Super God Gene ตอนที่ 1969

อ่านนิยายจีนเรื่อง Super God Gene ตอนที่ 1969 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

หญิงสาวได้ยินที่หานเซิ่นพูดและยิ้มออกมา “เจ้าเป็นคนตลกดี ชื่อของข้าคือยวิ๋นซู่ซาง ข้าเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสิบ เจ้าควรจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่”
 
“คารวะศิษย์พี่ยวิ๋น” หานเซิ่นพูด เขารู้สึกราวกับว่าได้กลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ดี
 
ยวิ๋นซู่ซางชี้ไปที่ชายชาวบุดด้าและพูด “ชื่อของเขาคือเฟิร์สเดย์ ทางบุดด้าส่งเขามาที่ฝึกฝนเหมือนกันกับเจ้า”
 
“อมิตาพุต! คารวะมิสเตอร์หาน” เฟิร์สเดย์โค้งคำรับหานเซิ่น
 
ถึงหานเซิ่นจะไม่ชอบพวกบุดด้า แต่เขาไม่ได้คิดว่าบุดด้าทุกคนเป็นคนไม่ดี เขาไม่เคยรู้จักกับเฟิร์สเดย์มาก่อน ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องเกลียดชังเขา แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นหานเซิ่นก็ต้องการจะหลีกเลี่ยงการเป็นเพื่อนกับเฟิร์สเดย์ หลังจากที่แนะนำตัวเสร็จแล้ว หานเซิ่นก็หันกลับไปหากระเรียนพันขน
 
“กระเรียนพันขน เจ้าบอกว่าสถานหยกขาวมีหอคอยอยู่ทั้งหมด 12 หอคอย แต่ทำไมข้าถึงเห็นแค่หอคอยนี้หอคอยเดียวเอง”
ถ้าเขาไม่สามารถพัฒนาไปขั้นต่อไปได้บนชั้นที่ 7 เขาคิดว่าอาจจำเป็นต้องไปในที่ที่ลมปราณหยกรุนแรงยิ่งกว่านี้
 
“ในสถานหยกขาวมีทั้งหมด 12 หลังและ 5 เมือง คนส่วนใหญ่จะเห็นเพียงแค่หอคอยทั้ง 12 เท่านั้นไม่ใช่ทั้ง 5 เมือง เพราะฉะนั้นพวกเขาจะเข้ามาได้แค่ที่นี่เท่านั้น ถ้าเจ้าต้องการจะเข้าไปในหอคอยอื่นๆ อย่างแรกเจ้าก็ต้องเข้าใจหอคอยนี้ซะก่อน” กระเรียนพันขนพูด
 
“ข้าต้องเข้าใจอะไร?” หานเซิ่นถาม
 
“ข้าไม่รู้ มันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง มันยากที่ข้าจะอธิบายได้ แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเริ่มฝึกจากชั้น 3 หรือชั้น 4 ก่อน แล้วเจ้าค่อยมาคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นในตอนที่เจ้าเลื่อนขึ้นมายังชั้นที่ 5 หรือชั้นที่ 6” กระเรียนพันขนพูด
 
หานเซิ่นอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็มีใครบางคนขึ้นมายังชั้นที่ 7 ซึ่งเธอก็คือยวิ๋นซู่อีที่พวกเขาพบบนชั้นที่ 3
 
ยวิ๋นซู่อีดูตกใจเมื่อได้เห็นหานเซิ่นบนนี้ ในตอนที่ลมปราณหยกหายไป เธอก็ไม่เห็นหานเซิ่นแล้ว เธอเชื่อว่าเขาคงจะทนต่อมันไม่ได้และตัดสินใจกลับออกไป เธอไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะขึ้นไปยังชั้นที่สูงกว่าแทน
 
“ซู่อี ให้ข้าแนะนำเขาให้เจ้ารู้จัก นี่ก็คือลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด หานเซิ่น” ยวิ๋นซู่ซางดึงยวิ๋นซู่อีเข้าไปใกล้ด้วยรอยยิ้ม
 
“ข้าได้พบเขาตั้งแต่ข้างล่างแล้ว” ยวิ๋นซู่อีตอบ
 
ยวิ๋นซู่อีกับยวิ๋นซู่ซางเป็นพี่น้องกัน พวกเธอเป็นทายาทของผู้อาวุโสสิบ ยวิ๋นซู่อีสืบสายเลือดมา ขณะที่ยวิ๋นซู่ซางเป็นลูกบุญธรรม จริงๆแล้วยวิ๋นซู่ซางเป็นลูกสาวของผู้อาวุโสเจ็ด แต่เขาได้เสียชีวิตไป ยวิ๋นซู่ซางจึงถูกพ่อของยวิ๋นซู่อีรับไปเลี้ยงตั้งแต่ที่เธอยังเด็ก
 
กระเรียนพันขนเองก็เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสิบ ดังนั้นเขาจึงใกล้ชิดกับพี่น้องยวิ๋น
 
พวกเธอมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเหมือนกับพี่น้องจริงๆ ซึ่งในช่วงที่สถานหยกขาวยังไม่ปะทุขึ้นมา ยวิ๋นซู่อีก็มักจะขึ้นมาพูดคุยกับยวิ๋นซู่ซางเพื่อฆ่าเวลา
 
หานเซิ่นถามกระเรียนพันขน “กระเรียนพันขน ข้าสงสัยเกี่ยวกับลมปราณหยกของหอคอยอื่นๆ พวกมันจะรุนแรงยิ่งกว่าที่นี่หรือเปล่า?”
 
แต่ก่อนที่กระเรียนพันขนจะตอบ ยวิ๋นซู่อีก็พูดขึ้นมา “พวกมันไม่ใช่แค่รุนแรงกว่าเท่านั้น พวกมันยังมีจิตวิญญาณด้วย ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นระดับเอิร์ลเป็นอย่างน้อย เจ้าก็จะตายอยู่ที่นั่น”
 
“นั่นหมายความถ้าข้ากลายเป็นเอิร์ล ข้าก็จะไปที่หอคอยอื่นได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
 
“เจ้าต้องเข้าใจถึงความหมายของหอคอยนี้ซะก่อน เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะมองเห็นหอคอยอื่นเบื้องหลังหอคอยนี้” ยวิ๋นซู่อีพูด
 
‘กระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซางและเฟิร์สเดย์คือที่สุดในหมู่เอิร์ล แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจมันอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง เขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะพูดออกมา
 
แต่ยวิ๋นซู่อีรู้ว่าหานเซิ่นกำลังคิดอะไร เธอยิ้มออกมาและพูด “ศิษย์พี่กระเรียนและพี่สาวของข้าเข้าใจมันเรียบร้อยแล้ว หลายคนบนชั้น 6 ก็เข้าใจเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน แต่จากทั้ง 12 หอคอย หอคอยแรกถือว่าพื้นๆ ลมปราณหยกของที่นี่ง่ายที่จะสกัดและดูดซับเข้าไป ดังนั้นมันจะเป็นการดีที่สุดที่จะอยู่ที่นี่จนกระทั่งกลายเป็นมาร์ควิส”
 
หลังจากที่ได้ยินอย่างนั้นหานเซิ่นก็ขมวดคิ้ว ‘ถ้าลมปราณหยกในหอคอยนี้ถือว่าพื้นๆ ลมปราณหยกในหอคอยอื่นจะน่ากลัวขนาดไหนกัน? ถ้าที่นี่เรายังพัฒนาไปขั้นต่อไปไม่ได้ บางทีเราควรจะไปยังหอคอยต่อไป แต่เราไม่รู้ว่าจำเป็นต้องเข้าใจอะไร’
 
หลังจากที่พูดคุยกันอยู่สักพัก ยวิ๋นซู่ซางก็สังเกตเห็นว่ามันถึงเวลาแล้ว หลังจากนั้นเธอก็หันไปพูดกับยวิ๋นซู่อี “ลมปราณหยกกำลังจะปะทุออกมา เจ้าควรจะกลับไปได้แล้ว พวกเราค่อยคุยกันต่อหลังจากนี่เสร็จแล้ว”
 
ยวิ๋นซู่อีพยักหน้าและเริ่มเดินลงบันไดไป หานเซิ่นยังคงพูดคุยกับกระเรียนพันขนอยู่ ดังนั้นเธอจึงพูดขึ้นมา “เจ้าเองก็ควรจะลงมาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่อลมปราณหยกปะทุขึ้นมา เจ้าก็จะกลายเป็นรูปปั้นหยกซะก่อนที่เจ้าจะได้มีโอกาสกลับลงไป”
 
“ศิษย์น้องหาน เจ้าลงไปได้แล้ว พวกเราค่อยคุยกันต่อทีหลัง” กระเรียนพันขนพูด
 
“ข้าจะไม่กลับลงไป ข้าต้องการฝึกที่นี่” หานเซิ่นพูด
 
ยวิ๋นซู่อีและคนอื่นหันมามองหานเซิ่นอย่างตกใจ ยวิ๋นซู่อีพบว่าตัวเธอทั้งโกรธและประหลาดใจ “แม้แต่เอิร์ลส่วนใหญ่ยังไม่กล้าขึ้นมาชั้นที่ 7 เลย มีเพียงแค่พี่สาวของข้าและศิษย์พี่กระเรียนที่เป็นคนที่มีพรสวรรค์และแข็งแกร่วกว่าเอิร์ลทั่วๆไปเท่านั้นที่กล้ามาฝึกบนนี้ นี้เจ้าไม่เห็นหรือว่าชั้นที่ 6 มีเอิร์ลอยู่มากขนาดนั้น พวกเขาไม่กล้าจะขึ้นมาบนนี้ แล้วแบบนั้นเจ้าที่เป็นแค่ไวเคานต์คิดว่าจะฝึกบนนี้ได้เนี่ยนะ? เจ้าอยากจะกลายเป็นรูปปั้นหรือยังไง?”
 
“ศิษย์น้องหาน เจ้าควรจะกลับลงไปข้างล่าง เจ้าควรจะค่อยๆฝึกไปทีละชั้น” กระเรียนพันขนพูด
 
หานเซิ่นหัวเราะและพูด “วิชาของข้าพร้อมเต็มที่แล้ว แต่ข้าจำเป็นต้องใช้ลมปราณหยกของชั้นที่ 7 เพื่อพัฒนาไปสู่ขั้นต่อไป อย่าได้กังวล ข้าทนต่อลมปราณหยกของที่นี่ได้”
 
ยวิ๋นซู่อีกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ยวิ๋นซู่ซางเข้ามาขัดเธอเอาไว้ “ซู่อี เจ้าไปได้แล้ว ลมปราณหยกจะปะทุในเร็วๆนี้ ถ้ายังชักช้ามันจะสายเกินไป”
 
ยวิ๋นซู่อีรีบลงจากชั้นที่ 7 ไป แต่เธอหันกลับมามองเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเธอเห็นว่าหานเซิ่นไม่คิดจะตามลงมาด้วย
 
‘เขาไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่เขากลับมักใหญ่ใฝ่สูง แบบนี้ศิษย์พี่กระเรียนคงจะต้องแบกเขาอีกรอบแหง๋ๆ’ ยวิ๋นซู่อีคิดกับตัวเอง
 
กระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางพยายามจะโน้มน้าวหานเซิ่น แต่พวกเขาไม่ได้สนิมสนมอะไรกัน ซึ่งถ้าหานเซิ่นยืนกรานที่จะฝึกบนนี้ให้ได้ พวกเขาก็ไม่คิดจะขอร้องให้หานเซิ่นเปลี่ยนใจ
 
กระเรียนพันขนยิ้มแห้งๆออกมาและส่ายหัว ถ้าหานเซิ่นไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของลมปราณหยกได้ เขาก็ต้องแบกหานเซิ่นลงไป เขาไม่สามารถปล่อยให้ลมปราณหยกทำให้หานเซิ่นกลายเป็นรูปปั้นและเสียชีวิตไป
 
หานเซิ่นนั่งลงใกล้ๆกับกระเรียนพันขน เฟิร์สเดย์หันมามองหานเซิ่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น และหานเซิ่นก็ยิ้มให้กับเขา ซึ่งเฟิร์สเดย์ดูเขินอายและหันหน้าหนีไป
 
‘บุดด้าเฟิร์สเดย์คนนี้น่าสนใจ เขายังหนุ่มอยู่ แต่เขาอาจจะเทียบได้กับบุดด้าเจ็ดวิญญาณเลยก็ได้ แต่ดูเหมือนจิตใจของเขายังคงเด็กอยู่’ หานเซิ่นคิด หลังจากนั้นลมปราณหยกก็เริ่มปะทุออกมา

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด