Extraordinary Genius อัจฉริยะเหนือชั้น ตอนที่ 669

อ่านนิยายจีนเรื่อง Extraordinary Genius อัจฉริยะเหนือชั้น ตอนที่ 669 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

EG บทที่ 669 พรีเซ็นเตอร์หนุ่ม
แม้ว่าซ่งจิงเซียนจะไม่เชื่อคำพูดของเฝิงหยู่ทั้งหมดแต่เขาก็สั่งให้ลูกน้องของตนเริ่มพัฒนาสูตรให้ได้เร็วที่สุดและยังไปติดต่อโรงงานอื่นๆเพื่อให้มาเป็นผู้รับเหมาของตนทันที
ซ่งจิงเซียนต้องหาโรงงานผู้รับเหมาประมาณ 3 แห่ง โรงงานแรกจะต้องเป็นบริษัทที่สามารถผลิตผงชานมได้ เป้าหมายของซ่งจิงเซียนคือโรงงานผลิตนมผง! โรงงานนี้จะต้องผลิตเครื่องดื่มแบบแบรนด์ถัง,ครีมเทียม,ผงชา,ผงกาแฟ,ผงช็อกโกแล็ต ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถผลิตสีผสมอาหารและสารกันบูดได้
โรงงานต่อไปที่ซ่งจิงเซียนต้องมองหาคือโรงงานที่สามารถผลิตเม็ดไข่มุกจากมันสำปะหลังได้ เขากำลังมองหาโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปและจะทำการสั่งซื้อทันที นี่เป็นเพียงขั้นตอนในการทดลองเท่านั้น พวกเขาอาจเลือกใช้โรงงานขนาดเล็กสัก1-2 แห่งก็น่าจะพอต่อความต้องการ หากผลิตภัณฑ์นี้ได้รับความนิยมจริงๆลีฮาฮาก็ดำเนินการผลิตเองโดยผลิตในโรงงานแห่งใหม่ที่จะตั้งขึ้นในภาคตะวันตกในปีหน้า
โรงงานผู้รับเหมาแห่งสุดท้ายคือโรงงานผลิตวุ้นมะพร้าว ซ่งจิงเซียนได้ติดต่อไปยังโรงงานบางแห่งแล้วแต่ผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจนัก นอกจากนี้ต้นทุนการผลิตวุ้นมะพร้าวยังสูงเกินไปอีกด้วย
ลีฮาฮาสามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ในโรงงานของพวกเขาได้ แน่นอนว่าอาจต้องมีการสั่งซื้อวัตถุดิบบางส่วนจากภายนอกเช่นกัน
ลีฮาฮาสามารถใช้เป็นแก้วพลาสติกได้แต่แก้วพลาสติกที่สามารถทนความร้อนได้มีราคาค่อนข้างแพง ต้นทุนของมันสูงกว่าผงชานมเสียอีก
เฝิงหยู่ได้แนะนำให้เขาใช้แก้วกระดาษ ซึ่งบรรจุภัณฑ์กระดาษโลดแล่นอยู่ในท้องตลาดมาได้ระยะหนึ่งแล้วและราคาก็ไม่ได้แพงมากนักแต่ซ่งจิงเซียนรู้สึกว่าชานมของบริษัทเขาจะด้อยค่าลงหากใช้บรรจุภัณฑ์เป็นแก้วกระดาษ
เฝิงหยู่ก็แย้งให้เห็นว่าร้านกาแฟทั่วไปก็ใช้แก้วกระดาษเช่นกัน แก้วกระดาษใช้ครั้งเดียวทิ้งและยังถูกสุขอนามัยมากกว่า ค่าใช้จ่ายก็ต่ำและไม่ฉีกขาดได้ง่าย มันยังง่ายต่อการขนส่งเพราะมีน้ำหนักที่เบา แก้วกระดาษจะต้องทนความร้อนและกันน้ำได้ จะไม่มีใครรู้สึกว่าสิ่งนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาด้อยค่าลง บางทีพนักงานออฟฟิศอาจคิดว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้เป็นสินค้าระดับสูงก็ได้
ในที่สุดซ่งจิงเซียนก็เลือกที่จะเชื่อเฝิงหยู่และตัดสินสินใจที่จะใช้แก้วกระดาษเป็นบรรจุภัณฑ์
การออกแบบลวดลายบนบรรจุภัณฑ์ก็มอบให้เป็นหน้าที่ของหลิวหลิว พวกเขาได้ทำงานร่วมกันในหลายๆโปรเจคที่ผ่านมา บนแก้วกระดาษจะมีตัวการ์ตูนที่เป็นสัญลักษณ์ของลีฮาฮาประดับอยู่ส่วนอีกฝั่งของแก้วจะเป็นรูปแก้วใส่ชานม มันเป็นสิ่งที่สื่อได้ง่ายและตรงไปตรงมา
เฝิงหยู่พิจารณาภาพการ์ตูนของลีฮาฮาและขมวดคิ้วมุ่น บรรจุภัณฑ์นี้ดูเหมาะกับเด็กๆมากกว่า ชานมนี้เหมาะกับลูกค้าทุกกลุ่มวัยแต่กลุ่มเป้าหมายหลักควรเป็นวัยผู้ใหญ่มากกว่า
“คุณซ่ง..ผมได้รับแฟกซ์ของคุณแล้วนะครับแต่ลายบนแก้วมัน….ผมรู้สึกว่าเราไม่ควรใช้เป็นตัวการ์ตูนประดับลงบนแก้ว เราควรใช้เป็นรูปผู้หญิงหรือไม่ก็ผู้ชายหน้าตาดีๆจะเหมาะกว่า”
[“รูปผู้หญิงหรือไม่ก็ผู้ชายหน้าตาดีๆหรือครับ? คุณกำลังจะบอกผมว่าให้หาคนที่น่าสนใจมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของผลิตภัณฑ์นี้หรือครับ?”]
“ใช่ครับ! เราไม่จำเป็นต้องใช้คนที่มีชื่อเสียงมากนัก เราแค่ต้องการใครสักคนที่มีภาพลักษณ์ดีก็พอกลุ่มเป้าหมายของชานมคือวัยรุ่นและวัยทำงาน คุณลองคิดดูนะครับ? คนกลุ่มไหนบ้างที่เต็มใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่วัยรุ่นกับวัยทำงานหรือครับ? เมื่อเราเริ่มทำการตลาด ผลิตภัณฑ์นี้ต้องถูกระบุว่าเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวไต้หวัน สิ่งนี้จะทำให้ผู้บริโภคทั้งหมดรู้สึกประทับใจว่ามันคือสินค้านำเข้าและมันจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกอยากรู้ว่าเครื่องดื่มจากต่างประเทศมีรสชาติอย่างไร”
เฝิงหยู่อธิบายผ่านทางโทรศัพท์ให้ซ่งจิงเซียนเข้าใจ
[“แล้วผู้จัดการเฝิงมีใครในใจหรือยังครับ?”]
“คนที่เหมาะที่สุดก็ต้องเป็นศิลปินวัยรุ่นจากไต้หวัน..ผมชอบเสียวหู่ตุ้ย(The Little Tigers)ครับ..เราสามารถนำนางแบบสวยๆมาทำงานร่วมกับพวกเขาได้อีกด้วย” [1]
[“เสียวหู่ตุ้ย? พวกเขาค่อนข้างดังเลยนะครับ? ค่าตัวของพวกเขาต้องแพงมากแน่ๆ” ]
ซ่งจงเซียนไม่เต็มใจที่จะเสียเงินจ้างพรีเซ็นเตอร์ในราคาแพงๆ เขาไม่ค่อยฟังเพลงป๊อปแต่เขาก็ยังรู้ว่าเสียวหู่ตุ้ยคือใคร? สิ่งนี้ย่อมพิสูจน์ได้ว่าเสียวหู่ตุ้ยมีชื่อเสียงมากขนาดไหนและค่าตัวของพวกเขาก็จะขึ้นอยู่กับชื่อเสียงที่พวกเขามี
“ไม่ต้องกังวลไปกับค่าตัวของพวกเขาหรอกนะครับ จุดสำคัญที่พวกเราต้องสนใจคือพวกเขาเป็นไอดอลชาวไต้หวันและเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของพวกเรามากที่สุด..ที่จริงแล้วค่าตัว 2 ล้านหยวนต่อปีก็พอที่เราจะลองทุ่มดูสักครั้ง หากคุณไม่มั่นใจส่งมาให้ผมเป็นคนไปเจรจาเรื่องนี้ก็ได้ครับ”
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่ของพวกเขาคือชานมไต้หวัน พวกเขาจะไม่ให้คนดังชาวไต้หวันมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้อย่างไร? มันคงจะแปลกน่าดูหากให้ดาราจีนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของจีนกับไต้หวันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ดารานักร้องฝั่งไต้หวันก็อยากมามีผลงานที่จีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน เฝิงหยู่ไม่มั่นใจนักหากให้ศิลปินฝั่งไต้หวันมาทำการแสดงในงานเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนแต่ถ้าเป็นงานกาล่าปีใหม่ไม่น่าจะมีปัญหา งานกาล่าปีใหม่ถือเป็นรายการอันดับสองของประเทศจีน
[“ตกลงครับ..เดี๋ยวผมจะให้พนักงานนของเราติดต่อผู้จัดการของเสียวหู่ตุ้ยและเชิญพวกเขามาคุยรายละเอียดกับเราทันที”]
.
.
“คุณซงครับ?..เงื่อนไขที่เราเสนอไปถือว่าคุ้มค่าเลยนะครับ ค่าตัวในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ 1 ล้านหยวนต่อปีและเราจะให้เสียวหู่ตุ้ยทำการแสดงบนเวทีที่ใหญ่ที่สุดเวทีหนึ่งของจีนอีกด้วย…นอกจากเราแล้วก็คงไม่มีใครกล้ายื่นข้อเสนอนี้ให้กับคุณแล้วล่ะครับ นอกจากนี้ลีฮาฮายังเป็นบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียงอีกด้วย ในไม่ช้าเราจะขยายตลาดเข้าสู่ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซียและประเทศอื่นๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่จะเป็นการช่วยส่งความนิยมให้เสียวหู่ตุ้ยดังขึ้นไปอีก”
เฝิงหยู่พูดกับซงเหวินผู้เป็นผู้จัดการวงเสียวหู่ตุ้ย
“คุณเฝิงครับ..เสียวหู้ตุ้ยของเราต่างเป็นที่รู้จักกันดีในแถบเอเชียอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือของใครเพื่อมาโปรโมทพวกเขาหรอกครับ? แล้วค่าตัวเพียง 1 ล้านหยวนต่อปีมันจะไม่เป็นการดูถูกศิลปินของเราไปหน่อยหรือ? ค่าตัวอย่างต่ำๆที่ผมคิดไว้ก็ประมาณ 5 ล้านหยวนต่อปีโดยสามารถเซ็นสัญญาได้ทั้งหมด 5 ปี”
ซงเหวินชักสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ลุกหนีแต่อย่างใด
“คุณซง..คุณคิดว่าเสียวหู่ตุ้ยดังกว่าเฉินหลงหรือครับ? คุณรู้หรือเปล่าว่าบริษัทของผมผมจ้างเฉินหลงให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ในราคาเท่าไหร่? เซ็นสัญญา 3 ปี 4 ล้านหยวน!”
อันที่จริงค่าตัวของเฉินหลงปีละ 4 ล้านหยวนแต่เฝิงหยู่ไม่ได้พูดให้ชัดเจน
ซงเหวินเองก็ถึงกับตกใจ ค่าตัวของเฉินหลงทำไมถูกขนาดนั้น? เขาเป็นถึงซุปเปอร์สตาร์และเป็นหนึ่งในพระเอกหนังบู๊ที่โด่งดังที่สุดในเอเชีย ค่าตัวของเขาในการเป็นพรีเซ็นเตอร์อย่างต่ำๆก็ควรประมาณ 5 ล้านเหรียญฮ่องกง
“คุณซง..ผมเองก็มีคอนเนคชั่นที่สามารถให้เสียวหู่ตุ้ยไปทำการแสดงในช่อง CCTVได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็จะทำได้นะครับ ถ้าจะให้ผมพูดตรงๆผมสามารถทำให้เสียวหู่ตุ้ยบุกเข้าตลาดจีนไม่ได้เลยนะครับ ถึงแม้ค่าตัวที่ผมเสนอไปให้มันจะไม่มากนักแต่มันจะสามารถกระตุ้นยอดขายและเพิ่มความนิยมของพวกเขาได้”
“เพิ่มความนิยมของเสียวหู่ตุ้ย? คุณเฝิงครับ..คุณมีค่ายเพลงหรือบริษัทดูแลศิลปินหรือไงกัน? เสียวหู่ตุ้ยของเราเองก็เคยจัดคอนเสิร์ตในจีนมาแล้วนะครับ”
เสียวหู่ตุ้ยถือเป็นศิลปินรายแรกของไต้หวันที่มีโอกาสเล่นคอนเสิร์ตในจีนและมันเป็นสิ่งที่ซงเหวินภูมิใจยิ่งนัก
“ผมเป็นเจ้าของบริษัทผลิตแผ่นวีซีดีรายใหญ่ของโลก ผมสามารถมอบวีซีดีคอนเสิร์ตเป็นของแถมให้กับลูกค้าทุกคนที่ซื้อเครื่องเล่นวีซีดีได้และผมยังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ในประเทศจีนอีกด้วย วินด์แอนเรนวีซีดีและไอว่าวีซีดีคือบริษัทของผมเอง คุณควรจะรู้นะครับว่าผมกำลังหมายถึงอะไร? ”
ซงเหวินถึงกลับอ้าปากค้าง เขาคิดว่าเฝิงหยู่เป็นเพียงลูกชายหรือญาติของประธานบริษัทลีฮาฮาเท่านั้น เขาไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะมาเจอนักธุรกิจใหญ่ขนาดนี้!
ด้วยการสนับสนุนของนักธุรกิจใหญ่ในระดับนี้จะช่วยให้เสียวหู่ตุ้ยบุกเข้าตลาดจีนได้เร็วขึ้นอย่างไม่มีข้อกังขา หากเสียวหู่ตุ้ยสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้เต็มตัวจะสามารถจัดคอนเสิร์ตได้มากขึ้นผลกำไรก็สูงเพิ่มไปอีกเท่าตัว
“แต่ 1ล้านหยวนมันน้อยเกินไปนะครับ..ผมขอเสนอเป็น 3ล้านหยวนต่อปีสำหรับการเซ็นสัญญา5ปี”
“5ปี? ถ้าผมจำไม่ผิดผู้ชายไต้หวันจะต้องเข้ากรมนี่ครับ ครั้งล่าสุดที่เสียวหู่ตุ้ยพักงานไปก็เพราะ1ในสมาชิกต้องไปรับใช้ชาติ ผมจะรู้ได้อย่างไรล่ะครับ?ว่าอีก 3 ปีข้างหน้าจะยังมีวงนี้อยู่!? คุณหวังให้ผมทำสัญญากับคุณถึง 5 ปี? งั้นผมขอลดเหลือ 4 ปีก็พอ! ส่วนค่าตัว 3 ล้านหยวนต่อปีมันแพงเกินไป ค่าตัวของเฉินหลงในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ในประเทศจีนยังน้อยกว่า 1 ล้านหยวนด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าผมจะพิจารณาในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อแล้วกัน ผมเสนอให้ค่าตัวของเสียวหู่ตุ้ยอยู่ที่ 1.5 ล้านหยวนเป็นระยะเวลา 4 ปี รวมๆแล้วก็ประมาณ 6 ล้านหยวน นี่คือข้อเสนอสุดท้ายของผมแล้ว”
“คุณเฝิงครับ..ผมขอเวลาคิดหน่อยแล้วกัน”
“ตกลง!แต่อย่าให้ผมรอนานเกินไปแล้วกัน ทางเราเองก็พิจารณากัวฟู่เฉิงไว้เหมือนกัน”
จากท่าทางของซงเหวินทำให้เฝิงหยู่มั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างเด็ดขาด
 
[1] เดอะ ลิตเติ้ล ไทเกอร์ หรือ เสียวหู่ตุ้ย (จีนตัวย่อ: 小虎队; จีนตัวเต็ม: 小虎隊; พินอิน: Xiǎohǔ duì; ชื่อภาษาอังกฤษ: The Little Tiger, Xiao Hudui) เป็นวงบอยแบนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในไต้หวันในช่วงยุค 90 (มีผลงานตั้งแต่1988-2010) ประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมด 3 คนคืออู๋ฉีหลง, เฉินจื้อเผิงและซูโหย่วเผิง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด