Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 35 เข้าสู่เจดีย์ดาวเป็นครั้งแรก

อ่านนิยายจีนเรื่อง Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 35 เข้าสู่เจดีย์ดาวเป็นครั้งแรก 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

เจดีย์ดาวอันสูงตระหง่าน ทางเข้าประตูเจดีย์มิได้มียามรักษาการณ์แต่อย่างใด และที่แห่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมียามรักษาการณ์ เพราะเทพอากาศคนใดของวังทวีสูญก็ล้วนมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปได้ทั้งสิ้น
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นลำแสง บินทะยานไปยังทางเข้าเจดีย์ดาว
“ดูสิ นั่นมิใช่ตงป๋อเสวี่ยอิงหรอกหรือ”
“เป็นศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิง เขา เขาบินเข้าไปในเจดีย์ดาวแล้วหรือ”
“เข้าไปในเจดีย์ดาวแล้วจริงๆ ด้วย!”
เหล่าศิษย์เทพแท้จำนวนหนึ่งที่บินสัญจรไปมาอยู่ภายในวังทวีสูญ มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปในเจดีย์ดาวจากที่ไกลๆ ทันใดนั้นต่างก็ตื่นตระหนกไปเสียแล้ว เพราะการกดดันของโลกทิพย์ ระยะทางไกลสักหน่อย พวกเขาก็ยากจะตรวจหากลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ข้อกำหนดในการเข้าสู่เจดีย์ดาวคือจะต้องไปถึงระดับขั้นเทพอากาศแล้วเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่มิอาจฝ่าฝืนได้
“เขาเป็นเทพอากาศแล้วหรือ” ศิษย์เทพแท้จำนวนมากต่างก็จนคำพูดอยู่บ้าง เขาผู้นี้เพิ่งจะมาถึงยังวังทวีสูญ เพิ่งเคยเข้าร่วมการประลองของศิษย์เทพแท้ก็เหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศแล้วหรือ แต่ศิษย์จำนวนมากก็ยังมีความยินดีอยู่บ้าง เพราะเมื่อมีศิษย์อาภรณ์ทองได้กลายเป็นเทพอากาศ  พวกเขาก็มีความหวังที่จะได้เข้าเป็นสิบอันดับแรกมากยิ่งขึ้นในการประลองของศิษย์เทพแท้ครั้งต่อไป
ถ้ามีแปดคนสิบคนพากันบรรลุให้หมดในชั่วครู่เดียวก็จะเป็นการดีที่สุด! แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ‘วิถีความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
******
“ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินบินเข้าไปในประตูเจดีย์ของเจดีย์ดาว ประตูเจดีย์เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลา ลึกล้ำยากคาดคะเน
ยามที่บินเข้าไปก็รู้สึกถึงเพียงมิติบริเวณรอบๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า บินอยู่ชั่วขณะหนึ่งจึงเห็นแผ่นดินอันรกร้างว่างเปล่ากว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง
“นั่นมันอะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นยอดเขาที่ค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนแผ่นดินรกร้างว่างเปล่า ด้านหนึ่งของยอดเขาถูกตัดจนเรียบเตียนโล่ง ด้านบนมีตัวอักษรอันแปลกประหลาดอยู่สามคำ ความหมายที่แฝงอยู่ในตัวอักษรก็ยังทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้ขึ้นมาในทันใด ก็คือ ‘เจดีย์ดาว’ สามคำนี้นั่นเอง
บริเวณขอบของกำแพงภูเขายังมีรูปสลักอยู่ด้วย นั่นคือรูปสลักมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ เขาดูเหมือนจะตัวเล็กผอมบางอยู่บ้าง ชุดเกราะก็เป็นเกราะชั้นในที่พอดีตัว เขากำลังมอง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ที่อยู่ด้านนอกอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
ปัง…
ชั่วขณะที่ประสานสายตากับรูปสลักนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกถึงความสะพรึงกลัวในใจขึ้นทันที
ถึงแม้ว่ายามที่ได้เห็นบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ก็รู้สึกถึงความกดดันอันมหาศาลไร้ขอบเขต แต่อย่างน้อยบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ก็มิได้มีความเป็นศัตรูต่อเขา ความรู้สึกกดดันเช่นนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดจากความแตกต่างอันใหญ่หลวงของระดับขั้นชีวิตเท่านั้น
ทว่าในขณะนี้!
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสั่นสะท้าน สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ รูปสลักมีชีวิตบนกำแพงหินนั้นคล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา กลิ่นอายอันไร้รูปร่างทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นฉากอันน่าสะพรึงกลัว…
นี่คือสิ่งมีชีวิตร่างผอมเล็กที่สวมเสื้อแขนยาวอแนบลำตัว ศีรษะล้านเลี่ยนเป็นประกายมัน รอบด้านของมันมีผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่แน่นขนัด กลิ่นอายของบรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านั้นมีทั้งแข็งแกร่งทั้งอ่อนแอ แต่ที่อ่อนแอที่สุดต่างก็เป็นขั้นรวมเป็นเอกภาพ สองคนที่แกร่งกล้าที่สุดถึงขนาดที่แผ่กลิ่นอายของขั้นอลวนออกมา
“โฮก…” สิ่งมีชีวิตร่างผอมเล็กที่ร่างสูงเพียงราวๆ หนึ่งเมตรครึ่งคำรามเสียงต่ำอย่างดุร้ายเสียงหนึ่ง ร่างกายของมันแปรเปลี่ยนเป็นประกายสีดำกลุ่มหนึ่งในทันใดแล้วระเบิดออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง กวาดล้างไปทั่วทุกทิศโดยพลัน
ผู้บำเพ็ญทั้งหมดรวมถึงสิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสองท่านถูกประกายสีดำกวาดไปในทันใด แต่ละคนสูญสลายมลายไป ไม่เพียงแต่ร่างกายของพวกเขาเท่านั้นที่สูญสลาย แม้กระทั่งเกราะและอาวุธของพวกเขาต่างก็สูญสลายไปจนสิ้น
ประกายสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวเข้าด้วยกันในทันใดแล้วแปลงเป็นสิ่งมีชีวิตร่างผอมเล็กอีกครั้ง เขากวาดตามองบริเวณโดยรอบที่ว่างเปล่าไปแล้วอย่างเย็นชาดุจน้ำแข็ง ในแววตาไม่มีระลอกคลื่นแห่งอารมณ์เลยแม้แต่น้อย
แล้วฉากนี้ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว!
“นี่ นี่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรูปสลักมีชีวิตร่างผอมเล็กข้างๆ คำว่าเจดีย์ดาว สามพยางค์บนกำแพงภูเขา “ฉากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกสังหารหมู่เหล่านั้น รวมถึงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสองท่าน ความตื่นตระหนกของพวกเขาล้วนจริงแท้เป็นอย่างยิ่ง! คงจะมิใช่ของปลอมแน่”
เจดีย์ดาวนี้เป็นสิ่งที่เจ้าเมืองหลัวสร้างขึ้น เหลือข่าวคราวฉากนี้ทิ้งเอาไว้ เป็นข่าวปลอมฉากหนึ่งก็มิได้มีนัยสำคัญอันใด
“สิ่งมีชีวิตขั้นอลวนในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านแทบทุกคนล้วนมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ เพียงแค่เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างระมัดระวัง บางทีอาจจะสามารถหาตัวตนของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสองท่านที่ถูกสังหารไปนั้นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบคิด ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์กู่ฉีจะให้ข้อมูลกับเขาไว้แล้ว แต่นั่นล้วนเป็นข้อมูลของสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในฉากนี้ปรากฏภาพสองท่านที่ถูกเข่นฆ่า…ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งไม่มีรายละเอียดข้อมูล เป็นไปได้ว่าอาจตายไปในการต่อสู้แล้ว
“สิ่งมีชีวิตร่างผอมเล็กนี้ที่แท้คือผู้ใดกันแน่ หรือว่านี่ก็คือความลับใหญ่ที่ซ่อนเร้นเอาไว้ที่ท่านอาจารย์กู่ฉีพูดถึงกันหนอ”
“แต่ต้องผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวก่อนจึงจะรู้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่าหรือว่าตนเองยังอ่อนแอเกินไป ถึงแม้ว่าข้อมูลที่ท่านอาจารย์กู่ฉีบอกกล่าวจะมากพอดู แต่มีบางส่วนที่เป็นความลับมากเกินไปก็ยังไม่ได้พูดเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะทำลายระดับจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิง
อย่างเช่น ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ แห่งโลกทิพย์โบราณ ที่ดูเหมือนจะมีความแค้นกับสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดทุกคน! อย่างเช่นโลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดซึ่งต่อสู้กันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ในท้ายที่สุด และมีสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่เคยตกอับ…
ความลับต่างๆ นานา ล้วนมิใช่ผู้ที่มีระดับขั้นเช่นตนคู่ควรจะล่วงรู้
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปต่อ บินข้ามผ่านกำแพงภูเขาพลางมองดูแผ่นดินรกร้างว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
บนแผ่นดินรกร้างว่างเปล่า รัศมีสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมาจากพื้นดินแล้วรวมตัวกันเป็นเงาร่างอันลางเลือนสายหนึ่ง สุดท้ายก็รวมตัวกันโดยสมบูรณ์! นี่คือนักรบเกราะสีเทาร่างสูงราวๆ สามเมตรคนหนึ่ง บนเกราะบ่าของเขายังประดับด้วยชิ้นส่วนโค้งอันแปลกประหลาดชิ้นหนึ่ง ศีรษะที่มีผิวหนังสีฟ้าของเขาถลึงมองตงป๋อเสวี่ยอิง
“สังหารเขาเสีย แล้วก็จะได้ไปยังชั้นที่สอง” เสียงของวิญญาณอาวุธแห่งเจดีย์ดาวดังขึ้นข้างหูของตงป๋อเสวี่ยอิง
“การทดสอบหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจคู่ต่อสู้อย่างละเอียดแล้วอดที่จะสะดุ้งในใจมิได้
นักรบชุดเกราะสีเงินผู้นี้ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเย็นชา กลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมาโดดเด่นสะดุดตาไม่เข้ากันกับกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่อยู่บริเวณรอบๆ เหมือนกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิง ระบบลัทธิจอมมารดา ระบบศาสตร์โบราณ ระบบสายโลหิต หรือระบบอื่นๆ ต่างก็เข้ากันได้กับกฎเกณฑ์ที่สัญจรในห้วงฟ้าดิน
แต่นักรบชุดเกราะสีเงินตรงหน้านี้ กลิ่นอายของเขาถึงกับทำให้ห้วงอากาศโดยรอบบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย นั่นคือการที่กฎเกณฑ์ฟ้าดินได้รับการรบกวน
“หืม เป็นคู่ต่อสู้ของข้าในคราวนี้หรือ” นักรบชุดเกราะสีเงินก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นกัน พรสวรรค์ของเขาทำให้เขารับสัมผัสถึงกลิ่นอายของดวงวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ “อ่อนแอเสียจริง ก็แค่สวะไร้ค่าคนหนึ่ง!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจอยู่คู่หนึ่่งแล้วก็ลงมือ
เขามิได้สำแดงเคล็ดวิชาเช่นเขตแดนค่ายสังหาร เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นเทพอากาศแล้ว แต่สิ่งที่พึ่งพาได้ก็คือเชื้อสายผู้ท่องอากาศ เขามิได้ยกระดับทางด้านกฎเกณฑ์เลย ‘เขตแดนค่ายสังหาร’ ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างมากในการประลองของศิษย์เทพแท้ แต่การจัดการกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าผู้นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ลางๆ ว่านั่นเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์!
“มา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดคำนึง ฟึ่บๆๆ ข้างกายของนักรบชุดเกราะสีเงินที่อยู่บริเวณไกลๆ ผู้นั้นมีตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีดำสามคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ แต่ละคนกุมหอกยาว ทันใดนั้นก็สำแดงกระบวนสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีอยู่ในครอบครองตอนนี้ กระบี่ที่สองผลาญโลกา
“พรึ่บๆๆ…”
ทันใดนั้นเงาหอกแน่นขนัดก็กะพริบวาบ หอกยาวทุกเล่มต่างก็แทงออกมาอย่างต่อเนื่องแปดสิบเอ็ดครั้ง เงาหอกแปดสิบเอ็ดสายก่อตัวเป็นภาพค่ายกลขนาดมหึมารางๆ ค่ายกลหอกสามแห่งห่อหุ้มไปทางนักรบชุดเกราะสีเงินโดยตรง
นักรบชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้ภาพค่ายกลหอกทั้งสามโจมตีบนร่างกายเขา ชุดเกราะสีเทาของเขาเหลือจุดสีขาวเอาไว้จำนวนหนึ่ง
“ช่างอ่อนแอเสียจริง” นักรบชุดเกราะสีเงินเอ่ยปากพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี
สวบ
นักรบชุดเกราะสีเงินเคลื่อนไหวแล้ว เขาหายตัวไปจากที่นั่นในทันใดแล้วปรากฏตัวขึ้นข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง มือขวาของเขาพลันโบกออกมา บนแขนทั้งสองข้างของเขามีมีดโค้งสองเล่มปรากฏขึ้นในทันใด
มือขวาขยับโบก ฉับพลันนั้นใบมีดซึ่งแฝงเอาไว้ด้วยพลังทำลายล้างก็กวาดผ่านร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง
ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เลือนหายไป
แต่ก็ปรากฏขึ้นอีกที่บริเวณไกลออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงมองนักรบชุดเกราะสีเงินอย่างเคร่งขรึม “การเคลื่อนที่ในพริบตาหรือ”
ความกดดันของโลกทิพย์นั้นร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง
ขั้นกำเนิดอากาศโดยทั่วไปส่วนใหญ่ล้วนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้! ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็น ‘ผู้ท่องอากาศ’ ที่เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นกำเนิด จึงสามารถทำการเคลื่อนที่ในพริบตาได้ คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ก็จะสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้เช่นเดียวกัน
“เจ้าก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้เช่นกันหรือ” ชั่วขณะที่นักรบชุดเกราะสีเงินเหวี่ยงมีดก็ค้นพบแล้วว่าการโจมตีของเขาเป็นเพียงแค่เงาที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจดีว่าร่างกายของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเหลือเกิน การโจมตีของร่างแปรของตนย่อมมิอาจคุกคามอีกฝ่ายได้ ทันใดนั้นก็กุมหอกยาวสีม่วงเข้มเอาไว้ในมือแล้วเคลื่อนที่ในพริบตาแล้วไล่สังหารแบบประชิดตัว
พรึ่บๆๆ…
เงาร่างของนักรบชุดเกราะสีเงินและตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบไม่หยุดหย่อน บุกสังหารในระยะประชิดครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่อาวุธกระทบกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยพละกำลังของร่างกายก็เพียงแค่เป็นรองอยู่เล็กน้อย
“กลิ่นอายของวิญญาณที่รับสัมผัสได้ช่างอ่อนแอยิ่งนัก แต่ทว่าพลังยุทธ์กลับสามารถใกล้เคียงกับข้าได้ ผู้บำเพ็ญแห่งวังทวีสูญผู้นี้มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ข้ามระดับขั้นอย่างแท้จริง ”นักรบชุดเกราะสีเงินเอ่ยพึมพำ แววสังหารในใจทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น
………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด