ้นมา/n /n /nเสิ่นเวยเปิดม่านเตียงออกชะโงกหน้าออกไปมองข้างนอก เห็นว่าในห้องไม่มีแม้แต่คนรับใช้เลยสักคนเดียว สวีโย่วนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง กำลังไขว่ห้าง ในมือถือหนังสือหนึ่งเล่ม แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างเคลือบแสงทองหนึ่งชั้นลงบนผิวของสวีโย่ว ใบหน้าด้านข้างของสวีโย่วท่ามกลางแสงและเงางดงามราวกับเทพเทวดา ความรู้สึกของเสิ่นเวยก็ลอยขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ยังดีที่มารตนนี้มีหน้าตาที่ดูดี มิเช่นนั้นนางก็คงจะขาดทุนตาย/n /n /n“ท่านไม่ได้ออกไปนี่” เสิ่นเวยกล่าวอย่างประหลาดใจ ดูท่าทางนั่นของเขาน่าจะนั่งอยู่ในห้องนานแล้ว/n /n /nสวีโย่วไม่ตอบ แต่กลับกล่าว “ลุกขึ้นเถอะ ควรกินข้าวเที่ยงได้แล้ว” เขาวางหนังสือลงข้างๆ ลุกขึ้นช่วยเสิ่นเวยเรียกสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติ/n /n /nกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว เสิ่นเวยก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นางเป็นจวิ้นจู่ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ของราชสำนัก เข้าวังน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณย่อมต้องสวมชุดของจวิ้นจู่ แม้แต่เครื่องประดับที่สวมศีรษะก็ต้องพิถีพิถัน โชคดีที่มีแม่นมมั่ว เสิ่นเวยไม่ต้องกังวลแม้แต่นิดเดียว/n /n /nเสิ่นเวยที่อยู่ในเครื่องแต่งกายชุดใหญ่ของจวิ้นจู่ดูงดงามตระการตา ท่าทีน่าสงสารที่นางแสดงออกมาอย่างสุดความสามารถก่อนหน้านี้ก็ลดลงสามส่วน เสิ่นเวยรู้สึกไม่ดี เมื่อไรก็ตามที่อ่อนแอเปราะบางจึงจะไม่ขวางหูขวางตาผู้อื่น วังหลังเป็นสถานที่ที่ผลิตโรคประสาท ด้วยเหตุนี้นางจึงเก็บพลังที่ออกมาจากร่าง แล้วจึงลุกขึ้นยืนด้วยความพอใจ/n /n /nจวนจิ้นอ๋องอยู่ห่างจากพระราชวังระยะทางหนึ่ง สวีโย่วนั่งรถม้าไปกับเสิ่นเวย ความจริงแล้วนอกจากวันที่รับตัวเจ้าสาววันนั้น สวีโย่วก็ไม่เคยขี่ม้าในเมืองหลวงมาก่อน/n /n /nในรถม้าเสิ่นเวยนิ่งเงียบไม่พูดจา ดวงตาที่ดำสนิทเหลือบมองสวีโย่วแวบหนึ่งแล้วจึงละสายตาออกมา นางกำลังคิดว่าเหตุใดนางถึงหลงใหลสวีโย่วคนชั่วผู้นี้เข้าแล้ว คิดเหตุผลนับไม่ถ้วนสุดท้ายก็กลับมาที่ข้อแรก หมอนี่หน้าตาดี สองชาติรวมกันแล้วนางยังไม่เคยเห็นใครหน้าตาดีกว่าสวีโย่ว นางสามารถรับปากได้ว่าการสมรสครั้งนี้เหตุผลใหญ่อย่างยิ่งยังคงเป็นเพราะนางชอบหน้าใบนั้นของสวีโย่ว/n /n /nสวีโย่วยังคิดว่านางตื่นเต้น กล่าวปลอบ “พวกเราไปนั่งในตำหนักฮองเฮาก่อนสักครู่ ฮองเฮาเป็นคนใจกว้างที่สุด ไม่อาจทำให้เจ้าลำบากใจ หากฝ่าบาทว่าง พวกเราก็เข้าไปน้อมสำนักพระมหากรุณาธิคุณ หากไม่ว่างเรียกพวกเราเข้าเฝ้า เช่นนั้นพวกเราก็กลับจวนได้เลย/n /n /nเสิ่นเวยพยักหน้าบอกเป็นนัยว่าเข้าใจ/n /n /nไม่นานนักก็ถึงหน้าประตูพระราชวัง สวีโย่วประคองเสิ่นเวยลงจากรถม้า แม้ทหารองครักษ์หน้าประตูวังจะไม่รู้จักสวีโย่วและเสิ่นเวย แต่สัญลักษณ์จวนจิ้นอ๋องบนรถม้ายังคงรู้จัก ยิ่งต้องรู้จักเครื่องแต่งกายของจวิ้นอ๋องและจวิ้นจู่บนร่างพวกเขา มิหนำซ้ำเร็วอย่างยิ่งข้างในก็มีขันทีอ้วนหนึ่งคนรีบเข้ามา ต้อนรับคนทั้งสองด้วยรอยยิ้มทั่วทั้งใบหน้า “คุณชายใหญ่ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ เหนียงเหนียงให้บ่าวออกมาต้อนรับท่านทั้งสอง”/n /n /nจริงสิ ราชทินนามของเสิ่นเวยก็คือจยาฮุ่ย มีราชทินนามแต่กลับไม่มีที่ดินพระราชทาน เพียงเท่านี้เสิ่นเวยก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว จวิ้นจู่น่าเกรงขามกว่าขุนนางหญิงขั้นสี่มาก ในเมื่อแต่งงานกับสวีโย่วแล้ว ภายหลังก็ต้องคบค้าสมาคมกับผู้มีตำแหน่งสูงอย่างไม่อาจเลี่ยง ตำแหน่งขุนนางของพ่อนางไม่เพียงพอจริงๆ ที่นางต้องการเป็นเพียงชื่อเสียงที่โด่งดัง สำหรับที่ดินพระราชทานทรัพย์สินแค่นนั้นนางไม่เห็นอยู่ในสายตาจริงๆ/n /n /nตำแหน่งจวิ้นอ๋องของสวีโย่วนี้กลับมีที่ดินพระราชทานหนึ่งแห่ง เป็นเมืองเล็กๆ ชื่อ ‘ซาผิง’ ทางตอนใต้ แม้ที่ดินพระราชทานจะไม่ใหญ่ แต่ก็ใกล้ท่าเรือ เรือที่ไปมามีเยอะอย่างยิ่ง เจริญอย่างถึงที่สุด จักรพรรดิยงเซวียนทรงมีพระกรุณาต่อหลานชายผู้นี้จริงๆ/n /n /n“หลินกงกงนี่เอง! เหนียงเหนียงสบายดีหรือไม่” สวีโย่วพยักหน้าให้ขันทีผู้นั้น/n /n /n“ดี ดี ฮองเฮาเหนียงเหนียงสบายดี ช่วงนี้อาการป่วยของท่านไท่จื่อดีขึ้นแล้ว เหนียงเหนียงดีใจยิ่งนัก” ดวงตาของขันทีหลินยิ้มจนเป็นขีด/n /n /nขันทีหลินผู้นี้เป็นขันทีที่มีเกียรติประจำองค์ฮองเฮา แม้จะไม่ได้จัดอยู่ในลำดับที่หนึ่ง แต่สามอันดับแรกก็มีตำแหน่งของเขาอยู่ องครักษ์เห็นว่าเป็นขันทีใหญ่ในตำหนักฮองเฮาเหนียงเหนียงมารับด้วยตัวเอง ชั่วขณะก็นึกได้ว่านี่คือใคร ย่อมไม่กล้าขวางทาง สวีโย่วกับเสิ่นเวยจึงเดินตามหลังขันทีหลินเข้าไปยังตำหนักฮองเฮา/n /n /nพระมารดาของจักรพรรดิยงเซวียน ก็คือเสด็จย่าของสวีโย่วที่จากไปก่อนวัยอันควร ปีที่จักรพรรดิยงเซวียนราชาภิเษกก็สวรรคตแล้ว ดังนั้นในวังหลังจึงมีฮองเฮาเป็นใหญ่/n /n /nฮองเฮาแซ่เวย ฐานะไม่สูงนัก อย่างน้อยก็เทียบเหยียนกุ้ยเฟยที่มีฐานะเดิมอยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่ผิงหนานและฉินซูเฟยที่มีฐานะเดิมในจวนเสนาบดีไม่ได้/n /n /nตอนที่สวีโย่วกับเสิ่นเวยมาถึงตำหนักคุนหนิง ก็เห็นว่าในตำหนักไม่ได้มีเพียงฮองเฮาเหนียงเหนียงพระองค์เดียว ยังมีหญิงงามผู้สุภาพสูงส่งสองคนนั่งอยู่ด้วย/n /n /n“ถวายความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียง ถวายความเคารพกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง ซูเฟยเหนียงเหนียง” เสิ่นเวยโขกศีรษะอยู่ข้างหลังสวีโย่ว ฮองเฮานางเคยเห็นแล้ว ครั้งก่อนที่พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่นางตามท่านป้าสะใภ้ใหญ่เข้าวังมาน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณก็ได้พบฮองเฮาหนึ่งครั้งแล้ว คนแปลกหน้าสองคนนี้ข้างๆ แท้จริงแล้วก็คือเหยียนกุ้ยเฟยและฉินซูเฟยนี่เอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร/n /n /n“ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้นเถิด เป็นคนบ้านเดียวกัน จะเกรงใจไปไย” ฮองเฮาเรียกซ้ำไปซ้ำมา ปากก็กล่าวหยอกล้อ “ในที่สุดก็ได้เห็นคุณชายใหญ่ของพวกเราแต่งภรรยาแล้ว จยาฮุ่ยมานี่ ให้ป้าดูหน่อย”/n /n /n“เพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียง จยาฮุ่ยรับคำสั่ง” ฮองเฮาสามารถเรียกตัวพระองค์เองว่าเสด็จป้าได้ แต่เสิ่นเวยกลับไม่โง่จนเรียกเช่นนั้นจริงๆ ความน่าเกรงขามของราชนิกุลไม่อาจดูหมิ่นได้ ไม่แน่ว่านางอาจจะพูดไปตามมารยาทก็เท่านั้น หากนางคิดเป็นจริงเช่นนั้นก็คงสมองกลวงแล้วจริงๆ/n /n /n“ดูสิ ดูสิ จยาฮุ่ยเด็กคนนี้หน้าตางดงามจริงๆ อาโย่วสายตาดียิ่งนัก” ฮองเฮาเหนียงเหนียงดึงเสิ่นเวยเข้ามาเอ่ยปากชมไม่หยุด/n /n /nเสิ่นเวยแสดงท่าทีเขินอายออกมาอย่างถูกกาลเทศะ กล่าวเสียงเบา “เหนียงเหนียงกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ ผอมแห้งอย่างจยาฮุ่ย ไหนเลยจะสง่างามสูงศักดิ์เช่นเหนียงเหนียงทั้งหลาย เหนียงเหนียงอย่าได้ชมจยาฮุ่ยเลยเพคะ”/n /n /n“โห เด็กคนนี้พูดจากเป็นยิ่งนัก จวนจงอู่โหวไม่ใช่ตั้งตระกูลจากกองทัพหรือ ฟังว่าคุณหนูแต่ละคนในจวนต่างก็เป็นศิลปะการต่อสู้ น้องชายผู้นั้นของข้ายังโชคดีที่ลูกน้องจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ให้อภัย” หญิงงามผู้นั้นที่นั่งอยู่ทางฝั่งขวามองเสิ่นเวยกล่าวอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม/n /n /nเสิ่นเวยเข้าใจทันทีว่าคนผู้นี้คือฉินซูเฟย เพียงแต่นางหมายความว่าอย่างไร ระบายอารมณ์ให้น้องชายตนกับตัวเองงั้นหรือ เลือกวันนี้ ใช่ไม่เอาสมองมาด้วยหรือไม่/n

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด