ตอนที่ 1669 ตราประทับดาวเหนือ

อ่านนิยายจีนเรื่อง A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน ตอนที่ 1669 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ด้านนอกถ้ำพำนักมีชนต่างเผ่าสิบกว่าคนรออยู่ตรงนั้น 
 
 
ผู้นำทั้งสี่คนสวมชุดสีเหลือง ล้วนอยู่ในระดับหลอมสุญตา คนที่เหลือเป็นนักรบชุดเกราะถือง้าวยาวสีเงิน ท่าทางพร้อมรบ 
 
 
“สหายหาน พวกเราพี่น้องรับคำสั่งของท่านอาวุโสของท่านเชียนจีจื่อมา จึงมาส่งสหายไปที่จุดรวมตัว” ชายร่างใหญ่สวมชุดสีเหลืองที่เป็นผู้นำเห็นหานลี่ออกมาจากถ้ำพำนักก็คารวะพร้อมเอ่ยขึ้นในทันใด 
 
 
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนเหล่าสหายแล้ว” หานลี่ไม่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา พลางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ 
 
 
ก่อนหน้านี้ที่เขากระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นมีเพียงชนชั้นสูงของเผ่าเมฆาจำนวนน้อยที่รู้ แต่ยามนี้หลังจากแดนกว้างเย็นเปิดออก เดาว่าผู้ที่รู้ฐานะของเขาก็มีไม่น้อยแล้ว 
 
 
เชียนจีจื่อย่อมกลัวว่าจะมีคนก่อความวุ่นวาย ลักพาตัวเขาหรือว่าสังหารเขาในยามนี้ถึงได้ส่งฝ่ายสนับสนุนมา 
 
 
ชายร่างใหญ่สวมชุดสีเหลืองได้ยินคำพูดของหานลี่ก็หัวเราะ และโบกมือไปที่นักรบชุดเกราะด้านหลัง 
 
 
ชั่วขณะนั้นนักรบชุดเกราะที่แต่เดิมที่ยืนเรียงแถวกันสิบกว่าคนพลันแยกตัวออก เผยรถวิญญาณลำแสงสีเขียวออกมาคันหนึ่ง 
 
 
ที่ลากรถอยู่ด้านหน้าเป็นวิหคยักษ์ขนสีเขียวมรกตสองตัวดูสวยงามเป็นอย่างมาก 
 
 
มองปราดเดียวก็ดูออกว่ารถวิญญาณคันนี้ไม่ธรรมดา! 
 
 
หานลี่เห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปในรถวิญญาณอย่างไม่เกรงใจ 
 
 
ชนต่างเผ่าสวมชุดสีเหลืองสี่คนนั้นก็บินมาอยู่บนรถเช่นกัน แยกกันยืนอยู่ทั้งสี่มุมของรถวิญญาณอย่างคุ้นเคย คุ้มครองหานลี่เอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา 
 
 
วิหคสีเขียวสองตัวเปล่งเสียงร้องสองสามครั้ง สยายปีกทั้งสองข้างออก แล้วพารถวิญญาณบินขึ้นไป 
 
 
นักรบชุดเกราะสีเงินเหล่านั้นทยอยกันปล่อยจานอาคมทรงกลมสีเงินออกมา เหยียบไปบนยุทธภัณฑ์และลอยขึ้นกลางอากาศ 
 
 
หลังจากผ่านไปชั่วครู่รถวิญญาณสีเขียวก็อยู่สูงขึ้นไปสองสามร้อยจั้ง ตรงไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งของเมืองเมฆา 
 
 
เห็นได้ชัดว่าทั้งเมืองเมฆาในยามนี้อยู่ในการเฝ้าระวัง ไม่เพียงตามจุดต่างๆ จะมีผู้คนสัญจรไปมาอยู่บางตาทุกแห่งหนบนถนนก็เห็นนักรบชุดเกราะหลากสีสันเป็นกลุ่มๆ ทั้งบนพื้นและกลางอากาศ 
 
 
หานลี่สังเกตเห็นว่าบางจุดที่ปกติและค่อนข้างสำคัญมีระลอกคลื่นเขตอาคมต้องห้ามส่งลงมารางๆ ดูเหมือนว่าเขตอาคมต้องห้ามเหล่านี้จะถูกกระตุ้นทั้งหมด 
 
 
ดูแล้วชนชั้นสูงของเมืองเมฆาคงให้ความสำคัญกับการเปิดแดนกว้างเย็นในครั้งนี้จริงๆ 
 
 
ระหว่างทางที่รถวิญญาณบินไปไม่พบกับเรื่องไม่คาดฝันใดๆ นำรถวิญญาณมาถึงใกล้ๆ กับโรงเตี๊ยมที่หานลี่กระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นในวันนั้น 
 
 
ในยามนี้บริเวณนี้ถูกเขตอาคมปิดผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนา และยิ่งไปกว่านั้นยังมองเห็นเสาขนาดยักษ์สูงร้อยจั้ง ยี่สิบสามสิบเสาตั้งตระหง่านอยู่ในเขตอาคมอยู่ไกลๆ ล้อมรอบกันเป็นวงกลมในรัศมีสิบกว่าลี้ โดยมีโรงเตี๊ยมเป็นจุดศูนย์กลาง 
 
 
เสาเหล่านี้แผ่รังสีหลากสีสันออกมา มันทอตัวกันเป็นดั่งม่านลำแสงห้าสี ยิ่งทำให้ด้านในถูกปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา คนนอกไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้ 
 
 
ทว่าเมื่อเข้าใกล้เขตนี้ก็พบกับนักรบชุดเกราะที่กำลังควบคุมเขตนี้อยู่มากกว่าสถานที่อื่นเป็นสิบเท่า แทบจะถูกนักรบชุดเกราะเหล่านี้ล้อมเอาไว้ 
 
 
และยังมีหุ่นเชิดนิรนามสูงเจ็ดแปดจั้งร้อยกว่าตัว บ้างก็เป็นสีดำสนิทดุจน้ำหมึกบ้างก็เป็นสีแดงสดดุจเปลวเพลิง กระจายตัวยืนนิ่งอยู่ตามจุดต่างๆ 
 
 
หานลี่เห็นทุกอย่างก็มีสีหน้าตกตะลึงฉายแวบออกมา 
 
 
นักรบชุดเกราะที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่ได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่ในระดับหลอมรวมขึ้นไป ระดับก่อกำเนิดซะส่วนใหญ่ 
 
 
ส่วนกลิ่นอายของระดับหลอมสุญตานั้น เขากวาดจิตสัมผัสไปเร็วๆ ก็พบอยู่ในบริเวณนี้ยี่สิบสามสิบคนแล้ว 
 
 
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขตอาคมต้องห้ามเป็นชั้นๆ ที่ดูเหมือนตาข่ายเทียนหลัวในบริเวณรอบ 
 
 
เห็นได้ชัดว่าที่นี่ถูกคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา! 
 
 
รถวิญญาณสีเขียวมีสัญลักษณ์อันใดสักอย่างที่สามารถแยกแยะฐานะได้ระหว่างทางที่บินมาจึงไม่มีผู้ใดเข้ามาตรวจสอบหรือขวางทาง 
 
 
ยามนี้เมื่อเข้าใกล้ม่านลำแสงนี้กลับมีนักรบชุดเกราะที่ขี่แมวที่ดูเหมือนหมาป่ายักษ์แต่แผ่นหลังมีปีกแมลงสองปีกยื่นออกมาสองสามคนบินออกมาจากม่านลำแสงพลางตรงมาหาหานลี่และพวก 
 
 
“ท่านแม่ทัพเถี่ย! สหายหานมาถึงแล้ว” นักรบชุดเกราะสีเขียวคนหนึ่งเป็นบุรุษอายุห้าสิบกว่าปีเห็นรถวิญญาณสีเขียวก็เอ่ยถามอยู่บนแผ่นหลังของหมาป่ายักษ์อยู่ไกลๆ  
 
 
“หึๆ เป็นท่านอาวุโสเชียนที่ให้พี่ฮัวออกมาต้อนรับสินะ วางใจเถอะ สหายหานอยู่ในรถแล้ว สหายฮัวเปิดเขตอาคมเถิด” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีเหลืองที่อยู่ในรถวิญญาณตอบกลับด้วยรอยยิ้ม 
 
 
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้าจะเปิดเขตอาคมเดี๋ยวนี้” บุรุษขี่หมาป่ายักษ์ได้ยินพลันดีใจ 
 
 
จากนั้นเขาและคนที่เหลือพลันควักของสิ่งหนึ่งออกมาจากทรวงอก กลับเป็นแผ่นป้ายต้องห้าม จากนั้นพลันโบกสะบัดไปทางม่ายลำแสงที่เพิ่งบินออกมา 
 
 
ชั่วขณะนั้นเสาลำแสงหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะลักออกมาจากแผ่นป้ายพุ่งไปทางม่านลำแสงแล้วกลายเป็นเขตอาคมลำแสงขนาดสองสามจั้ง 
 
 
ม่านลำแสงบริเวณรอบพลิ้วไหวเล็กน้อยแล้วปริแตกออกเป็นช่องทางสายหนึ่งท่ามกลางเสียงหวีดร้อง กลายเป็นทางเดินสายหนึ่ง 
 
 
แต่ในทางเดินยังคงมีลำแสงห้าสีสันไหลวนโคจรอยู่ ดูแล้วลึกลับเป็นอย่างมาก 
 
 
ทันใดนั้นชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีเหลืองก็กระตุ้นวิหควิญญาณสีเขียวตรงหน้า รถวิญญาณกระโจนออกไป 
 
 
ผู้ที่ออกมาต้อนรับสองสามคนพลันติดตามนักรบชุดเกราะเหล่านั้นไปอย่างรีบร้อน 
 
 
ทางเดินม่านลำแสงที่ดูเหมือนจะมีเพียงชั้นหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าพอรถวิญญาณบินอยู่ข้างในได้หนึ่งมื้ออาหาร ในที่สุดถึงได้มองเห็นทางออก 
 
 
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย 
 
 
คาดไม่ถึงว่าม่านลำแสงนี้จะมีเขตอาคมต้องห้ามแฝงอยู่ข้างใน หากไม่รู้แล้วแอบเข้ามาในม่านลำแสงเกรงว่าต่อให้มีเคล็ดวิชาหลีกหนีที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนก็คงถูกกักอยู่ข้างในในทันที 
 
 
เมื่อเสียเวลาไปนานขนาดนี้ผู้ที่แอบเข้ามาคงถูกคนด้านในพบเข้าไปตั้งนานแล้ว 
 
 
หานลี่ขบคิดอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว 
 
 
ยามนี้รถวิญญาณสีเขียวบินออกมาจากทางออกแล้ว ตรงหน้ามีลำแสงสว่างวาบทุกอย่างปรากฏอยู่ในครรลองสายตาของหานลี่ 
 
 
เห็นเพียงด้านล่างมีเขตอาคมขนาดยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางยี่สิบสามสิบจั้ง ผิวของมันมีผลึกศิลาขนาดเท่ากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนฝังอยู่ ตรงขอบมีลวดลายสลับซับซ้อน ลำแสงหลากสีสันเปล่งแสงวาบๆ อยู่รางๆ  
 
 
มองไกลๆ ช่างงดงามเสียจริง 
 
 
ตรงใจกลางของเขตอาคมทั้งสองนอกจากตำหนักที่สร้างขึ้นใหม่กินพื้นที่ขนาดสองสามหมู่แล้ว ก็ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ อีก 
 
 
แต่ไม่ว่ารอบๆ เขตอาคมหรือว่าตำหนักขนาดยักษ์นั้น ล้วนมีเงาร่างคนพลิ้วไหวไปมารวมตัวกันอยู่ประมาณสองสามพันคน 
 
 
ส่วนใหญ่เป็นนักรบชุดเกราะที่รับหน้าที่ควบคุมดูแล นอกจากนี้ยังมีผู้ที่สวมเสื้อผ้าหลากหลายอีกสองสามร้อยคน แต่ทุกคนล้วนมีพลังยุทธ์ลึกล้ำ 
 
 
คนเหล่านี้ล้อมเขตอาคมทั้งสองและตำหนักเอาไว้พลางๆ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีใครเอ่ยปากออกมาสักคำ 
 
 
ทว่าเมื่อรถวิญญาณที่หานลี่โดยสารอยู่บินออกมาจากกลางอากาศผู้คนที่อยู่ด้านล่างจำนวนไม่น้อยก็พบเงาร่างของเขาภายในทันที ต่างทยอยกันเงยหน้าขึ้นมอง 
 
 
แต่ชายร่างใหญ่สวมชุดสีเหลืองกลับไม่สนใจสายตาของคนเหล่านี้ ควบคุมรถวิญญาณบินวนอยู่กลางอากาศแล้วร่อนลงตรงพื้นที่ว่างที่จงใจเว้นไว้ด้านหน้าตำหนัก 
 
 
หานลี่กวาดสายตาไปถึงได้พบว่าด้านข้างมีรถวิญญาณที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วจอดอยู่อีกคันหนึ่ง แต่ว่ารถคันนั้นมีสีขาวราวกับหิมะเท่านั้น 
 
 
“สหายหาน อาวุโสเชียนจื่อจีและพวกกำลังรอสหายอยู่ในตำหนัก พวกเรามีภารกิจจึงส่งได้เพียงเท่านี้” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีเหลืองรอจนรถหยุดนิ่งก็ประสานกำปั้นให้หานลี่อย่างมีมารยาท 
 
 
“ขอบคุณพี่เถี่ยที่คุ้มกัน!” หานลี่เองก็มีมารยาทกับชายร่างใหญ่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มจางๆ 
 
 
จากนั้นร่างของเขาก็พลิ้วไหววนลอยลงมาจากรถ และหลังจากที่สองเท้าเหยียบลงบนพื้นก็เดินเข้าไปในตำหนักด้วยท่าทีที่ไม่รีบร้อน 
 
 
นักรบชุดเกราะสิบกว่าคนที่รักษาการณ์อยู่นอกตำหนักเห็นหานลี่ลงมาจากรถวิญญาณด้วยตาของตัวเอง ก็แค่ใช้สายตาสงสัยพิจารณาเขาสองสามแวบแต่ไม่ได้เข้ามาซักถามใดๆ 
 
 
หานลี่เห็นเช่นนั้นย่อมเดินเข้าไปอย่างอารมณ์ดี ทำท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ 
 
 
เมื่อเดินผ่านทางเดินที่มีนักรบชุดเกราะอยู่เต็มทั้งสองฝั่งไป หานลี่ก็มาถึงห้องโถงที่ดูกว้างขวางเป็นพิเศษ 
 
 
ด้านในมีคนนั่งบ้างยืนบ้างอยู่ทั้งสองฝั่งถึงสี่สิบห้าสิบคน 
 
 
ตรงใจกลางมีเก้าอี้เปล่งแสงระยิบระยับตัวหนึ่ง กลับมีชายหนุ่มผิวขาวอายุประมาณยี่สิบกว่าปีนั่งอยู่ นั่นก็คือชายหนุ่มแซ่เวิง 
 
 
ส่วนเชียนจีจื่อ ต้วนเทียนเริ่น รวมทั้งไช่หลิวอิงและผู้ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์อีกเจ็ดแปดคนนั่งอยู่ด้านล่างอยู่หร็อมแหร็ม 
 
 
ส่วนผู้ที่อยู่ด้านหลังกลับเป็นบุรุษและสตรีหน้าตาแตกต่างกันไป กลิ่นอายล้วนไม่อ่อนแอคาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอด 
 
 
ยามที่หานลี่เข้าไปพวกของเชียนจีจื่อก็กำลังเอ่ยอันใดสักอย่างพร้อมกับกลั้วหัวเราะกับชายหนุ่มแซ่เวิง คนอื่นๆ ต่างฟังอยู่อย่างเงียบๆ 
 
 
ยามนี้หานลี่เดินเข้าไปในห้องโถง สายตาของคนกว่าครึ่งก็กวาดผ่านมา 
 
 
“ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโสทุกท่าน!” หานลี่เห็นชายหนุ่มแซ่เวิงก็อดที่จะรู้สึกตกตะลึงไม่ได้ แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉยขณะคารวะตัวประหลาดเฒ่าเหล่านี้ 
 
 
“สหายหานเจ้าก็มาถึงแล้วเยี่ยมมาก สองสามชั่วยามหลังจากนี้แดนกว้างเย็นก็จะเปิดแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะแนะนำผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับเจ้าให้รู้จัก” เชียนจีจื่อเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย 
 
 
“ขอรับ ชนรุ่นหลังน้อมรับคำสั่งของท่านอาวุโส” หานลี่ในยามนี้ย่อมไม่มีทางพูดว่าไม่ 
 
 
“เจ้าคือสหายน้อยหานที่กระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นโดยไม่ได้ตั้งใจสินะ!” ชายหนุ่มแซ่เวิงกวาดสายตามาบนเรือนร่างของหานลี่ ดูเหมือนว่าจะพบอันใดสักอย่าง แววตามีแววตกตะลึงฉายแวบผ่านไป คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา 
 
 
“รายงานท่านอาวุโสเวิงเป็นชนรุ่นหลังนี่แหละขอรับ” หานลี่ไม่กล้าดูแคลน ค้อมตัวตอบกลับอย่างนอบน้อม 
 
 
“เจ้ารู้จักข้า” ชายหนุ่มกลับรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย 
 
 
“ชนรุ่นหลังเคยพบบารมีของท่านอาวุโสครั้งหนึ่งในงานประมูลสี่เผ่า” หานลี่ตอบกลับอย่างซื่อตรง 
 
 
“งานประมูลสี่เผ่า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าและเจ้าก็มีวาสนาต่อกัน ข้าว่าแม้เจ้าจะมีพลังยุทธ์แค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ด แต่พลังปราณและจิตสัมผัสกลับเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันหลายเท่า ข้ามี ‘ตราประทับดาวเหนือ’ ที่ได้มาโดยบังเอิญอยู่อันหนึ่ง เวลาสำแดงออกมาต้องสูญเสียจิตสัมผัสเป็นอย่างมาก แต่มีประโยชน์กับผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก เหมาะสมกับเจ้าพอดี มอบให้เจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแซ่เวิงพิจารณาหานลี่อย่างละเอียดอีกสองสามแวบ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยคาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยคำพูดที่ผู้อื่นคิดไม่ถึงออกมา 
 
 
เมื่อสิ้นเสียงเขาพลันสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นของที่มีลำแสงสีเงินระยิบระยับพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งมาทางหานลี่ 
 
 
หานลี่พลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็รู้สึกทั้งดีใจทั้งตกตะลึง ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปากก็เอ่ยขอบคุณอย่างต่อเนื่อง มือหนึ่งตะปบไปทางของที่บินมาทันที 
 
 
ผลคือม่านลำแสงสีเขียวพ่นออกมาจากปลายนิ้วแล้วม้วนเอาของสิ่งนั้นไว้ข้างในพลางดึงมาในมือ 
 
 
เขาเพ่งสมาธิมองเป็นตราประทับสีเงินขนาดห้าหกชุ่นแต่มีรูปทรงที่วิจิตรงดงามมาก 
 
 
ทำให้ตราประทับนี้หมุนวนเล็กน้อยทำให้มองเห็นตัวอักษรสีม่วงขนาดเท่าเมล็ดถั่วสามตัวที่สลักอยู่ด้านล่าง 
 
 
นั่นก็คือตัวอักษรโบราณ ‘ตราประทับดาวเหนือ’ 
 
 
นี่คือตัวอักษรโบราณที่พบเห็นได้ยากชนิดหนึ่ง โชคดีที่ตอนที่เขาร่ำเรียนอย่างมั่วซั่วในปีนั้นได้บังเอิญโชคดีร่ำเรียนมา ดังนั้นมองปราดเดียวจึงอ่านออก 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด