ตอนที่ 1653 ซากศพกับโลหิตเที่ยงแท้

อ่านนิยายจีนเรื่อง A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน ตอนที่ 1653 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ในยามที่หานลี่กลับมาถึงเมืองเมฆานั้น ก็เดินเข้าประตูเมืองไปอย่างทระนงองอาจ
 
 
ห่างออกไปตั้งไม่รู้กี่หมื่นลี้ ที่หนองน้ำเปียกชื้นและเย็นยะเยือกในเทือกเขามารสีทองแห่งหนึ่ง ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์ดำมืดสวมชุดคลุมยาวสีดำกำลังนั่งสมาธิหลับตาปรับลมหายใจอยู่บนก้อนหินสีเขียวมรกตก้อนหนึ่ง
 
 
จากนั้นชายร่างใหญ่พลันสูดลมหายใจ ไอมารสีดำสนิทรอบๆ วนล้อมรอบชายร่างใหญ่ไปมา ราวกับมีจิตวิญญาณ
 
 
เห็นได้ชัดว่าชายร่างใหญ่หน้าตาน่าเกลียดฝึกฝนเคล็ดวิชาลึกลับอะไรสักอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทีเคลิบเคลิ้มเป็นอย่างยิ่ง
 
 
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ชายร่างใหญ่พลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้าปากออก สูดไอมารในบริเวณรอบเข้าไปในท้อง จากนั้นก็เบิกตาโพลงพร้อมเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
 
 
แต่หลังจากที่กวาดสายตาไปรอบด้านอย่างส่งเดช ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันแข็งค้าง
 
 
เพราะว่าห่างจากเขาไปแค่สองสามจั้ง หญิงสาวผมดำสองเท้าเปลือยเปล่าสวมกระโปรงสีขาวหิมะคนหนึ่งกำลังมองมาทางนี้พร้อมหัวเราะคิกคัก
 
 
บางทีหญิงสาวผู้นี้อาจจะไม่ได้มีใบหน้างดงามมากนัก แม้กระทั่งริมฝีปากยังใหญ่ไปหน่อย แต่ดวงตาสุกใสราวกับดวงดาราคู่นั้น จมูกตรงแน่วราวกับหยกแกะสลัก ผิวละเอียดสีขาวหิมะ ก็เพียงพอที่จะทำให้บุคลิกของนางเหนือกว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘เทพเซียน’ ในยุทธภพแล้ว
 
 
“นายท่านบรรพบุรุษ! จระเข้ดำคารวะนายท่าน” หลังจากที่ชายร่างใหญ่หน้าตาน่าเกลียดมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจนแล้ว ก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกับหน้าถอดสี คาดไม่ถึงว่าจะหมุนตัวลงมาจากก้อนหินในทันใด คารวะให้หญิงสาวอย่างนอบน้อม
 
 
ชายร่างใหญ่ผู้นี้คือจระเข้ดำที่เพิ่งบรรลุระดับสำเร็จตนนั้น
 
 
แม้ว่ายามนั้นเขาจะไล่ตามชายชราแซ่เยี่ยน และสังหารเขาได้ แต่ก็ไม่ได้เห็ดเซียนมา แน่นอนว่าจึงต้องกลับมาทางเดิม
 
 
ผลคือหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวกบยักษ์ถูกหานลี่สังหาร เช่นนั้นมารตนนี้จึงรู้สึกตกตะลึง ทำได้เพียงจากไปอย่างหดหู่ใจ
 
 
ต่อมาเขาพลันค้นหาที่นี่เพื่อเตรียมการฝึกบำเพ็ญเพียร จะได้ทำให้ระดับที่ยังไม่มั่นคงแข็งแกร่งขึ้น
 
 
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ผ่านไปแค่สองสามเดือน หญิงสาวชุดขาวที่หลับใหลมาตลอดในความคิดของเขา จะมาหาถึงที่
 
 
และจากพลานุภาพที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาของอีกฝ่ายนั้น การสังหารมันก็เป็นเรื่องแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น นี่จึงทำให้มารตัวนี้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องร้ายหรือดี
 
 
“ลุกขึ้นเถิด อือ บรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์แล้วจริงๆ ไม่เลวๆ ดูแล้วที่น้องหญิงหมิงลัวเอาสมุนไพรวิญญาณให้เจ้ากินจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนั้นจะไม่เสียเปล่า นอกเสียจากว่าเจ้าจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเลย การบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น ดูแล้วโลหิตเที่ยงแท้มังกรชั่วในตัวเจ้าคงจะถูกเปิดแล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา
 
 
“นายท่านก็ทราบเรื่องนี้!” ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
 
 
“ย่อมรู้อยู่แล้ว มิใช่แค่นั้น ตอนนั้นแม้ว่าหมิงลัวจะโปรดปรานเจ้ามาก ก็คงไม่เอาสมุนไพรวิญญาณให้เจ้ากินมากขนาดนั้น มังกรชั่วนั้นเป็นสิ่งที่มีธาตุมารแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แม้กระทั่งสามารถกลืนกินมารเหนือฟ้าได้ ไม่ด้อยไปกว่าราชันมารเหนือฟ้า แม้ว่ายามนี้เจ้าจะแค่สืบทอดโลหิตเผ่ามังกรมา แต่คิดดูแล้วอิทธิฤทธิ์ก็คงไม่ด้อยไปกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง สมุนของข้าสามตนนั้น หากประมือกับเจ้าตัวต่อตัวเพียงลำพัง คิดดูแล้วก็ไม่อาจเป็นฝ่ายได้เปรียบได้แน่” หญิงสาวเอ่ยอย่างมีเลศนัย
 
 
“นายท่านบรรพบุรุษมองอิทธิฤทธิ์ของผู้น้อยสูงไปแล้ว ผู้น้อยจะกล้าเปรียบเทียบกับแขนโลหิตและมารปีกเหล็กได้อย่างไร”
 
 
ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์เอ่ยอย่างถ่อมตน
 
 
“น้องหญิงหมิงลัวหายตัวไปอย่างไม่รู้สาเหตุในสงครามแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าและนางนับถือกันดุจพี่น้อง ในเมื่อเจ้าบรรลุระดับแล้ว ก็ติดตามข้าชั่วคราวเถิด ข้าจะออกไปข้างนอกสักระยะ เจ้าเองก็เตรียมตัวเถิด” หญิงสาวเปลี่ยนน้ำเสียง เอ่ยถึงประเด็นหลัก
 
 
“นายท่านจะออกจากเทือกเขามารสีทอง!” ชายร่างใหญ่ได้ฟังพลันตกตะลึง
 
 
“ใช่แล้ว อันใด ไม่ยอมติดตามข้าหรือ”
 
 
“ได้อยู่ข้างกายนายท่านเป่าฮัว ช่างเป็นวาสนาของผู้น้อยที่ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกกี่ชาติแล้ว ขอแค่นายท่านสั่งการ ผู้น้อยก็พร้อมเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล ทำให้ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก รีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย
 
 
“ในเมื่อคิดเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บของอันใดแล้ว ไปกับข้าเถิด” หญิงสาวชุดขาวกลับดูเหมือนจะรู้สึกว่าสีหน้าของชายร่างใหญ่น่าสนใจ จึงเอ่ยออกมาด้วยแววตายิ้มๆ
 
 
“ขอรับ ผู้น้อยตัวคนเดียว จึงไม่มีอะไรต้องเก็บ” ชายร่างใหญ่พยักหน้าพร้อมโก้งโค้งด้วยรอยยิ้ม
 
 
หญิงสาวชุดขาวฉีกยิ้มเห็นไรฟัน สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง
 
 
แสงสีชมพูแผ่ออกมา ชั่วพริบตากลิ่นหอมประหลาดก็โชยเข้าจมูก ลำแสงเจิดจ้า ห่อหุ้มหญิงสาวและชายร่างใหญ่เอาไว้ข้างใน
 
 
เมื่อลำแสงหม่นแสงลง บรรยากาศรอบๆ กลับว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างผู้ใดอีก
 
 
คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวชุดขาวจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมา เคลื่อนย้ายตนและชายร่างใหญ่ไปจากที่นี่
 
 
ในภูเขาเมฆานิทราของเมืองเมฆา หานลี่เพิ่งกลับมาถึงถ้ำพำนัก ก็ตรวจสอบเขตอาคมตามจุดต่างๆ ในถ้ำอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีร่องรอยบุกรุกของผู้ใด ถึงได้เข้าไปหลับฝันหวานบนเตียงในห้องนอนอย่างวางใจ
 
 
การเดินทางไปเทือกเขามารสีทองในครั้งนี้ แม้ว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่อันตรายในระหว่างนั้นก็ยังคงมีไม่น้อย ทำให้เขานอกจากจะสูญเสียพลังปราณไปจำนวนมาก ยังรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก จึงจำใจต้องปรับให้เหมาะ
 
 
ผลคือการหลับครั้งนี้กินเวลาไปสองวันสองคืน
 
 
เมื่อหานลี่ตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกสดชื่น ร่างทั้งร่างพลันฟื้นฟูกลับมากระปรี้กระเปร่า
 
 
ทันใดนั้นเขาก็เดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังห้องลับอย่างไม่ลังเล
 
 
การเดินทางไปเทือกเขามารสีทองของเขาในครั้งนี้นับว่าได้ประโยชน์มาไม่น้อย จำต้องจัดการสักหน่อย
 
 
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็มาอยู่ในห้องลับที่กว้างถึงยี่สิบสามสิบจั้ง สะบัดแขนเสื้อไปทางประตูหิน ไม่เพียงประตูใหญ่จะปิดลงโดยอัตโนมัติ กำแพงหินรอบด้านยังมีม่านลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นมาชั้นหนึ่ง ปกคลุมห้องลับเอาไว้อย่างแน่นหนา
 
 
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ หานลี่ถึงได้นั่งลงบนฟูกกลางห้อง และใช้มือหนึ่งถือจับคางเอาไว้พลางครุ่นคิด
 
 
แววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ฉับพลันนั้นเขาพลันสะบัดข้อมือ ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
 
 
นั่นก็คือกำไลเก็บของของเขาวงนั้น
 
 
หานลี่ใช้มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศอย่างไม่ต้องขบคิด
 
 
ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงพันม้วนวนออกมา ของสีดำชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ
 
 
เสียง “ตึง” ดังขึ้น ของสิ่งนั้นร่อนลงบนพื้น เกิดเป็นเสียงอันหนักอึ้ง
 
 
นั่นก็คือซากแห้งของวานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนกับมัมมี่ร่างนั้น จุดตันเถียนของมันเป็นรูขนาดใหญ่ แต่กลับไม่มีโลหิตสดๆ เลยสักนิด จึงดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
 
 
หานลี่มองซากแห้งยาวสองสามจั้งตนนั้น ใบหน้ากลับเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
 
 
แม้ว่าแกนมารในซากศพของวานรมารจะถูกเขาเอาออกไปแล้ว ดูเหมือนว่าโลหิตบริสุทธิ์จะสูญเสียไปแปดเก้าส่วนแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ยังคงไม่ธรรมดา ไม่ว่าเส้นเอ็นหรือกระดูกก็ล้วนเป็นวัตถุดิบที่หายาก มีประโยชน์ในการหลอมอาวุธเป็นอย่างมาก
 
 
แต่ตอนแรกที่เขาพาซากนี้ไป ก็ไม่ใช่เพื่อหลอมอาวุธ แต่เพื่อโลหิตเที่ยงแท้ของวานรมารภูเขาที่ผสมอยู่ในร่างของวานรมาร
 
 
ทว่าสิ่งนี้เปลี่ยนเป็นแห้งกรอบเช่นนี้ เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าจะเอาสิ่งนี้ออกมาได้ จึงทำได้เพียงพยายามดูสักตั้ง
 
 
หากเป็นคนธรรมดาบางทีอาจจะปวดหัวกับการหลอมโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้นี้ แต่คาถาตื่นจากจำศีลกับร่างของหานลี่กลับไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
 
 
ขอแค่เป็นโลหิตเที่ยงแท้ในตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองเขา แน่นอนว่าเขาย่อมมีวิธีใช้เคล็ดวิชาลับหลอมเอาโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่สืบทอดมาในกายเนื้อของอสูรวิญญาณออกมาได้
 
 
แน่นอนว่าจะหลอมโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้เท่าไหร่และระดับความบริสุทธิ์เท่าใดนั้น ต้องดูระดับความเข้มข้นและระดับความแข็งแกร่งที่อสูรตัวนั้นสืบทอดโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้มา ถึงอย่างไรเสียแม้ว่าจะสืบทอดโลหิตมาน้อยนิดตั้งแต่กำเนิด ก็อาจจะเพิ่มขึ้นตามระดับพลังยุทธ์ของตนได้ ทำให้โลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในร่างบริสุทธิ์และเข้มข้นขึ้นได้
 
 
โลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ได้มาก่อนหน้า จากระดับความบริสุทธิ์แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นโลหิตเที่ยงแท้คุนเผิงของเผ่าวิหคสวรรค์ แต่ความเข้มข้นกลับเป็นโลหิตเที่ยงแท้ของนกยูงห้าสี
 
 
ที่น้อยที่สุดคือโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์
 
 
โลหิตวิญญาณสองชนิดหลังเป็นสิ่งที่เขาบังเอิญได้มาจากสิ่งที่ไม่สะดุดตา หนำซ้ำยังเป็นโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้จากมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นพลังยุทธ์ของทั้งสองยังอยู่แค่ระดับเทพแปลง แน่นอนว่าจึงไม่อาจกล่าวว่าบริสุทธิ์อันใดได้
 
 
แม้ว่ามังกรเที่ยงแท้หงส์สวรรค์จะถูกจัดอันดับอยู่ในระดับหน้าๆ แต่หลังจากหานลี่หลอมทั้งสองชนิดนี้ ไม่ว่าอานุภาพหลังจากการแปลงกายกลับสู้การแปลงกายของคุนเผิงและนกยูงห้าสีไม่ได้ ประกอบกับเขาได้คาถาแปลงกายต่างๆ มาจากจิตของอาวุโสเผ่าคุนเผิง จึงแปลงเป็นคุนเผิงและวิหคอื่นๆ มากที่สุด
 
 
ดังนั้นหานลี่จึงใช้การแปลงกายเป็นมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์น้อยมาก และใช้การแปลงกายเป็นคุนเผิงและนกยูงห้าสีต่อกรกับศัตรูมากที่สุด
 
 
แต่วานรมารภูเขาที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางของจริง ต่อให้เดิมทีมันสืบทอดโลหิตของวานรยักษ์ภูเขามาน้อยนิดสักแค่ไหน ฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นระดับความบริสุทธิ์และจำนวนก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
 
 
แน่นอนว่านี่ย่อมทำให้หานลี่ตั้งตารอคอย
 
 
แน่นอนว่าทุกสิ่งที่เอ่ยไปก่อนหน้า โลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในซากวานรมารตัวนี้ต้องยังอยู่ถึงได้
 
 
ยามนี้หานลี่หลับตาทั้งสองข้างลง ปากก็เริ่มบริกรรมคาถา และร่ายนิ้วไปทางซากยักษ์เบื้องหน้าไม่หยุด
 
 
ชั่วขณะนั้นอาคมหลากสีสันเป็นสายๆ พลันพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในซากศพ
 
 
ชั่วขณะนั้นผิวของซากวานรมารที่เดิมนิ่งสนิทพลันเริ่มเปล่งแสงหลากสีออกมา และมีอักขระน้อยใหญ่ปรากฏออกมา
 
 
จากนั้นเสียงบริกรรมคาถาพลันยิ่งยืดยาวขึ้น ซากทั้งซากถูกม่านลำแสงห่อหุ้มเอาไว้ ราวกับสวมชุดคลุมหลากสีสันที่งดงามมาก
 
 
“ขึ้น”
 
 
ดวงตาทั้งสองของหานลี่เบิกตาขึ้นลำแสงบริสุทธิ์พุ่งออกไปรอบด้าน พลางตะโกนด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา
 
 
ซากศพที่แต่เดิมนอนนิ่ง พลันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะลอยขึ้นไปกลางอากาศ
 
 
จากนั้นฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
 
 
ม่านลำแสงสีสันงดงามพลันแข็งตัวในชั่วพริบตา
 
 
ในม่านลำแสงนับหมื่นสายดูเหมือนจะมีพลังมหาศาลที่น่าเหลือเชื่อแฝงอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะมัดร่างของวานรมารแน่นจนเกิดเสียงดัง ‘กร๊อบ’ เริ่มหดเล็กลงทีละนิดๆ จากสามสี่จั้ง เป็นสองจั้ง และจากสองจั้งกลายเป็นหนึ่งจั้ง
 
 
เห็นเพียงซากวานรมารยาวสองสามจั้งกลายเป็นซากคนแคระขนาดสามสี่ฉื่อในชั่วพริบตา
 
 
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหยักมุมปากขึ้น รอยยิ้มปรากฏขึ้น แต่ครู่ต่อมาเขาพลันตบไปที่หน้าผากของตนเอง
 
 
ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสีทองเขียวสองสีพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ทารกวิญญาณสูงสามชุ่นตัวอ้วนกลมปรากฏออกมา
 
 
เมื่อมันปรากฏตัวแววตาก็เปล่งประกาย จ้องเขม็งไปยังซากวานรมารกลางอากาศ จากนั้นก็ฉีกยิ้มหัวเราะคิกคัก พ่นเพลิงสีเขียวขนาดเท่านิ้วมือออกมาจากปาก ตรงไปหาซากวานรมาร

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด