Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 86 รอบสุดท้าย

อ่านนิยายจีนเรื่อง Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 86 รอบสุดท้าย 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

 
“กลุ่มที่สี่ เซี่ยจิ้งจือ ฝานอีเชียนและชางเซวียน!” มหาเคารพเฟิงเฉินยิ้มพลางพูดเสียงดังกังวาน
“คอยดูข้าล่ะ!” ฝานอีเชียนมีแววกระหายสงครามเทียมฟ้า ผิวกายมีสายฟ้าหมุนเวียนอยู่
เซี่ยจิ้งจือเป็นสตรีโฉมงามนางหนึ่ง กลิ่นอายน่าเข้าใกล้ ไม่ว่าผู้ใดเห็นนางก็ต้องเกิดความรู้สึกดีด้วยกันทั้งนั้น
ชางเซวียน…ก็คือแม่ทัพเซวียน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งมองอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เขาจับตามองแม่ทัพเซวียนเป็นหลัก “ตอนแรกที่ต้องต้านทานกระบวนท่าปณิธานดวงจิตนั้น เขา ข้าและเซี่ยฝ่าหยางแทบจะล้มลงต่อเนื่องกัน ไม่รู้ว่าเขาเชี่ยวชาญกระบวนท่าโจมตีวิญญาณหรือไม่”
ปณิธานดวงจิตแข็งแกร่งยิ่งนัก
อาจจะเชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณอยู่บ้าง เช่นเคล็ดวิชาคุ้มกันวิญญาณหรืออื่นๆ แต่ก็มิได้หมายความว่า เชี่ยวชาญกระบวนท่าโจมตีวิญญาณ! ปณิธานดวงจิตแข็งแกร่งได้นั้นมีเส้นทางหลายสาย แต่ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญทางด้านการโจมตีวิญญาณจริงๆ ด้านปณิธานดวงจิตก็ต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่งแน่นอน
“ตู้มมม…”
การต่อสู้พลันเปิดฉากขึ้นทันที
บรรดาแขกเหรื่อที่ชมการต่อสู้อยู่ตกใจอย่างรวดเร็ว ระดับการต่อสู้ของกลุ่มนี้สามารถบีบกลุ่มของพวก ‘อิงซานเสวี่ยอิงและเซี่ยฝ่าหยาง’ ได้เลยทีเดียว! ทั้งน่าตื่นตาตื่นใจและร้ายกาจกว่ากลุ่มที่หนึ่งและกลุ่มที่สองมากนัก
“ตาย ตายให้ข้าเสียเถอะ ตายไปให้หมด!” ฝานอีเชียนบ้าคลั่งไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว นัยน์ตามีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ เห็นได้ชัดว่าเขาสำแดงเคล็ดต้องห้ามออกมา
พลองสำริดเล่มหนึ่งกวาดไปทั่วสารทิศ ทั้งร่างเต็มไปด้วยสายฟ้า แต่ละกระบวนท่าล้วนมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ความเร็วเหนือธรรมดา เพียงพริบตาเดียวก็สำแดงออกมาเป็นร้อยเป็นพันกระบวนท่าแล้ว! ไม่เพียงแต่รวดเร็วเท่านั้น แต่อานุภาพยังยิ่งใหญ่เสียจนน่าหวาดหวั่นอีกด้วย
“สหายเอ๋ย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบตกใจ “พละกำลังน่าหวาดหวั่นนัก ลำพังแค่เคล็ดผนึกห้าภาพจะรับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งพรรค์นี้ได้หรือไม่ก็พูดได้ยากทีเดียว”
เซี่ยจิ้งจือก็สำแดงเคล็ดกระบี่ออกมาเช่นกัน วิถีกระบี่ของนางเย็นเยียบนุ่มนวล แต่ก็ยังคงสามารถต้านทานความบ้าคลั่งของฝานอีเชียนเอาไว้ได้
ทว่าผู้ที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจที่สุดก็คือ ‘แม่ทัพเซวียน’ คนนั้น
“ปังๆๆ”
รอบกายแม่ทัพเซวียนมีรัศมีสีม่วงแผ่ออกมา รัศมีสีม่วงนั้นแผ่กำจายไปทั่วทั้งเวทีการต่อสู้ ก่อนจะปกคลุมเซี่ยจิ้งจือและฝานอีเชียนเอาไว้ ตัวแม่ทัพเซวียนเองกุมค้อนใหญ่อันหนึ่งเอาไว้แล้วลงมือกับ ‘ฝานอีเชียน’ ตามอำเภอใจ
ค้อนใหญ่และพลองสำริด
ค้อนใหญ่เหมือนจะพลิ้วไหวตามอำเภอใจ แต่แม่ทัพเซวียนกลับไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถต้านรับพลองยาวนั้นเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป รัศมีสีม่วงก็รัดรึงพันธนาการอย่างไม่ขาดสาย ฝานอีเชียนราวกับตกอยู่ในโคลนตม แม้จะคำรามด้วยความโมโห แต่พลังที่สำแดงออกมากลับไม่ลดลงเลย ท้ายที่สุดเพียงค้อนเดียวของแม่ทัพเซวียน
“ปัง” ก็กระแทกเอาฝานอีเชียนซึ่งพลังลดฮวบลงกระเด็นหวือออกไปนอกขอบเขตของเวทีการต่อสู้
แม่ทัพเซวียนหันมองไปทางเซี่ยจิ้งจือ
การฝึกกายของเซี่ยจิ้งจือเองนั้นค่อนข้างอ่อนแอ ภายใต้การพันธนาการของรัศมีสีม่วงที่หนักขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าแม้แต่ยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งก็สามารถเอาชนะนางได้แล้ว แม่ทัพเซวียนเพียงแต่สาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งแล้วทุบค้อนลงไปอย่างสบายๆ เซี่ยจิ้งจือก็กระเด็นหวือไป
“บริเวณของเขา เมื่อสำแดงออกมาก็มีอานุภาพชั้นที่สิบระดับยอด นอกจากนี้ยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา อย่างน้อยเมื่อถึงตอนที่สงครามยุติ ก็ยังมองขีดจำกัดความแข็งแกร่งของบริเวณของเขาไม่ออก “ที่แท้แล้วนี่มันเคล็ดวิชาอันใดกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบรำพึงออกมา ด้วยสิ่งที่เขาพบเห็นมา ก็ยังแยกแยะไม่ออกว่านี่คือเคล็ดวิชาอันใด แต่เห็นได้ชักว่าร้ายกาจเป็นอย่างมาก
……
กลุ่มที่สี่ แม่ทัพเซวียนชนะ ในที่สุดสกุลชางก็เอาชนะได้กลุ่มหนึ่ง
กลุ่มที่ห้า…
“อา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูสตรีอาภรณ์เขียวซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียวบนเวทีการต่อสู้ทรงกลม
“ฝานโม่จู๋หรือ นางชนะแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ฝานโม่จู๋เอาชนะกลุ่มนี้ได้ ก็เพราะคู่ต่อสู้ทั้งสองคนอ่อนแอ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พลังของฝานโม่จู๋แข็งแกร่งอย่างยิ่ง “ฝานซานหยวน ฝานโม่จู๋และฝานอีเชียน…พลังของพวกเขาทั้งสามน่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน ความแตกต่างนั้นไม่มากนัก ฝานอีเชียนบ้าคลั่งและเหิมเกริมกว่า ส่วนฝานซานหยวนนั้นสมดุลกว่า ฝานโม่จู๋…วิถีกระบี่ร้ายกาจนัก รู้สึกว่าสามารถกดดันเซี่ยอูหัวโดยตรงได้เลยทีเดียว”
ยามนี้ทั้งโถงตำหนักกลับวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
เนื่องจากรอบที่สองสิ้นสุดลงแล้ว ในห้ากลุ่มนั้น สกุลเซี่ยชนะไปสองกลุ่ม สกุลฝานก็ชนะไปสองกลุ่ม ส่วนสกุลชางชนะไปหนึ่งกลุ่ม
“ฮ่าฮ่า สกุลเซี่ยและสกุลฝานชนะคนละสองกลุ่ม สกุลชางชนะหนึ่งกลุ่ม บัดนี้สกุลเซี่ยสะสมหม้อขาหยั่งทองได้ห้าใบแล้ว สกุลฝานสะสมหม้อขาหยั่งทองได้สี่ใบ สกุลชางสะสมหม้อขาหยั่งทองได้สองใบ” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดเสียงดังกังวาน
หม้อขาหยั่งทองสองใบของสกุลชาง ล้วนแต่เป็นแม่ทัพเซวียนที่ได้ไป!
สกุลฝาน ก็เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ได้ไปกว่าครึ่ง
สกุลเซี่ย…พลังโดยรวมแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
“พักชั่วคราวก่อน เมื่อทุกท่านฟื้นคืนพลังแล้วก็สามารถเริ่มรอบที่สามซึ่งเป็นรอบสุดท้ายได้” มหาเคารพเฟิงเฉินกล่าว ในการห้ำหั่นเมื่อครู่ หลายคนบาดเจ็บสาหัส หรือไม่พลังจิตก็ถูกเผาผลาญมากเกินไป จึงต้องใช้เวลาฟื้นฟูกลับมา
******
บนตำหนักใหญ่
จักรพรรดิเซี่ยหัวเราะร่าพลางมองไปทางบรรพชนฝาน “พี่ฝาน ตามกฎของสงครามสามตระกูลใหญ่ รอบที่สามก็จะให้เด็กๆ ทั้งหลายอาศัยวิธีการของตนเองแล้ว คนสกุลเซี่ยเรารุ่นนี้ไม่ได้มีแค่เซี่ยฝ่าหยางและเซี่ยอูหัวแค่สองคนเท่านั้นที่ร้ายกาจ ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มเฉิงหย่วนผู้นี้ฝึกเพลงมหาวิถีได้สำเร็จแล้ว แม้จะกล่าวว่าอิงซานเสวี่ยอิงยอดฝีมือของสกุลฝานของท่านและ ชางเซวียนแห่งสกุลชางล้วนแต่ร้ายกาจมาก แต่พวกเขาก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น! ส่วนทางสกุลเซี่ยของข้ามีถึงสามคนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงตอนนั้นผลสำเร็จก็สั่งสมเพิ่มพูนขึ้นไป บวกกับสองรอบก่อนหน้านี้เดิมทีสกุลเซี่ยของข้าก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว เกรงว่าคงจะมีโอกาสถึงแปดเก้าส่วนในสิบส่วนที่สกุลเซี่ยของข้าจะคว้าชัย”
ด้วยท่าทีนอบน้อมของจักรพรรดิเซี่ย แม้จะบอกว่าแปดเก้าส่วน แต่อันที่จริงก็กล่าวได้ว่าแน่นอนแล้ว
“น้องฝาน สกุลฝานของเจ้าพ่ายแพ้ต่อเนื่องกันถึงห้าครั้ง ครั้งที่หกก็กำลังจะแพ้อีกแล้ว” จักรพรรดิชางหัวเราะฮ่าฮ่า
“เฮอะ หกครั้ง…ครั้งนี้สกุลเซี่ยมีคนที่ร้ายกาจถึงสามคนด้วยกัน แข็งแกร่งกว่าห้าครั้งก่อนหน้านี้เสียอีก”บรรพชนฝานก็ขมวดคิ้ว
เขามั่นใจในตัวอิงซานเสวี่ยอิงมาก
รู้สึกส่าหากต่อสู้ตัวต่อตัว ก็พอจะกำราบได้!
แต่ถึงอย่างไรก็เพียงคนเดียวเท่านั้น พวกฝานซานหยวนหลายคนก็นับได้ว่ายอดเยี่ยมพอ แต่เมื่อเทียบกับผู้ที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานอย่าง ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ และ ‘เซี่ยเฉิงหย่วน’ ก็ด้อยกว่าอยู่บ้าง
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แพ้ก็คือแพ้ แพ้หกครั้งต่อเนื่องกัน” จักรพรรดิเซี่ยยิ้มเจื่อน
พวกเขาก็มิได้สนใจว่าจะแพ้หรือชนะสักเท่าใดนัก
เพียงแต่ว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอย่างพวกเขา…เรื่องที่สามารถทำให้พวกเขาสนุกสนานได้ก็มีอยู่ไม่มากนัก  เมื่อทำให้สหายเก่าได้ ‘ทำลายสถิติ’ สักครั้ง ก็ทำให้จักรพรรดิเซี่ยและจักรพรรดิชางรู้สึกว่าน่าสนุกเป็นอันมาก
“อย่ารีบร้อนไป ยังไม่ทันถึงตอนสุดท้ายเลย!” บรรพชนฝานพูดเสียงเรียบ  เมื่อดูเผินๆ แล้วเขานิ่งสงบ แต่ในใจกลับเข้าใจรางๆ ว่าเกรงว่าสงครามสามตระกูลใหญ่ในครั้งนี้ไม่มีหวังแล้ว
……
ขณะพักผ่อนนั้น บนโถงตำหนักก็ยังจัดสุราชั้นเลิศให้ สุรานี้เมื่อดื่มลงไปแล้วก็หล่อเลี้ยงวิญญาณและบำรุงร่างกาย หนึ่งชั่วยามให้หลัง สภาพของแต่ละคนก็กลับสู่ขีดสุดแล้ว
“สงครามสามตระกูลใหญ่ดำเนินมาจนบัดนี้ ก็เหลือเพียงรอบสุดท้ายแล้ว” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดพลางยิ้มน้อยๆ “รอบแรกเป็นการประลองปณิธานดวงจิต รอบที่สองเป็นการประลองความสามารถโดยรวมในการอบรมศิษย์ของสามตระกูลใหญ่ แต่ข้าและผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ พลังจึงจะเป็นแก่นแท้! ผู้ที่แกร่งกล้าอย่างยิ่งคนหนึ่ง กวาดล้างทั้งกลุ่มก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยมาก ดังนั้นรอบสุดท้ายนี้จึงจะให้เหล่าขั้นอลวนของทั้งสามตระกูลนี้ทุ่มเทสุดกำลัง”
“ฟิ้ว”
มหาเคารพเฟิงเฉินโบกมือคราหนึ่ง
กลางโถงตำหนักมีโลกคูหาสวรรค์สิบห้าใบปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง “อีกสักครู่ พวกเจ้าทั้งสิบห้าคนจะเข้าไปในโลกคูหาสวรรค์คนละใบ ถึงตอนนั้นฝ่าบาทจักรพรรดิเซี่ยจะสำแดงวิธีการด้วยตนเอง เพื่อส่งศัตรูลงไปทีละระลอกๆ”
“หากทำให้ศัตรูระลอกแรกสลายไปได้ ก็จะได้รับหม้อขาหยั่งทองใบหนึ่ง โจมตีให้ศัตรูระลอกที่สองสลายไปได้ ก็จะได้รับหม้อขาหยั่งทองสองใบ…ไล่เรียงกันลงไป หากโจมตีให้ศัตรูระลอกที่เก้าสลายไปได้ ก็จะได้รับหม้อขาหยั่งทองเก้าใบ!” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดยิ้มๆ “ศิษย์ที่ทั้งสามตระกูลส่งมา สุดท้ายจะนำหม้อขาหยั่งทองที่ได้มารวมกันทั้งหมด ทั้งสามรอบก็รวมกันหมด ผู้ที่ได้จำนวนมากที่สุดก็จะคว้าชัยตามลำดับ”
“ข้าจำได้ว่าสงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งก่อน ผู้ที่สามารถเอาชนะศัตรูระลอกแรกได้ก็มีเพียงหกคนเท่านั้นกระมัง ผู้ที่เอาชนะศัตรูระลอกที่สองได้มีแค่สองคนเท่านั้น” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดยิ้มๆ
บรรดาศิษย์ของสกุลเซี่ย สกุลฝานและสกุลชาง ส่วนมากก็รู้อยู่ก่อนแล้ว
การทดสอบสุดท้ายนั้นยากยิ่งนัก
ผู้ที่ถูกคัดเลือกให้มาเข้าร่วมสงครามสามตระกูลใหญ่ก็ร้ายกาจพอแล้ว แต่ส่วนใหญ่ล้วนเอาชนะไม่ได้แม้แต่ระลอกแรก! ส่วนระลอกที่สองน่ะหรือ สงครามสามตระกูลใหญ่ส่วนใหญ่นั้น ผู้ที่ร้ายกาจที่สุดก็ยังโจมตีได้เพียงศัตรูระลอกที่สองเท่านั้น!
ส่วนที่มหาเคารพเฟิงเฉินพูดว่า ‘โจมตีให้ศัตรูระลอกที่เก้าสลายไปได้’ น่ะหรือ
ในประวัติศาสตร์ยังไม่เคยมีมาก่อน!
สงครามสามตระกูลใหญ่ดำเนินมาตลอดคืนวันอันยาวนานจนถึงบัดนี้ ผู้ที่เก่งกาจที่สุดก็โจมตีศัตรูให้สลายไปได้เพียงสี่ระลอกเท่านั้น!
“สู้สุดชีวิตเถิด พวกเจ้าทั้งห้าคนล้วนต้องสู้ให้เต็มที่” จ้าวขุยเฉินถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน “อย่างน้อยพวกเจ้าอีกสี่คนอย่างน้อยก็ต้องเอาชนะศัตรูระลอกแรกให้ได้ ส่วนเค่อชิงระดับบนหิมะเหิน…หวังว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะศัตรูได้สามระลอก!”
ฝานอีเชียน ฝานซานหยวนและอ๋องส้าหลงต่างก็เคร่งงขรึมขั้นมา
จวบจนบัดนี้ พวกเขาทั้งสามก็ยังไม่สามารถช่วงชิงหม้อขาหยั่งทองมาให้สกุลฝานได้เลยแม้แต่ใบเดียว พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่หยิ่งผยองอย่างยิ่ง แน่นอนว่าภายในใจก็มีโทสะเต็มอก
“ข้ากำแหงไปทั่วเผ่าทุ่งน้ำแข็ง หรือว่าเมื่อมาถึงรัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว การประลองทั้งสามรอบจะแพ้ทุกครั้งไป ไม่หรอก!” อ๋องส้าหลงไม่ยอมจำนนเป็นอันมาก ฝานซานหยวนและฝานอีเชียนก็มีแววสงครามพลุ่งพล่าน ฝานโม่จู๋เงียบงัน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ
“เอาล่ะ เจ้าและคนอื่นๆ เข้าไปในโลกคูหาสวรรค์เถิด” มหาเคารพเฟิงเฉินประกาศเสียงดังกังวาน
โดยพร้อมเพรียงกัน
ขั้นอลวนทั้งสิบห้าคนยืดกายขึ้น สกุลเซี่ยอยู่ตรงกลาง สกุลฝานและสกุลชางขนาบสองข้างโดยไม่แก่งแย่งกัน ขั้นอลวนทั้งสิบห้าคนต่างก็ตรงเข้าไปในโลกคูหาสวรรค์ของแต่ละคน!
 …………………………………..

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด