Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 77 เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน

อ่านนิยายจีนเรื่อง Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 77 เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

บุรุษผู้องอาจมีเปลวเพลิงสีแดงโลหิตแผ่ออกจากผิวกาย ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงจำได้ทันทีที่มองแวบแรกเป็นธรรมดา เขาก็คือ ‘จ้าวขุยเฉิน’ เทพจักรวาลคนหนึ่งของสกุลฝาน ซึ่งเป็นแขนซ้ายแขนขวาของมหาเคารพซือเทียน ผู้มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง สามารถเทียบเคียงได้กับประมุขรัฐประกายเพลิงและประมุขรัฐวอเฟิงได้เลยทีเดียว
“ฟึ่บๆๆ…” แม้เขาจะยืนอยู่ตรงนั้นแต่กลับยืนอยู่กลางอากาศ เปลวเพลิงสีแดงโลหิตใต้เท้าทำเอาหินต่างๆ รอบด้านกลายเป็นความว่างเปล่าไปหมดแล้ว เหนือผิวของก้อนหินโดยรอบกลายเป้นความว่างเปล่าไปหมด
นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งของเขากวาดผ่านคนทั้งห้าตรงหน้า แม้แต่ยอดฝีมือขั้นอลวนทั้งสามของสกุลฝาน ยามนี้ก็ยังเชื่อฟังเป็นอันมาก
“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน เค่อชิงส้าหลง” จ้าวขุยเฉินกล่าว “แม้พวกเจ้าทั้งสองจะถูกเลือกมา แต่ภายในสกุลฝานตระกูลของพวกเราก็มีหลายคนที่ไม่ยินยอม ดังนั้นจึงต้องทดสอบทั้งสองคนอย่างง่ายๆ เสียหน่อย…หากผ่านไปได้ ก็ย่อมเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ต่อไปได้ ถ้าแม้แต่ศิษย์ที่ถูกขับออกไปก็ยังสู้ไม่ได้แล้ว ก็ย่อมต้องเสียโอกาสเข้าร่วมไป พวกเจ้าสองคนไม่มีความเห็นใช่หรือไม่”
“ไม่มี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก
ส้าหลงกลับสะดุ้งคราหนึ่ง เขาอดมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “ไม่มีขอรับ”
ยามนี้
ขั้นอลวนผู้ไร้เทียมทานทั้งสามรวมทั้งอ๋องส้าหลง และยอดฝีมือคนอื่นๆ ของสกุลฝานอดมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ นัยน์ตาฉายแววแตกตื่นและไม่อยากจะเชื่อ และถึงขั้นไม่ยินยอมอยู่บ้าง!
เค่อชิงระดับบนหิมะเหินหรือ
“เขากลายเป็นเค่อชิงระดับบนแล้วหรือนี่”
“ขั้นอลวนเช่นเขาคนหนึ่งก็สามารถเป็นเค่อชิงระดับบนได้อย่างนั้นหรือ”
ก่อนหน้านี้ก็มีผู้ทราบเรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เป็นเค่อชิงระดับบนอยู่หลายคน แต่พวกฝานเทียนฉ่งก็มิกล้าปากเปราะแพร่งพรายไปทั่ว เพราะถึงอย่างไรการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ก็สำคัญเป็นอย่างมาก กฎของสกุลฝานนั้นเข้มงวดมาก ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของสกุลฝานทั้งสามคนนี้เพิ่งจะได้รู้เป็นครั้งแรกว่า อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นถึงเค่อชิงระดับบน
“ข้าเป็นเพียงเค่อชิงเท่านั้น แต่เขาเป็นเค่อชิงระดับบนเชียวหรือ” ขณะนี้ผู้ที่หยิ่งผยองอย่างอ๋องส้าหลงก็อดไม่ยินยอมในใจมิได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เกรียงไกรในเผ่าต่างๆ ของทุ่งน้ำแข็ง ในบรรดาขั้นอลวนนั้นไร้ศัตรูอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังเอาชนะเทพจักรวาลได้หลายคน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถหนีพ้นจากเงื้อมมือของเขาได้
“ในเมื่อไม่มีความเห็น ก็ตามข้ามาเถิด” จ้าวขุยเฉินพูดเสียงเรียบ
ฟิ้ว
เปลวเพลิงลุกโชนระลอกหนึ่งเข้าห่อหุ้มพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้าคนเอาไว้ จ้าวขุยเฉินพาพวกเขาข้ามท้องฟ้าไป เพียงเคลื่อนที่ในพริบตาครั้งเดียว ก็มาถึงสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งของคีรีมารสกุลฝาน
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนแปรไป ก็มาถึงสถานที่อีกแห่งของคีรีมารสกุลฝานแล้ว ด้านหน้าคือทะเลสาบขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง รอบทะเลสาบมีทุ่งหญ้าสีแดงโลหิตผืนใหญ่ ยามนี้บนผืนหญ้าสีแดงโลหิตมียอดฝีมือขั้นอลวนสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งคือบุรุษเกราะขาวราวหิมะ ‘ฝานเทียนอวิ๋น’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยพบมาก่อนแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งคือบุรุษผู้เงียบงันที่สวมเสื้อกันลมสีดำ เขาเงียบงัน แต่กลับประหนึ่งภูเขาไฟแห่งหนึ่งซึ่งจวนจะปะทุออกมาอย่างไรอย่างนั้น ให้ความรู้สึกกดดันอันไร้ที่สิ้นสุดแก่ผู้อื่น
สวบๆๆๆๆ!!!!!
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้าคนร่อนลงไป ฝานเทียนอวิ๋และชายในชุดคลุมกันลมสีดำพากันมองไปทางคนทั้งห้า
“กึ้กๆๆๆ…”
ในทะเลสาบอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า มีดวงตามหึมาคู่หนึ่งมองผ่านน้ำในทะเลสาบมาสู่โลกภายนอก
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็สั่นสะท้านทั้งที่ไม่ได้หนาวเหน็บ
อันตราย!
อันตราย!
ดวงตามหึมาใต้ทะเลสาบแห่งนี้นำมาซึ่งแรงคุกคาม รู้สึกว่าคงจะบีบคั้น ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยพบได้โดยตรง ต่อให้สู้ไม่ได้ ก็คงไม่แตกต่างกันมากสักเท่าใดนัก
“เป็นสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกับท่านอาจารย์ของข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยงพึมพำ
“ท่านมหาเคารพ”
จ้าวขุยเฉินทำความเคารพ “ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านมหาเคารพแล้ว ลองดูความแข็งแกร่งของพลังของคนเหล่านี้หน่อยเถิด”
“ฟิ้ว”
ทันใดนั้นเหนือผิวทะเลสาบก็มีบุรุษชุดดำผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เขาเอ่ยปากเสียงเรียบว่า “สกุลฝานเราพ่ายแพ้ห้าครั้งต่อเนื่องกันแล้ว สกุลเซี่ยชนะสามครั้งก็แล้วไปเถิด แม้แต่สกุลชางก็ยังชนะถึงสองครั้ง สู้ไม่ได้แม้แต่สกุลชาง คนรุ่นพวกเจ้านี่ช่างน่าขายหน้าเสียจริง”
ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของสกุลฝานในที่นั้นต่างก็เผยสีหน้าละอายใจออกมา
“ในประวัติศาสตร์ สกุลฝานเราไม่เคยพ่ายแพ้เกินหกครั้งต่อเนื่องกัน หากแพ้อีกก็ขายหน้าเกินไปแล้ว นอกจากนี้พวกเราสกุลฝานก็มิได้เข้าไปใน ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ ที่หยวนทิ้งเอาไว้ถึงห้าครั้งจนนายท่านโมโหแล้ว” บุรุษชุดดำมองคนรุ่นเยาว์ด้วยสายตาเย็นเยียบ “ครั้งนี้ต้องชนะให้จงได้! เอาล่ะ นี่คือร่างแปรของข้า พวกเจ้าลงมือโจมตีเพื่อทำลายร่างแปรของข้าเสีย ร่างแปรร่างใหม่ของข้าจะมีพลังเพิ่มพูนขึ้น จนกระทั่งพวกเจ้ามิอาจทำลายข้าได้อีก ยิ่งจำนวนครั้งที่พวกเจ้าทำลายข้าได้มีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าพลังของพวกเจ้าแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น”
“ฝานเทียนอวิ๋น ฝานเลี่ยหั่ว ในเมื่อพวกเจ้าสองคนไม่ยินยอม ก็มาก่อนเสียเถอะ”
บุรุษชุดดำพูดเสียงเรียบ
บุรุษเกราะขาวราวหิมะฝานเทียนอวิ๋นและบุรุษชุดคลุมกันลมสีดำสบตากันแวบหนึ่ง
“ข้าก่อน” ฝานเทียนอวิ๋นกล่าว
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูอยู่ข้างๆ ในใจกลับมีคลื่นมหึมาเทียมฟ้าก่อนตัวขึ้นมา “หยวนหรือ ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมหรือ”
เขาพอจะฟังออกแล้วว่า
ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ผู้แกร่งกล้าจึงจะสามารถเข้าไปใน ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ ที่หยวนทิ้งเอาไว้ได้ ด้วยสถานะของตงป๋อเสวี่ยอิง จึงไม่เคยได้ยินเรื่องตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมมาก่อน
“ที่แท้แล้วก็เกี่ยวข้องกับหยวนนี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ตนกลับชาติมาจุติโดยอาศัย ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ ที่หยวนทิ้งเอาไว้
อย่างวังปฐมเทพแห่งต่างๆ ในดินแดนจิตโลกาซึ่งสามารถตัดสินพลังของผู้บำเพ็ญได้ ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าสถานะของ ‘หยวน’ ดินแดนจิตโลกานั้นเหนือธรรมดา นี่คือสิ่งมีชีวิตที่เร้นลับและน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมากคนหนึ่ง
……
“ตู้ม ตู้ม ตู้ม”
ฝานเทียนอวิ๋นและบุรุษชุดดำผู้นั้นประมือกัน
บุรุษชุดดำเป็นเพียงร่างแปรของมหาเคารพผู้เร้นลับที่ก้นทะเลสาบเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า ‘นายท่านโมโหแล้ว’ ก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็น ‘สัตว์กลืนเมฆา’ พาหนะที่บรรพชนฝานนำติดตัวไปด้วยขณะท่องไปในดินแดนจิตโลกาเพื่อรับรู้และบำเพ็ญขณะที่พลังยังค่อนข้างอ่อนแออยู่ จวบจนบัดนี้ บรรพชนฝานออกไปเคลื่อนไหว ก็มิได้นำพาหนะไปด้วยอีกต่อไปแล้ว
สัตว์กลืนเมฆาในตอนนั้น ก็ได้กลายเป็นมหาเคารพท่านหนึ่งของสกุลฝานไปแล้ว
“ฟิ้ว” ร่างกายของบุรุษชุดดำถูกขวานเล่มใหญ่ฟันเสียจนสลายไป จากนั้นเหนือผิวทะเลสาบก็รวมตัวกันขึ้นอีกครั้งเป็นร่างแปรร่างใหม่
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…
พลังที่ฝานเทียนอวิ๋นเผยออกมาทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไป อีกฝ่ายใช้ขวานคู่หนึ่ง ขณะต่อสู้นั้นร้ายกาจและเหิมเกริมกว่ายุทธวิธีเมฆาแดงเสียอีก นอกจากนี้ร่างกายของฝานเทียนอวิ๋นยังน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งด้วย ขณะต่อสู้ เหนือผิวกายมีกลิ่นอายสีดำพวยพุ่ง เมื่อร่างแปรแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พลังที่ฝานเทียนอวิ๋นเผยออกมาก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจออกมา อานุภาพระดับนี้นับว่าเป็นชั้นที่สิบระดับยอดสุดอย่างแท้จริง
“ก็ไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนศาสตร์ลับอันใด จึงแข็งแกร่งกว่ายุทธวิธีเมฆาแดง การต่อสู้ประชิดตัวของข้าเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้อง ช่วยไม่ได้ เคล็ดสืบทอดลับที่ใช้ขวานซึ่งร้ายกาจของสกุลฝานนั้นมีอยู่หลายวิชาด้วยกัน แม้แต่ ‘สกุลเซี่ย’ และ ‘สกุลชาง’ ก็ยังมีเคล็ดสืบทอดลับที่ใช้ขวานเช่นเดียวกัน แม้สามตระกูลใหญ่จะต่อสู้กัน แต่หากทุ่มเททรัพย์สินมากพอ ก็สามารถศึกษาเคล็ดสืบทอดลับต่างๆ ของตระกูลอื่นได้
“ปัง”
ฝานเทียนอวิ๋นถูกโจมตีเสียจนกระเด็นลอยไป เขาหยุดลงแล้วพูดด้วยความเคารพว่า “ท่านมหาเคารพ ข้าพยายามสุดกำลังแล้วขอรับ”
“อื้ม หกครั้ง” บุรุษชุดดำพยักหน้าพลางมองไปทางบุรุษชุดคลุมกันลมสีดำ “ตาเจ้าแล้ว”
“ขอรับ”
ฝานเลี่ยหั่วสาวเท้าเข้าไป ชุดคลุมกันลมสีดำปลิวไสว สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งดังเดิม
ฟิ้ว
ประกายดาบอันลึกล้ำซึ่งแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอันไร้ที่สิ้นสุดพลันฟันลงบนร่างของบุรุษชุดดำ เพียงดาบเดียวก็ทำเอาร่างนั้นสลายไป บุรุษชุดดำรวมตัวกันเป็นร่างแปรร่างใหม่อีกครา
หนึ่งดาบ! สลาย!
หนึ่งดาบ! สลาย!
ดาบของฝานเลี่ยหั่วแฝงเอาไว้ด้วยความตายและความโหดเหี้ยม แค่ได้เห็นก็ทำให้ม่านตาของตงป๋อเสวี่ยอิงหรี่ลงเล็กน้อย แม้สกุลฝานจะมีเคล็ดสืบทอดลับอันแข็งแกร่ง แต่ยิ่งเป็นเคล็ดสืบทอดลับที่ร้ายกาจเท่าใด ความยากในการฝึกฝนก็ยิ่งสูงส่งขึ้นเท่านั้น! ข้อดีเพียงข้อเดียวของขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้…ก็คือสามารถมอบเคล็ดสืบทอดลับที่เหมาะสมที่สุดให้ตามความเชี่ยวชาญของผู้บำเพ็ญแต่ละคนได้ และพยายามทำให้ความสามารถที่ซ่อนอยู่ของพวกเขารุ่งโรจน์ขึ้นมาได้มากที่สุด
กล่าวได้ว่า ‘ฝานเทียนอวิ๋น’ มีเคล็ดลับการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง อย่างยุทธวิธีเมฆาแดงนั้นเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ประชิดตัว วิถีขวานของฝานเทียนอวิ๋นกลับสูงส่งกว่าในด้านการต่อสู้ประชิดตัว
ส่วนฝานเลี่ยหั่วกลับใช้กระบวนท่าเดียวสยบฟ้า เพียงดาบเดียวเท่านั้น!
หลังจากเอาชนะได้ห้าครั้งต่อเนื่องกัน ครั้งที่หกฝานเลี่ยหั่วก็ต้องใช้สองดาบต่อเนื่องกันจึงทำสำเร็จ ครั้งที่เจ็ดฝานเลี่ยหั่วได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องใช้สิบสามดาบต่อเนื่องกันจึงสำเร็จ
“ฟึ่บ” ร่างของฝานเลี่ยหั่วได้รับบาดเจ็บสาหัสจนล้มลงกับพื้น เขาตะเกียกตะกายขึ้นมา อาการบาดเจ็บฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เขาพูดเสียงต่ำว่า “ท่านมหาเคารพ ข้าทำเต็มที่แล้วขอรับ”
ฝานเทียนอวิ๋นเห็นเข้าสีหน้าก็ไม่น่ามองขึ้นมา
ฝานเลี่ยหั่ว…ทำได้มากกว่าเขาครั้งหนึ่ง
“ต่อไปก็เป็นพวกเจ้าสองคนแล้ว” บุรุษชุดดำมองไปทางผู้มาจากภายนอกสองคนที่ถูกเลือกมาในครั้งนี้
“เค่อชิงระดับบนไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไป ข้าก่อนก็แล้วกัน” อ๋องส้าหลงยิ้มน้อยๆ ให้ตงป๋อเสวี่ยอิง สายตาของเหล่าศิษย์หัวแก้วหัวแหวนในที่นั้นที่มองมายังตงป๋อเสวี่ยอิงออกจะพิเศษอยู่บ้าง เค่อชิงระดับบนเชียวนะ! ที่แท้แล้วขั้นอลวนผู้นี้อาศัยอะไรกันแน่จึงได้เป็นเค่อชิงระดับบน
อ๋องส้าหลงมิได้ใช้อาวุธอะไรเลย หากแต่ต่อสู่ประชิดตัวด้วยมือเปล่า
เผ่าทุ่งน้ำแข็ง…
อยู่ในขอบเขตอำนาจของรัฐโบราณหิมะน้ำแข็ง บรรพชนทั้งสามของรัฐโบราณหิมะน้ำแข็งแต่ละท่านล้วนฝึกกายจนบรรลุถึงขั้นไร้ศัตรู ดังนั้นหากพูดถึงเรื่องการ ‘ฝึกกาย’ รัฐโบราณหิมะน้ำแข็งนั้นน่าหวาดหวั่นและเย้ยฟ้าที่สุด ส่วน ‘เผ่าทุ่งน้ำแข็ง’ ในฐานะที่ขอบเขตอำนาจของรัฐนี้ปกคลุมอยู่ เคล็ดวิชาฝึกกายที่นั่นจึงเยี่ยมยอดอย่างยิ่ง อ๋องส้าหลงก็ได้พบโอกาสพิเศษ การฝึกกายของเขาจึงน่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา
แน่นอนว่าแม้เผ่าทุ่งน้ำแข็งจะอยู่ในขอบเขตอำนาจของรัฐโบราณหิมะน้ำแข็ง แต่สกุลฝานก็ยังคงสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ เห็นได้ชัดว่าอ๋องส้าหลงเลือกสวามิภักดิ์ต่อสกุลฝานและกลายเป็นเค่อชิง ก็เพราะเคล็ดวิชาของรัฐโบราณหิมะน้ำแข็งนั้นจำเจเกินไปแล้ว เคล็ดวิชาฝึกกายจำนวนนับไม่ถ้วนแข็งแกร่งเย้ยฟ้า แต่ทางสายอื่นๆ ก็อ่อนแอ อย่าง ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ นั้นรอบด้านกว่า มีสิ่งที่เขาต้องการ
“ตู้ม ตู้ม ตู้มมม…”
เขาใช้การต่อสู้ประชิดตัวทำลายร่างแปรอาภรณ์ดำหกครั้งต่อเนื่องกัน มาถึงครั้งที่เจ็ดก็ยากลำบากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ครั้งนี้เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นดังกังวานไปทั่ว คลื่นเสียงจากเสียงหัวเราะนั้นโจมตีร่างแปรอาภรณ์ดำอย่างน่าประหลาด ทำเอาพลังของร่างแปรอาภรณ์ดำได้รับผลกระทบ และโจมตีจนร่างแปรสลายไปเป็นครั้งที่เจ็ดทันที สุดท้ายจึงเอาชนะร่างแปรได้อีกเป็นครั้งที่แปด
อ๋องส้าหลงจึงหยุดมือลง
ฝานเทียนอวิ๋นและฝานเลี่ยหั่วต่างก็เงียบงันราวกับเป็นใบ้ แปดครั้ง! มิน่าเล่าสกุลฝานจึงเชื้อเชิญผู้มาจากภายนอกมา
“ตาเจ้าแล้ว” สายตาของบุรุษชุดดำตกต้องลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู๋ไกลออกไป ทันใดนั้นอ๋องส้าหลง ฝานเลี่ยหั่วและฝานเทียนอวิ๋นรวมทั้งศิษย์หัวแก้วหัวแหวนอีกสามคนต่างก็มองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิง แม้แต่จ้าวขุยเฉินก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยเช่นกัน
เป็นขั้นอลวนที่จัดเป็นเค่อชิงระดับบน…
ที่แท้แล้วอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้มีพลังเช่นไรหนอ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวขึ้นไปข้างหน้า เดินไปถึงริมทะเลสาบ มองดูบุรุษชุดดำผู้ยืนอยู่เหนือผิวทะเลสาบ จากนั้นก็คารวะ “ท่านมหาเคารพ ข้าต้องล่วงเกินแล้ว”
…………………………..

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด