ตอนที่ 1441 แมงมุมตัวต่อทมิฬ

อ่านนิยายจีนเรื่อง A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน ตอนที่ 1441 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ว่ากันว่ายุทธภพของหุบเหวมีเจ็ดชั้น ชั้นท้ายๆ กว้างกว่าชั้นแรกเป็นอย่างมาก แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ พื้นที่ของชั้นแรกก็ไม่เล็กเท่าใดนัก หากพวกของหานลี่ต้องการจะไปที่ทางเข้าชั้นสองตามแผนจริงๆ ก็ต้องใช้เวลาสี่ห้าวัน
 
 
วันก่อนทุกอย่างล้วนราบรื่น พวกเขาบินไปตามแนวป่าลับระหว่างทางนอกจากพบกับวิหคชั่วร้ายที่เป็นอมตะสองสามฝูงแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
 
แต่เช้าวันที่สองทั้งสามก็รู้สึกเพียงว่าท้องฟ้าเหนือศีรษะพลันหม่นหมอง รอบด้านเปลี่ยนเป็นสีเทาขมุกขมัว
 
 
หานลี่พลันเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกตะลึง
 
 
ผลคือพบว่าหมอกที่เปล่งแสงเรืองๆ อยู่กลางอากาศแต่เดิมนั้นหายไปแล้ว และกลางอากาศสูงขึ้นไปหมื่นจั้ง กลับมีกำแพงหินสีดำสนิทปรากฎขึ้น ด้านบนมีหินงอกออกมาราวกับหินงอกหินย้อย ทุกก้อนล้วนแขวนอยู่ด้านบน แม้กระทั่งหากมองไกลๆ บางจุดก็ยังมีวัชพืชและเถาวัลย์งอกออกมา
 
 
คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะบินออกมาจากเขตป้องกันของประตูหุบเหวแล้ว ในที่สุดก็เข้าสู่ยุทธภพใต้ดินชั้นที่หนึ่งอย่างเป็นทางการ
 
 
โชคดีที่บนพื้นดินมีต้นไม้จำนวนมากเปล่งแสงเรืองๆ อยู่โดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ในเขตทมิฬมาเนิ่นนานหรือไม่ ประกอบกับบนพื้นดินมีศิลาแร่ที่ไม่รู้จักชื่อกำลังเปล่งแสงเรืองๆ อยู่เช่นกัน
 
 
เช่นนั้นยุทธภพใต้ดินจึงไม่นับว่าตกอยู่ในอนธการไปจริงๆ ยังคงมองเห็นสิ่งของจำนวนไม่น้อยที่อยู่ไกลออกไป
 
 
แต่แค่ความรู้สึกไม่เหมือนกับก่อนหน้า รอบด้านนั้นหนาวเย็นและมืดมนอย่างเห็นได้ชัด
 
 
บางครั้งก็มีหมอกสีดำและวายุเย็นเยียบพัดเข้ามาเป็นระลอกๆ จึงยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกชัน
 
 
แต่ก็ไม่นับว่าสำคัญที่สุดเมื่อบินเข้ามาในเขตมืดมนได้ไม่นาน หานลี่ก็รู้สึกว่าจิตสัมผัสของตนเองถูกกดเอาไว้ แผ่ออกไปนอกร่างกายได้เพียงยี่สิบสามสิบจั้งเท่านั้น
 
 
นี่คือผลจากที่เขาฝึกฝนคาถาขับเคลื่อน จิตสัมผัสจึงเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงทั่วๆ ไป คิดดูแล้วไป๋ปี้และเหลยหลันแผ่จิตสัมผัสออกมานอกร่างได้แค่สองสามจั้งก็นับว่าไม่เลวแล้ว
 
 
เมื่อขบคิดเช่นนั้นหานลี่ก็กวาดจิตสัมผัสไปที่ด้านหลัง และสัมผัสได้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองมีสีหน้าดูไม่ได้ดังคาด
 
 
ทว่าเรื่องนี้ทั้งสามคนก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร
 
 
สถานการณ์ที่จิตสัมผัสโดนกดเอาไว้ อาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์สองสามท่านได้เตือนพวกเขาตั้งแต่ก่อนออกเดินทางจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว
 
 
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่บุกเข้ามาจากภายนอก แม้จะเป็นปีศาจมืดมนที่อาศัยอยู่ในหุบเหวก็เป็นเหมือนกันหมด แต่แค่ปีศาจเหล่านั้นอาศัยอยู่ในหุบเหวมาเป็นเวลานาน จึงรู้สึกชินชากับสถานการณ์เช่นนี้ตั้งนานแล้ว ส่วนเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่เพิ่งเข้ามาที่นี่ครั้งแรกแน่นอนว่าย่อมรู้สึกไม่คุ้นเคย เคล็ดวิชาต่างๆ จึงถูกลดประสิทธิภาพลงด้วยเหตุนี้
 
 
หานลี่กลับไม่สนใจสิ่งนี้เลยสักนิด สถานการณ์ที่ถูกกดจิตสัมผัสเอาไว้เช่นนี้ เขาไม่ได้เคยพบเป็นครั้งแรก การต่อสู้ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้นับว่ามีประสบการณ์มาก
 
 
หลังจากบินมาได้สองสามชั่วยาม หานลี่พลันขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นพลันยกมือหนึ่งขึ้น ชี้นิ้วไปทางศิลาลำแสงจันทราสองสามก้อนที่หมุนวนโคจรอยู่เบื้องหน้า ชี้ไปกลางอากาศอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง
 
 
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ศิลาลำแสงจันทราระเบิดออกโดยอัตโนมัติทีละก้อนๆ จนหายวับไป
 
 
ลำแสงสีเขียวบนร่างของหานลี่หม่นแสงลง แล้วหยุดเคลื่อนไหว
 
 
รอบๆ เปลี่ยนเป็นเลือนราง ดูเหมือนว่าแม้แต่วายุทมิฬที่พัดเข้ามาก็ยังหนาวเหน็บขึ้นหลายส่วน
 
 
แม้ว่าไป๋ปี้และพวกทั้งสองจะหยุดลำแสงหลีกหนีลงตามความรู้สึก แต่ก็ยังรู้สึกงุนงง
 
 
เหลยหลันยิ่งเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ครั้นเมื่อคิดจะขยับริมฝีปากเอ่ยถามอะไรนั้น กลับมีเสียงหึ่งๆ ดังมาจากทั้งสี่ด้าน ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ รอบด้านมีลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้น แล้วตรงไปเบื้องหน้าของทั้งสามอย่างรวดเร็ว
 
 
“แมงมุมตัวต่อทมิฬ” เหลยหลันพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ร้องอุทานชื่อออกมา
 
 
ไป๋ปี้ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
 
 
“ใช่แล้วน่าจะเป็นปีศาจตัวต่อระดับต่ำ และเป็นปีศาจระดับต่ำที่รับมือยากที่สุดในหุบเหว ปีศาจตัวต่อนี้ชอบโจมตีทุกอย่างที่เคลื่อนไหว” หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
 
 
ความจริงแล้วไม่ต้องให้หานลี่อธิบาย เหลยหลันและไป๋ปี้ก็รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของลำแสงสีเขียวเหล่านี้
 
 
ท่ามกลางลำแสงสีเขียว สิ่งที่กายท่อนบนเหมือนแมงมุมกายท่อนล่างเหมือนตัวต่อประหลาดมีพิษขนาดเท่าหัวแม่มือปรากฎขึ้น ร่างกายสีเขียวมรกต แต่มีลวดลายสีเหลืองเป็นขดๆ ดูแล้วดุร้ายเป็นอย่างมาก
 
 
ทอดสายตาไปลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด ท่าทางมีมากกว่าหมื่นตัว
 
 
จำนวนน่าสะพรึงยิ่งนัก!
 
 
แม้ว่าไป๋ปี้และเหลยหลันจะเป็นแม่ทัพวิญญาณขั้นต้น ก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึม
 
 
นี่ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองกลัวปีศาจตัวต่อจิ๊บจ๊อยเหล่านี้ แต่จำนวนมากขนาดนี้ต่อให้สังหารทั้งหมด เกรงว่าก็ต้องเสียพลังยุทธ์ไปส่วนหนึ่ง และในครานี้พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาในชั้นแรกได้ไม่ถึงสองวัน แน่นอนว่าจึงไม่อยากปะทะในครั้งนี้
 
 
แต่ปีศาจตัวต่อเหล่านี้มีท่าทีโหดเ**้ยม ดูไม่เหมือนว่าจะจัดการง่ายเลยสักนิด
 
 
ภายใต้ความจนปัญญาของเหลยหลันและไป๋ปี้ จึงทำได้เพียงเตรียมลงมือเท่านั้น
 
 
คนหนึ่งสยายปีกที่แผ่นหลังออก ประจุไฟฟ้าสีเงินบางๆ เริ่มแล่นไปมาบนขนนกสีเงิน อีกคนกลับใช้สองมือร่ายอาคม รอบกายมีลำแสงสีทองอ่อนเป็นสายๆ ปรากฎขึ้น กระพริบเรืองๆ ไม่รู้ว่าคือความสามารถใด
 
 
หานลี่เหลือบตามองทั้งสองคนแวบหนึ่ง อ้าปากออกโดยไม่ได้กล่าวอะไร พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา
 
 
หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ลูกบอลเพลิงก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง
 
 
วิหคเพลิงตัวนี้แค่สยายปีกทั้งสองออก ก็เกิดเสียงระเบิดดัง “ปัง” ขึ้นกลางอากาศ กลายเป็นลูกไฟสีเงินนับร้อยดวงปลิวว่อนไปมา
 
 
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น
 
 
ลูกไฟสีเงินจมหายเข้าไปในลำแสงสีเขียวที่อยู่ไกลออกไป ลูกไฟสีเงินทั้งหมดพลันหมุนคว้าง ชั่วครู่ก็กระพริบวาบๆ ราวกับภูตผี พวกที่เข้าใกล้ลำแสงสีเขียวถูกลูกไฟสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปในทันที
 
 
ลูกไฟสีเงินนับร้อยดวงพลันเริงระบำ ลำแสงสีเขียวจำนวนมากรอบด้านไม่อาจต้านทานได้ พลางเข้าใกล้หานลี่และพวกทั้งสามก้าวหนึ่ง
 
 
ไป๋ปี้และเหลยหลันเห็นแล้วพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย
 
 
ในเมื่อแมงมุมตัวต่อทมิฬมีชื่อเสียงว่ารัดมือยากในบรรดาปีศาจของหุบเหว แน่นอนว่าย่อมไม่อาจกำจัดได้ง่ายๆ แมงมุมตัวต่อทมิฬเหล่านั้นมีต้นกำเนิดมาจากไอทมิฬที่รวมตัวกัน การโจมตีธรรมดาๆ จึงสังหารพวกมันได้ยาก ต่อให้ทะลวงร่างของมันหรือสับร่างของมันออก พวกมันก็สามารถอาศัยไอทมิฬฟื้นฟูร่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น นอกเสียจากกว่าสังหารพวกมันทีเดียวได้โดยไม่เหลือสักตัว
 
 
ยุ่งยากถึงเพียงนี้มิน่าล่ะปีศาจตัวต่อนี้ถึงได้มีชื่อเสียงถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าตัวต่อตัวนี้จะมีความสามารถเช่นนี้ได้แค่ในสถานที่ที่มีไอทมิฬหนาแน่นเท่านั้น หากอยู่บนพื้นดินก็จะสูญเสียพลังนี้ไป
 
 
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่แมงมุมตัวต่อทมิฬ ปีศาจหุบเหวจำนวนไม่น้อยส่วนใหญ่ก็แข็งแกร่งเมื่ออยู่ในหุบเหว แต่เมื่อออกจากหุบเหวก็จะอ่อนแอขึ้นในทันที
 
 
นี่เป็นสาเหตุหลักที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินสามารถปิดผนึกทางเข้าของหุบเหวได้ มิเช่นนั้นหากไม่มีจุดอ่อนนี้ เผ่าวิญญาณเหาะเหินก็คงไม่สามารถกักพวกมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดายแน่
 
 
เพลิงกลืนวิญญาณดูแล้วบางเบา ไม่เหมือนมีอานุภาพอะไร แต่ความจริงแล้วลูกไฟสีเงินทุกดวงที่สัมผัสกับแมงมุมตัวต่อทมิฬนั้น ล้วนทำให้ร่างของมันกลายเป็นผุยผง กลืนกินไอทมิฬในร่างของมันไปจนหมดเกลี้ยง
 
 
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ปีศาจแมลงเหล่านี้จึงไม่อาจฟื้นฟูร่างกลับมาได้อีก
 
 
เพลิงกลืนวิญญาณเหล่านี้เดิมทีก็มีจิตวิญญาณอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้จิตสัมผัสควบคุม ก็สามารถทำลายศัตรูได้โดยอัตโนมัติ
 
 
เช่นนั้นหานลี่แค่เอาสองมือไพล่หลังลอยตัวอยู่กลางอากาศอยู่ชั่วครู่ แมงมุมตัวต่อทมิฬนับหมื่นตัวก็ถูกเพลิงกลืนวิญญาณกำจัดไปจนเกลี้ยง
 
 
จากนั้นเขาพลันกวักมืออย่างส่งเดช ชั่วขณะนั้นลูกไฟสีเงินทั้งหมดพลันรวมตัวกันที่ตรงกลาง หลังจากเสียงฟู่ๆ ดังขึ้น ก็กลายเป็นวิหคเพลิงขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งอีกครั้ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของหานลี่
 
 
“ไปกันเถิด!” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบแล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป
 
 
เหลยหลันและไป๋ปี้ฝืนระงับความตื่นตะลึงเอาไว้ แล้วบินตามไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน
 
 
ครานี้ไม่ว่าทั้งสองจะถือดีรวมทั้งคิดต่อหานลี่อย่างไร หลังจากที่หานลี่สำแดงความสามารถออกมา ก็มีท่าทีไม่กล้าขัดแย้งต่อคำสั่งของหานลี่มากแล้ว
 
 
เช่นนั้นหลังจากที่ทั้งสามบินผ่านป่ารกทึบไปได้หนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดก็ออกมาจากเขตผืนป่า
 
 
ทัศนียภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป คาดไม่ถึงว่าจะมีทะเลทรายประหลาดๆ สีเงินเทาปรากฎขึ้น
 
 
มองไกลๆ เม็ดทรายเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะเปล่งแสงเรืองๆ ออกมา มองปราดเดียวก็รู้สึกอ้างว้างเป็นอย่างยิ่ง
 
 
“หรือว่าข้าจำผิดไป ตามแผนที่แล้วที่นี่น่าจะเป็นแม่น้ำใต้ดินถึงจะถูก เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” หานลี่หยุดอยู่กลางอากาศ ตอนที่กำลังพลิกจานอาคมไปมาไม่หยุดนั้น ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
 
 
“พี่หาน ท่านไม่ได้จำผิดหรอก ในแผนที่ของพวกเราก็บอกว่าที่นี่ควรจะเป็นแม่น้ำเช่นกัน” หลังจากที่ไป๋ปี้และเหลยหลันดูแผนที่ในเวลาเดียวกันแล้ว ก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
 
 
“หรือว่าที่ผ่านมาลำธารแห้งขอด วารีจึงไหลซึมไปที่ชั้นสองแล้ว” เหลยหลันแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
 
 
“ดูจากร่องรอยแล้วไม่น่าจะใช่ ต่อให้วารีไหลไปหมด แล้วทรายจะมาปรากฎที่นี่ได้อย่างไร” หานลี่กลับสั่นศีรษะ เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
 
 
“พี่หานคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่?” ไป๋ปี้ลูบใต้คางพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
 
 
“ไม่รู้ และไม่จำเป็นต้องสืบหา พวกเราแค่ต้องรีบไป ไม่ได้มาศึกษาความเปลี่ยนแปลงของหุบเหว รีบไปกันเถิด แต่หลังจากที่เข้าไปในทะเลทรายต้องระวังหน่อย” หลังจากที่หานลี่เงียบขรึมไปชั่วครู่ ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ
 
 
“นั่นมันก็ใช่” ไป๋ปี้หัวเราะโดยเสียงแหบแห้งออกมา
 
 
ทันใดนั้นทั้งสามคนก็กายเป็นลำแสงสามกลุ่ม บินเข้าไปในทะเลทรายสีเงินเบื้องหน้า
 
 
แม้ว่าปากจะกล่าวอย่างสบายๆ หลังจากที่ทั้งสามคนเข้าไปในทะเลทรายแล้ว กลับเพิ่มความเร็วขึ้นสองสามส่วนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย หมายอยากจะออกจากสถานที่ประหลาดนี้ให้เร็วที่สุด
 
 
ครั้งนี้ทั้งสามคนบินรวดเดียวไปสองสามหมื่นลี้ แต่ในครรลองสายตาก็ยังคงเป็นเม็ดทรายสีเงินเทา ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าเลยสักนิด
 
 
“นั่นก็คืออะไร?” ฉับพลันนั้นหานลี่พลันหน้าเปลี่ยน หลังจากที่แววตาฉายแววสีฟ้าสว่างจ้า ฉับพลันนั้นก็หันไปมองด้านหนึ่ง
 
 
“พี่หาน เกิดเรื่องอะไรขึ้น!” ไป๋ปี้พลันตกตะลึง อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
 
 
“ทางนั้นเหมือนจะเป็นทวีปเขียว และยังมีกลิ่นอายโลหิตด้วย” หานลี่ตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
 
 
“กลิ่นอายโลหิต ดูเหมือนว่าข้าจะได้กลิ่นแล้วเช่นกัน มาจากทางนั้นแน่!” จมูกของเหลนหลันขยับฟุตฟิตๆ แล้วเอ่ยปากอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
 
 
“คือสิ่งที่อสูรป่าของหุบเหวทิ้งไว้หรือ?” ไป๋ปี้ลังเลเล็กน้อย
 
 
“ไม่น่าจะใช่ ไอวิญญาณฟ้าดินตรงนั้นวุ่นวายมาก น่าจะใช้ความสามารถอะไรดึงดูดมา พกวเราไปดูสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันเถิด” เหลยหลันสั่นศีรษะ พลางเอ่ยเสนอแนะ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด