Extraordinary Genius อัจฉริยะเหนือชั้น ตอนที่ 663

อ่านนิยายจีนเรื่อง Extraordinary Genius อัจฉริยะเหนือชั้น ตอนที่ 663 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

EG บทที่ 663 โครงการกวงซี
 
ลิ่วหย่งห่าวชักสีหน้าไม่พอใจทันที เฝิงหยู่ต้องการจะสื่อถึงอะไร? มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของฉันแล้วคุณมาเกี่ยวอะไรด้วย? แต่เฝิงหยู่ก็พูดถูกจุดเพราะมันเป็นปัญหาที่นิวโฮปกรุ๊ปเผชิญอยู่จริงๆ พี่น้องทั้งสี่เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาแต่การจัดสรรหุ้นส่วนยังไม่ชัดเจนนักส่งผลให้การบริหารงานและแบ่งเงินปันผลไม่ลงตัวนัก แน่นอนว่ามันเป็นปัญหาที่สำคัญจริงๆ
ในปี ค.ศ.1992 ลิ่วหย่งห่าวได้เล็งเห็นปัญหานี้จึงจ้างบุคคลภายนอกเพื่อเข้ามาจัดการบริหารบริษัทแต่นี้คือธุรกิจของครอบครัวและน้องๆของเขาไม่เห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น พวกเขามีมุมมองที่ต่างออกไป นอกจากนี้พวกเขาทั้งหมดต่างแต่งงานมีครอบครัวไปหมดแล้ว ซึ่งพวกเขาก็ล้วนมีปัญหาที่ต้องจัดการในครอบครัวและยังต้องเผชิญกับปัญหาว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดบริษัทต่อไปในอนาคต นี้เป็นปัญหาที่พวกเขาต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด
หากมีแค่ 4 พี่น้อง มันจะสามารถแก้ไขได้โดยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้มันกลายเป็น 4 ครอบครัว! ลิ่วหย่งห่าวปวดหัวไม่น้อยกับปัญหานี้
“ผมจัดการปัญหานี้ได้แน่! คุณไม่ต้องมาห่วงผมหรอกครับ!”
ลิ่วหย่งห่าวตอบกลับ น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย
“ผมเองก็ไม่เก่งในเรื่องการบริหาร..บริษัทของพ่อผมก็เหมือนกัน นั่นคือเหตุผลที่ผมเลือกลงหุ้นเป็นจำนวนมากในธุรกิจต่างๆและไม่เคยลงมือบริหารบริษัทด้วยตัวเองเลย! หากผมจะแนะนำคุณก็คงต้องขอให้คุณยุติเรื่องนี้ด้วยไวที่สุด ไม่แน่ว่าในอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอาจเปลี่ยนไป อย่างน้อยที่สุดที่คุณควรจะทำก่อนคือการจัดสรรหุ้นส่วนและแบ่งสรรหน้าที่ต่างๆให้ลงตัว แน่นอนว่าคุณต้องเป็นคนที่ได้หุ้นมากที่สุด หากไม่มีคุณก็คงไม่มีนิวโฮปกรุ๊ปในวันนี้”
ลิ่วหย่งห่าวยอมรับในสิ่งที่เฝิงหยู่พูดเพราะมันคือสิ่งที่เขาคิดจะทำเช่นกัน หากเขาไม่ทำในสิ่งที่ชัดเจนกับน้องๆของเขาแล้วล่ะก็มันก็คงจะจัดการเรื่องต่างๆได้ยากขึ้นเมื่อธุรกิจของพวกเขาโตขึ้นกว่านี้ อย่างน้อยตอนนี้น้องชายของเขาก็ยังฟังเขาอยู่ อีกไม่กี่ปีลูกๆของพวกเขาก็จะโตขึ้นและหลายๆอย่างก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
การที่ผู้จัดการเฝิงบอกว่าตัวเองไม่ได้บริหารด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก มีด้วยหรือคนที่เป็นเจ้าของกิจการจะมอบอำนาจให้คนอื่นบริหารบริษัทของตนเอง แต่หลิวชุนซีบอกกับเขาว่าธุรกิจทั้งหมดของผู้จัดการเฝิงเป็นไปได้ดี ทุกบริษัทต่างทำกำไรได้มหาศาล นี่คงเป็นสูตรลับของเขาใช่มั้ย?
ฉันควรฟังกลุ่มผู้บริหารที่ฉันจ้างมาและเลิกตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองดีหรือไม่?
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ..ผมจะเก็บไปพิจารณาอีกที”
“ไม่เป็นไรครับ..อ้อ! ผมได้ยินมาว่าคุณจัดทำโครงการกวงซีขึ้นมาหรือครับ? ผมมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมได้หรือเปล่า?”
เฝิงหยู่อมยิ้มและถามออกไป
เฝิงหยู่นับถือลิ่วหย่งห่าวเป็นอย่างมากเพราะเขาเป็นคนใจบุญ เขาเริ่มต้นก่อตั้งโครงการกวงซีกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่อีก 9 ราย โครงการนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนจนในประเทศจีน มันสามารถช่วยคนจำนวนมากโดยเฉพาะในหมู่บ้านชนบท
แน่นอนว่าลิ่วหย่งห่าวยังเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาทางการเมืองและสภาประชาชนแห่งชาติ ผู้ประกอบการอีก 9 รายก็เช่นกัน บางทีพวกเขาอาจมีเหตุผลอื่นที่เลือกก่อตั้งโครงการนี้ขึ้นมาแต่เฝิงหยู่ก็จะเต็มใจเชื่อว่าพวกเขาต้องการช่วยเหลือคนยากจนและตั้งใจทำงานเพื่อการกุศลจริงๆ
โครงการกวงซีถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนแผนระดับชาติฉบับ 7 ปีของรัฐบาลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร 80 ล้านคนให้พ้นจากความยากจน (1994-2000) วัตถุประสงค์ของโครงการกวงซีคือการกำจัดความยากจน พวกเขาจะเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ชนบทและภูมิภาคที่ยากจนที่สุดในประเทศจีน
โครงการกวงซีจะขอให้นักธุรกิจเข้าไปลงทุนในพื้นที่ชนบทเพื่อพัฒนาให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ นี่ไม่ใช่โครงการที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อให้ความช่วยเหลือหรือบริจาคเงินให้แก่คนในพื้นที่นั้นๆ การลงทุนที่เสียไปจะต้องได้ผลตอบแทนกลับคืนมาแต่ผลตอบแทนอาจจะน้อยมากหรืออาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลกำไร
เฝิงหยู่สนใจโครงการนี้เพราะโครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การศึกษาเช่นกัน สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของเฝิงหยู่ เขาจึงอยากเข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ เขาไม่ได้คิดที่จะสร้างโรงงานในพื้นที่ชนบทตราบใดที่เขามีผลกำไรมหาศาลอยู่แล้ว
ในอนาคตหลังจากนี้โครงการกวงซีจะได้รับรางวัลจากองค์การสหประชาชาติ
ลิ่วหย่งห่าวรู้สึกตกใจไม่น้อยที่ได้ยินว่าเฝิงหยู่อยากเข้าร่วมโครงการกวงซีด้วย โดยปกติแล้วนักธุรกิจจะมองผลกำไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดแต่ผู้จัดการเฝิงคนนี้กลับต่างออกไป
“ไม่มีปัญหาครับ..ผมจะดึงคุณเข้าไปเป็นสมาชิกในโครงการนี้เอง!แต่คุณรู้หรือเปล่าครับ?ว่าผลตอบแทนจากโครงการนี้ไม่ได้สูงและยังใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้เห็นกำไร นอกจากนี้คุณยังต้องบริจาคเงินหรือสิ่งของต่างๆเป็นประจำทุกๆปี คุณแน่ใจจริงๆหรือครับว่าจะเข้าร่วมโครงการนี้?”
ลิ่วหล่งห่าวอธิบายให้เฝิงหยู่ฟัง
ลิ่วหย่งห่าวไม่ต้องการให้เฝิงหยู่คิดว่าพวกเขากำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อหาเงินจากมณฑลที่เป็นเขตชนบทโดยเฉพาะทางภาคตะวันตกและลืมจุดประสงค์หลักๆของพวกเขาไปเสียก่อน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กำไรแต่มันก็ไม่ใช้จุดประสงค์ของโครงการนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว โครงการนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและพัฒนาพื้นที่ให้เจริญ
โครงการนี้อย่างน้อยก็ใช้เวลา 3-5 ปีแต่ถ้าโชคร้ายหน่อยก็ใช้เวลาไปถึง 30-50 ปี! เฝิงหยู่ยังเด็กอยู่เลยหรือว่าเขาป่วยถึงมีความคิดเช่นนี้?
“เท่าที่ผมจำได้คร่าวๆ มันน่าจะมีอาคารเรียนหลายแห่งในมณฑลเสฉวนนะครับ คุณเคยเห็นมันบ้างหรือเปล่า? ครอบครัวของผมและตัวผมเองได้บริจาคเงินเป็นจำนวนมากแทบทุกปีแต่เราให้ความสำคัญไปที่การศึกษาเท่านั้นครับ ซึ่งจะต่างกับพวกคุณ ผมได้ยินมาว่าพวกคุณต่างมุ่งเน้นไปที่การสุขาภิบาลและวัฒนธรรมของภูมิภาคนั้นๆ พวกคุณทุกคนต่างดีกว่าพวกผมมากนัก”
จางหมิงก็เอ่ยสำทับเช่นกัน
“ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา..ผู้จัดการเฝิงของเราบริจาคเงินไปมากกว่า 100 ล้านหยวนแล้วครับ”
จางหมิงรวมจำนวนเงินที่เฝิงหยู่มอบเป็นทุนสำหรับการทำวิจัยให้กับมหาวิทยาลัยเข้าไปด้วย แน่นอนว่ามันมากกว่า 100 ล้านหยวนอย่างแน่นอน
ลิ่วหย่งห่าวกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“เท่าไหร่นะครับ?! มากกว่า 100 ล้านหวยเลยรึ!”
เฝิงหยู่เต็มใจบริจาคเงินจำนวนมากขนาดนี้เลยหรือ? แรงจูงใจที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?
เฝิงหยู่พอใจกับสิ่งที่จางหมิงเอ่ยแต่ก็แกล้งทำเป็นเอ่ยปรามเขาออกไป
“จางหมิง…พูดอะไรเช่นนั้น? สิ่งที่คุณลิ่วและเพื่อนๆของเขาทำต่างหากที่เรียกว่าการกุศลอย่างแท้จริง”
“ผู้จัดการเฝิง..ทำไมคุณถึงบริจาคเงินมากขนาดนั้น?”
ลิ่วหย่งห่าวเอ่ยถามอย่างสงสัย เขาไม่เชื่อว่าเฝิงหยู่จะบริจาคเงินโดยไม่คิดหวังสิ่งใด เฝิงหยู่เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและนักธุรกิจมักจะไม่ทำอะไรที่ไม่ได้ผลกำไรตอบแทน
“ผมต้องการมีภาพลักษณ์ที่ดีและทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ผมต้องการให้เด็กๆในพื้นที่ชนบทได้รับโอกาสที่ดีในการศึกษา ผมอยากให้พวกเขามีความปลอดภัยในการเรียนโดยการมอบอาคารที่แข็งแรงและมีมาตรฐานให้กับพวกเขา อาคารเรียนของไท้หัวจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนอนาคตของชาติเช่นเด็กๆเหล่านี้”
เฝิงหยู่ตอบอย่างจริงจัง
“ผู้จัดการเฝิง..คุณเป็นคนดีจริงๆ..ผมชื่นชมคุณมาก!”
ลิ่วหย่งห่าวกล่าว
“นั่นแสดงว่าคุณลิ่วไม่ได้ต่อต้านที่จะให้ผมเข้าร่วมโครงการนี้ใช่มั้ยครับ?”
“แน่นอนครับ! ผมจะไปต่อต้านได้อย่างไร? หากใครคิดต่อต้านผมจะจัดการพวกเขาเอง! เอาไว้เราค่อยคุยรายละเอียดเรื่องนี้กันภายหลังนะครับ เราควรหาโอกาสพูดคุยกันอีกครั้ง ผมดีใจจริงๆที่ได้มาพบคุณในวันนี้”
ลิ่วหย่งห่าวรับปากและเอ่ยเชิญชวนอย่างรวดเร็ว
หลิวชุนซีรู้สึกงงเมื่อเห็นพวกเขาทั้งคู่พูดคุยกันอย่างถูกคอ แต่นี่พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่? พวกเขาควรพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการร่วมทุนก่อตั้งธนาคารมินเช็งไม่ใช่หรือ? นี่ฉันรออยู่นะ! หากธนาคารมินเช็งก่อตั้งขึ้นลีโนโวอาจได้รับสัมปทานให้เข้าติดตั้งคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์สำหรับใช้งานในธนาคารได้ พวกคุณค่อยไปพูดเรื่องโครงการกวงซีทีหลังก็ได้นี่นา?
“เฮียลิ่ว!..ผู้จัดการเฝิง! เป็ดปักกิ่งกำลังร้อนๆเลย รีบทานมันตอนนี้ดีกว่าหากมันเย็นเดี๋ยวรสชาติจะเปลี่ยนได้”
หลิวชวนซีตัดสินใจขัดจังหวะพวกเขา
“พอพูดถึงเฉวียนจวี้เต๋อขึ้นมา..ผมก็นึกขึ้นมาได้! เห็นว่าพอมีหุ้นส่วนใหม่เพิ่มเข้ามา ที่นี่ก็มีการเปลี่ยนแปลงและขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดด ดูเหมือนมันจะไปได้ดีทีเดียว”
ลิ่วหย่งห่าวเอ่ยขึ้นลอยๆ
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
ลิ่วหย่งห่าวชะงักเล็กน้อย ฉันชื่นชมเฉวียนจวี้เต๋อ! แล้วมันไปเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ?
หลิวชุนซีเป็นคนแก้ความกระจ่างให้กับลิ่วหย่งห่าว
“ผู้จัดการเฝิงเป็นหุ้นส่วนของเฉวียนจวี้เต๋อครับ”
ห๊ะ?! ทำไมผู้จัดการเฝิงคนนี้ถึงมีหุ้นส่วนในธุรกิจประเภทนี้ด้วย? คุณเป็นคนบอกฉันไม่ใช่หรือ?ว่าเขาทำธุรกิจประเภทเครื่องยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วเป็ดปักกิ่งพวกนี้มันใช่เครื่องยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไหนกัน?
 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด