Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 8

อ่านนิยายจีนเรื่อง Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 8 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างซึ่งถือหอกยาวสีดำเอาไว้ในมือข้างเดียว กำลังยืนอยู่บนยอดเสาหยวนเฉินพลางรอคอยอย่างเงียบเชียบ บนยอดเสาหยวนเฉินมีกระแสอากาศอันเยียบเย็นสายแล้วสายเล่าหมุนเวียนอยู่ นั่นคือระลอกคลื่นอันน้อยนิดซึ่งเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติจากการกระตุ้นค่ายกลเสาหยวนเฉินขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ กระแสอากาศพัดผ่านอาภรณ์ไป ก็ทำให้อาภรณ์เกิดเสียงดังพึ่บพั่บขึ้นมาแล้ว
เจ้าแม่กานเหอมีความร้อนรนใจอยู่รางๆ เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้นางก็เคยพยายามมาหลายครั้ง แต่นางก็มิอาจพิทักษ์เอาไว้ได้
ในทางตรงกันข้าม
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งซึ่งแฝงไว้ด้วยแววอาฆาตมองไปยังท้องฟ้าไกลออกไป รอคอยการมาถึงของศัตรู
“เจ้าเด็กนี่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง จึงไม่เคยสัมผัสถึงพลังระดับขั้นผู้ปกครองที่แท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ระหว่างสองจักรวาลเลย นั่นมิใช่การห้ำหั่นแบบตัวต่อตัว หากแต่เป็นผู้ปกครองจำนวนมากร่วมมือกันแล้วอาศัยสมบัติล้ำค่าโจมตี อานุภาพจึงน่าหวาดหวั่นขึ้นมากทีเดียว” เจ้าแม่กานเหอที่อยู่ไกลออกไปเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงสงบนิ่งกว่าตนเสียอีก จึงอดร่ำร้องขึ้นมามิได้ “ไร้ประสบการณ์ วันคืนในการบำเพ็ญสั้นนักก็สำเร็จเป็นผู้ปกครองเสียแล้ว คาดว่าคงจะมั่นใจในตนเองเกินไป อีกประเดี๋ยวเมื่อได้ต่อกรกัน เขาก็คงจะรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจแล้ว”
แม้หวังว่าฝ่ายตนจะคว้าชัย แต่เจ้าแม่กานเหอก็ยอมรับในพลังของลัทธิจอมมารดา!
“เอ๊ะ”
ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเป็นประกายขึ้นมา
ในฐานะที่สำเร็จเป็นผู้ปกครองของระบบผู้ท่องอากาศ ด้วยการสัมผัสรับรู้อากาศของเขา จึงพบระลอกคลื่นก่อนผู้ปกครองทั้งหมด เขามองออกไปไกลลิบ
“มาแล้ว” “พวกเขามาแล้ว” “ตงป๋อเสวี่ยอิงระวังด้วย พวกเขามาถึงแล้ว”
ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็พบเข้าแล้ว บางคนยังถึงขั้นถ่ายเสียงมาเตือนตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะตำแหน่งที่ลัทธิจอมมารดาปรากฏกายขึ้นในครั้งนี้อยู่ใกล้กับตงป๋อเสวี่ยอิงมากที่สุด…ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลัทธิจอมมารดาเลือกเสาหยวนเฉินต้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าแม่กานเหอเป็นผู้พิทักษ์เป็นเป้าหมายในการโจมตี! เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยลองโจมตีจุดอื่นมาก่อนแล้ว และมิอาจโจมตีให้แตกได้ แต่ที่นี่กลับเป็นจุดเดียวที่มีหวังจะโจมตีให้แตกพ่ายไปได้
“ฟิ้ววว…” ท่ามกลางความมืดมิดไกลออกไป มีระลอกอากาศวงแล้ววงเล่าโหมซัดขึ้นมา แล้วพัดออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ณ ใจกลางจุดกำเนิดของระลอกอากาศเหล่านี้ มีเรือรบอันเก่าแก่ซึ่งเต็มไปด้วยรากไม้อันแปลกพิสดารเลื้อยพันอยู่โดยรอบลำหนึ่งปรากฏขึ้นมา ความยาวของมันราวร้อยล้านลี้ ดวงดาราโดยทั่วไปเมื่อเทียบกับมันแล้วก็แค่เล็กกระจิริดเท่านั้น แน่นอนว่าในการต่อกรระดับผู้ปกครองนั้นมิอาจนับว่าใหญ่โตได้
ตู้มมม…
เรือรบโบราณลำนี้บินมาท่ามกลางอากาศอันมืดมิด เนื่องจากตำแหน่งที่มันปรากฏขึ้นมาก็คือชั้นนอกสุดของค่ายกลเสาหยวนเฉิน! ดังนั้นการบินมาด้วยความเร็วสูงในยามนี้จึงนำมาซึ่งการสกัดกั้นของค่ายกลเสาหยวนเฉิน ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าพลันปรากฏขึ้น เรือรบลำนี้ปะทะเข้ากับค่ายกลเหล่านี้ ก่อให้เกิดคลื่นการโจมตีจำนวนนับไม่ถ้วน คลื่นการโจมตีซัดสาดออกไปทั่วสารทิศตามอำเภอใจ
ทว่าดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนกลางสนามรบแห่งนี้ได้สลายหายไปนานแล้ว คลื่นการโจมตีก็เพียงแค่ส่งถ่ายออกมากลางอากาศอันมืดมิดอย่างไม่ขาดสายจนมลายหายไปจนสิ้นในท้ายที่สุด
เรือรบมุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงด้วยทีท่าไม่สนใจสิ่งใด!  ความเร็วในการบินของมันเหนือกว่าผู้ปกครองทั่วไปลิบลิ่ว
“อานุภาพน่าหวาดหวั่นนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสรับรู้ผ่านอากาศได้ เขาลอบตกใจอยู่เงียบๆ “ค่ายกลเสาหยวนเฉินนั้นข้ามิอาจบุกฝ่าไปโดยตรงได้ แต่เรือรบลำนี้กลับทำได้! เคราะห์ดี ตอนข้าต่อสู้นั้นสามารถพึ่งพาอานุภาพของเสาหยวนเฉินได้ มิเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าผู้ปกครองหน้าไหน หากอาศัยแค่พลังของตนเพียงคนเดียวก็ล้วนมิอาจต้านทานเรือรบลำนี้ได้กระมัง”
“ทว่าภายใต้ความช่วยเหลือของอาจารย์อาห้าวิหคดำ ท่านอาจารย์สามารถลอบตั้งเสาหยวนเฉินได้โดยไม่เกรงกลัวการลอบโจมตีของลัทธิจอมมารดา ก็เก่งกาจมากโดยแท้…” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรายตามองออกไปไกลแวบหนึ่ง สายตามองผ่านอุปสรรคของอากาศ ก็มองเห็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังวางค่ายกลอยู่ ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง และในยามนี้อาจารย์อาห้าวิหคดำก็ได้แปรเป็นวิหคดำตัวมหึมาใหญ่โตถึงล้านล้านลี้แผ่คลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ร่างทั้งสองของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังร่วมมือกันติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นใหม่อย่างสุดกำลัง
……
เรือรบโบราณบินไปด้วยความเร็วสูงยิ่ง ทว่าเนื่องจากค่ายกลเสาหยวนเฉินครอบคลุมพื้นที่กว้างมาก ลำพังแค่จะบินไปให้ถึงตรงหน้าเสาหยวนเฉินก็ยังต้องใช้เวลาถึงชั่วจอกชาหนึ่ง
ภายในเรือรบ
เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาหลายคนกำลังยืนอยู่ พลางมองดูเจ้าแม่กานเหอผู้มีท่าทางตื่นเต้นและชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งกุมหอกเอาไว้ในมือข้างเดียวผู้ยืนอยู่ตรงหน้าสุดบนเสาหยวนเฉินด้านนอกนั้น
“เจ้าแม่กานเหอเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอที่สุดคนหนึ่ง ทั้งยังไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้เป็นอันมาก สำหรับพวกเราแล้วไม่มีภัยคุกคามเลยแม้แต่น้อย” เจ้าลัทธิเหล่านี้ผ่านการห้ำหั่นมาหลายปีจึงเข้าใจดีมาก ได้ยินมาว่าเจ้าแม่กานเหอนั้นหลอมอาวุธได้ค่อนข้างร้ายกาจ ค่ายกลก็นับว่าพอใช้ได้ การรักษาชีวิตก็ไม่เลว แต่การต่อสู้นั้นอ่อนแอ
แม้บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาก็มีหลายคนที่เป็นระดับฐาน บางทีเมื่อเทียบกับเจ้าแม่กานเหอแล้วก็อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง แต่ลัทธิจอมมารดาก็ไม่สู้ตัวต่อตัวอยู่แล้ว หากแต่อาศัยสมบัติล้ำค่ามาเป็นข้อได้เปรียบ!
“เห็นทีครั้งนี้พวกเขาจะอาศัยตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้เช่นนั้นหรือ คิดไม่ถึงจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เพิ่งจะบำเพ็ญมานานสักเท่าใดกันเชียว แต่กลับสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมกล่าว นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง “ทว่าเจ้าหนุ่มหน้าใหม่คนหนึ่งคิดจะสกัดกั้นพวกเราน่ะ ฝันหวานไปแล้ว”
“เกรงว่าเรือทิพย์ซวีมู่ของเราเพียงแค่โจมตีออกไปครั้งหนึ่งก็คงสามารถทำให้พวกเขาแตกพ่ายไปได้แล้ว”
“ลงมือเถิด”
“รีบทำให้เจ้าแม่กานเหอและตงป๋อเสวี่ยอิงสลายไปเสีย จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตผู้นั้นจะต้องรีบมาช่วยเหลือเป็นแน่! หากเขาไม่มาช่วย พวกเราก็ทำลายค่ายกลเสาศิลานั่นทิ้งเสีย เสาศิลาก็นำไปด้วย”
เมื่อเทียบกันแล้วเจ้าลัทธิเหล่านี้เยือกเย็นกว่า ในสายตาของพวกเขามีความโหดเหี้ยมสายแล้วสายเล่าแฝงอยู่
การต่อสู้ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ แม้จะอยู่ในความคาดหมาย แต่เมื่อเห็นว่ายิ่งเข้าใกล้ความพ่ายแพ้มากขึ้นเท่าใด หัวใจของเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาแต่ละคนก็ล้วนเหมือนมีหินก้อนหนักทับเอาไว้ พวกเขาไม่ยอมแพ้เช่นนี้ พวกเขายังคงตามหา…ตามหาโอกาส!
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ห่างๆ
เรือรบโบราณลำนั้นกำลังบินไปด้วยความเร็วสูง บีบเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“ใกล้แล้ว”
“จวนจะถึงขอบเขตบริเวณของข้าแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
สายตามองออกไปไกลซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองผ่านอุปสรรคของอากาศก็สามารถมองเห็นดวงดาราที่มีสิ่งมีชีวิตดวงแล้วดวงเล่าภายในโลกเทพไกลลิบลิ่ว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดโดยไม่รู้เลยว่าสงครามตัดสินชะตากำลังปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา! หากพ่ายแพ้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของจักรวาลผู้บำเพ็ญก็จะสูญพันธุ์ไป
ตงป๋อเสวี่ยอิมองไปทางเกาะใจกลางทะเลสาบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่นั่นมีบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ เทพโลการวมทั้งผู้บำเพ็ญซึ่งมีพรสวรรค์สูงยิ่งอยู่มากมาย พวกเขาถูกอพยพมาอยู่ที่นี่ แต่กลับทำได้เพียงรอคอยการตัดสินชะตาชีวิตขั้นเด็ดขาดด้วยจิตใจอันว้าวุ่น
“นี่คือจักรวาลบ้านเกิดของข้า จิ้งชิว อวี้เอ๋อร์ ชิงเหยา…มนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าได้คิดจะชิงที่นี่ไป้เป็นอันขาด”
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงสาดประกายหนาวเหน็บ
……
“มาแล้ว”
“ตงป๋อเขาต้านทานเอาไว้ได้หรือไม่”
“เจ้าแม่กานเหอพลังอ่อนแอเกินไป อ่อนแอกว่าประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพ! พวกประมุขเกาะกาลมิติต้องร่วมมือกันถึงสองคนจึงสามารถพิทักษ์เอาไว้ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีเพียงเจ้าแม่กานเหอคอยช่วย แล้วจะสามารถพิทักษ์เอาไว้ได้หรือ”
“ก็แค่ลองดูเท่านั้น หากล้มเหลวก็ไม่มีทางย่ำแย่ไปกว่านี้แล้ว”
เหล่าผู้ปกครองบนเสาหยวนเฉินทั้งผู้ครองชิง ผางอี ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพและคนอื่นๆ ล้วนจับตามองที่นี่อยู่ห่างๆ แม้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่กำลังวางค่ายกลจะพยายามอย่างสุดกำลัง แต่ร่างจริงของเขาที่อยู่ในเกาะใจกลางทะเลสาบกลับเฝ้ามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ตรงนี้
แม้แต่อาจารย์อาห้าวิหคดำซึ่งกลายร่างเป็นผืนดินขนาดย่อมๆ ก็ยังมองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ “เจ้าหนุ่มตงป๋อ ต้องต้านรับเอาไว้ให้ได้ล่ะ เพื่อชัยชนะ ท่านอาจารย์ของเจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจมากเกินไปแล้ว เจ้าก็ต้องมีแรงฮึดสู้หน่อยล่ะ!”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้นพลางทอดสายตามองออกไปไกล
ทันใดนั้น!
ตู้ม!
เค้าร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นยักษ์ตนหนึ่งซึ่งสูงกว่าร้อยล้านลี้ แม้แต่ใจกลางเสาหยวนเฉินใต้ฝ่าเท้าก็ยังกลายเป็นเล็กเสียจนไม่สะดุดตาอีกต่อไป ทำเอาเจ้าแม่กานเหอซึ่งยืนเตรียมการอย่างระแวดระวังอยู่บนเสาหยวนเฉินตกตะลึงไปบ้าง นางเงยหน้ามองชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งสูงกว่าร้อยล้านลี้ตรงหน้าแล้วก็อดถ่ายเสียงพูดมิได้ว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิง พิทักษ์อยู่ที่ใจกลางของเสาหยวนเฉินนั้นสบายกว่าหน่อย ต่อให้ร่างกายของเจ้าขยายใหญ่กว่านี้ ก็ไม่มีส่วนช่วยเรื่องพลังหรอกนะ”
“แต่เมื่อสู้เช่นนี้ก็คล่องไม้คล่องมือมากกว่าอยู่บ้างนะขอรับ” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน เขากุมหอกยาวเอาไว้ในมือข้างเดียว หอกยาวก็ยาวกว่าร้อยล้านลี้เช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นผิวกายของเขาก็พลันมีเกลียวคลื่นสีแดงโลหิตปะทุขึ้นมา
โครมมมม…
เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตโหมซัดออกไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่ง ทว่ามันแผ่ออกไปทางอื่นเป็นขอบเขตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลักๆ แล้วก็ยังคงโจมตีตรงไปทางเรือรบโบราณลำนั้น เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ออกไปไม่หยุดหย่อน ไม่นานนักก็แผ่กำจายไปกว่าร้อยล้านลี้ สองร้อยล้านลี้…ส่วนบรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาภายในเรือรบโบราณลำนั้นต่างก็มองดูมหาสมุทรสีแดงโลหิตโหมซัดโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยความตะลึงลาน
“ไม่ประมาณกำลังตนเองเกินไปหน่อยหรือไม่” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาไม่แยแสเลย
“อากาศ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ
วิ้งงง…
ในฐานะผู้ท่องอากาศซึ่งใช้พละกำลังของอากาศอันสับสนอลหม่านนอกจักรวาลเป็นต้นกำเนิดในการฝึกฝน จึงเชี่ยวชาญในการควบคุมอากาศโดยกำเนิด ตอนที่อยู่ในขั้นผู้เคารพอาจยังไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองก็กลับร้ายกาจมากทีเดียว ว่ากันว่าต้องมีพลังขั้นเทพอากาศจึงจะสามารถเข้าไปท่องในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แต่ระบบผู้ท่องอากาศ…ในฐานะลูกรักของอากาศอันสับสนอลหม่าน แค่บรรลุขั้นผู้ปกครองก็สามารถท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านได้แล้ว
ตอนอยู่ในขั้นผู้ปกครอง การควบคุมอากาศก็บรรลุถึงขั้นชวนให้คนตะลึงแล้ว! บัดนี้ระลอกคลื่น ‘วิถีเข่นฆ่า’ ‘วิถีระลอกคลื่น’ ล้วนยังไม่บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาล หากพูดถึงอานุภาพของบริเวณแล้ว การควบคุมอากาศนั้นเหนือกว่าบริเวณการเข่นฆ่า!
เพียงแต่ว่าบัดนี้ในสงครามย่อมต้องทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเป็นธรรมดา
“เสาหยวนเฉิน!”
ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้พิทักษ์ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนพละกำลังของค่ายกลเสาหยวนเฉินมาเสริมแรงตนเอง ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าโหมซัดอยู่กลางฟากฟ้าเหนือบริเวณการเข่นฆ่า
“โครมมม…” เรือรบโบราณกดดันเข้ามา ในที่สุดก็ปะทะเข้ากับขอบคลื่นสีแดงโลหิต
ที่นี่ห่างจากใจกลางเสาหยวนเฉินเพียงสามร้อยล้านลี้เท่านั้น อานุภาพของค่ายกลที่นี่ก็มากแล้ว และกดดันอานุภาพของเรือรบลำนี้ไปจนถึงขั้นค่อนข้างต่ำทีเดียว หากเป็นพวกผู้ครองชิงหรือประมุขหยวนชูมา ร่างแยกร่างหนึ่งก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้! แต่ยามนี้ ภายใต้บริเวณการเข่นฆ่าและการควบคุมอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิง ความเร็วของเรือรบโบราณก็ลดลงเป็นอันมาก ความเร็วในการบินทะยานก็ไม่ถึงหนึ่งในร้อยของก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ!
“กดดันเอาไว้ได้แล้วหรือนี่”
ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพและเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลออกไปล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงและปีติยินดีออกมา แม้แต่อาจารย์อาห้าวิหคดำผู้มีร่างกายใหญ่โตก็ยังตกตะลึงจนไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ร่างจริงของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยินดีจนแทบคลั่งไปเช่นเดียวกัน
ยังมิทันได้ต่อสู้ประชิดตัว เพียงแค่อาศัยบริเวณก็ทำให้ความเร็วของเรือรบโบราณช้าขนาดนี้ได้แล้วหรือนี่
“บริเวณนี้ต้องแข็งแกร่งระดับใดกัน เกรงว่าลำพังแค่อาศัยบริเวณเพียงอย่างเดียวก็คงทำให้ข้าพ่ายแพ้ได้แล้วกระมัง” เจ้าแม่กานเหอซึ่งอยู่บนยอดเสาหยวนเฉินอดคิดขึ้นมามิได้

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด