The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา ตอนที่93 เรียนกระบี่

อ่านนิยายจีนเรื่อง The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา ตอนที่ 93 เรียนกระบี่ 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ทักษะกระบี่และปราณยุทธ์ของจงหลีซ่านผู้น่าสงสารล้วนเหนือกว่าหลินมู่อวี่ น่าเสียดายที่เขาประมาทคู่ต่อสู้ และยังดูถูกพลังการโต้กลับของหลินมู่อวี่ ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเขาที่ถูกสังหารด้วยแก่นเพลิงมังกร
หลินมู่อวี่นั่งหมดแรงพิงอยู่ข้างเตียง หยิบขวดโอสถฟื้นสภาพออกมาเทใส่บาดแผล และไม่ไปตามผู้ใดมาช่วย กลับนั่งอยู่ที่เดิมแล้วเดินปราณรักษาบาดแผล ต้องรีบรักษาจุดที่ถูกโจมตีโดยเร็ว มิเช่นนั้นเกิดบาดเจ็บภายในขึ้นมาจะแย่เอาได้
……
ช่วงเช้า เกิดความโกลาหลขึ้นภายในวิหาร นักฆ่าลอบเข้ามาสังหารผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองไม่สำเร็จ แต่กลับเป็นฝ่ายถูกสังหารแทน ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่ววิหารอย่างรวดเร็ว และยังกระจายไปกว่าครึ่งเมืองอีกด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่แบบไหนกัน ที่นี่เป็นสัญลักษณ์ของพลังที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งจักรวรรดิ ตอนนี้กลับมีคนกล้าบุกเข้าไปลอบสังหารคนในวิหาร นี่มันจะกล้าเกินไปแล้ว
“ปัง!”
ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะหินสลักนูนสีคราม ใบหน้าของเหลยหงเต็มไปด้วยโทสะ ตรงข้ามกับเหล่าผู้ดูแล ครูฝึก และผู้ช่วยฝึก กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกผิดปกติ “วิหารมีการคุ้มกันที่เข้มงวด ใครเป็นคนปล่อยไอ้นักฆ่าคนนั้นเข้ามากันแน่”
เจิ้งฟางยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เกอหยางพูดต่อ “ผู้ดูแลอาวุโส พวกข้าทำการตรวจสอบแล้ว นักฆ่าผู้นี้มีนามว่าจงหลีซ่าน เป็นนักฆ่าล่าเงินรางวัลชื่อดังในเมืองหลันเยี่ยน ขอเพียงมีเหรียญทองจ่ายมากพอ ไม่ว่าอะไรเขาก็ยินดีทำ จงหลีซ่านผู้นี้เคยถึงกับประกาศว่า หากมีคนจ่ายค่าจ้างแพงล้นฟ้าให้ เขาก็กล้าลอบเข้าตำหนักเจ๋อเทียนไปตัดพระเศียรของกวางหมิงหวังจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน…”
“บังอาจเกินไปแล้ว!” เหลยหงหน้าเขียวปั้ด จงหลีซ่านลอบเข้ามาฆ่าคนในวิหาร เป็นการท้าทายเขาผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์ชัดๆ นี่มันหยามหน้ากันชัดๆ
“ไปตรวจสอบให้ชัดเจน กำแพงรอบวิหารสูงมาก กลางคืนมีเวรยามคุ้มกัน ไม่มีทางปีนกำแพงเข้ามาได้ ต้องมีคนในพาจงหลีซ่านเข้ามาเป็นแน่ ตรวจสอบให้ละเอียดว่าเมื่อวานมีใครพาคนนอกเข้ามาบ้าง!”
“ขอรับ!” เกอหยางประสานมือคารวะ
ในตอนนี้เอง จางเหว่ยหันไปยิ้มให้เจิ้งฟางแล้วเอ่ยว่า “อ้อ เมื่อเย็นวาน ข้าเห็นท่านอ๋องน้อยนำคนรับใช้มาที่วิหารสองสามคน ไม่รู้ว่าข้าจะมองผิดไปหรือเปล่า”
เจิ้งฟางสีหน้าเย็นชา “จางเหว่ย เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้ากำลังสงสัยข้างั้นหรือ”
“มิกล้า!” จางเหว่ยประสานมือ “ข้าน้อยเพียงแค่นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้เท่านั้นเอง มิได้มีเจตนาอื่น ท่านอ๋องน้อยทำอะไรเปิดเผย มีคุณธรรมสูงส่ง ด้วยนิสัยของท่านอ๋องน้อยแล้ว ข้าจางเหว่ยเชื่ออย่างสนิทใจว่าท่านอ๋องน้อยไม่คิดจะสังหารหลินจื้อเด็ดขาด”
เจิ้งฟางหน้าเสีย คนในวิหารต่างรู้ว่าเจิ้งฟางคิดจะกำจัดหลินจื้อกันทั้งนั้น เขาจึงน่าสงสัยที่สุด แถมนักฆ่าล่าเงินรางวัลอย่างจงหลีซ่านคงจะมีแต่ชนชั้นสูงอย่างเจิ้งฟางที่จะมีปัญญาจ้างกระมัง
จางเหว่ยมาจากตระกูลสามัญชน เป็นธรรมดาที่จะเข้าข้างหลินจื้อกับถั่วงอกน้อย เขาถึงกับเดือดดาลขึ้นมาทันที แม้แต่สวัสดิภาพของตนก็ไม่สนแล้ว เกิดมามีชีวิตทั้งที ก็ต้องใช้ให้มันสะใจเสียหน่อย!
……
เหลยหงเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้เอง ทันทีที่เจอตัวผู้บงการ ข้าจะไม่ปล่อยไว้แน่! วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของจักรวรรดิ ไม่ยอมให้คนต่ำทรามมาดูหมิ่นได้เด็ดขาด!
บรรดาคนในวิหารพากันประสานมือคารวะ “ขอรับ ผู้ดูแลอาวุโส!”
“เช่นนั้นก็แยกย้ายได้!”
หลังจากที่กลุ่มคนทยอยกันออกไป เหลยหงกลับเรียกหลินมู่อวี่ไว้ “หลินจื้อ เจ้ารอก่อน”
“ท่านปู่เหลยหง มีเรื่องอะไรหรือ” เขาหยุดเท้าและเอ่ยถาม
“เจ้าฝึกคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรถึงไหนแล้ว บาดเจ็บหนักหรือไม่” เหลยหงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลินมู่อวี่รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา ยิ้มพูดด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “ข้าก็ไม่รู้ว่าฝึกไปถึงขั้นไหนแล้ว น่าจะประสบความสำเร็จอยู่นิดหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าคงฆ่าจงหลีซ่านไม่ได้”
“อืม ข้าตรวจดูบาดแผลของจงหลีซ่านแล้ว ตายในหนึ่งกระบวนท่า เจ้าคงจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อสินะ มิเช่นนั้นนักฆ่าระดับนี้คงไม่ถูกโจมตีง่ายๆ”
“ขอรับ ท่านปู่เหลยหง”
“เป็นเพราะข้าหย่อนยานเกินไป เมื่อคืนมัวแต่นั่งสมาธิ เลยไม่ได้ไปดูเจ้า”
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าปกป้องตนเองได้”หลินมู่อวี่เผยรอยยิ้มอันแสนมั่นใจ
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปเถอะ”
“ขอรับ”
……
เพราะยังอาการบาดเจ็บอยู่ เกอหยางจึงให้หลินมู่อวี่หยุดพักผ่อนเป็นเวลาสามวัน เรื่องนี้ทำให้หลินมู่อวี่เหมือนปลาได้น้ำ ครุ่นคิดว่าจะใช้เวลาสามวันนี้ทำอะไรดี!
พอออกจากวิหาร เขาก็ตรงไปที่ร้านศาสตราวุธว่านเซิ่ง ต้องไปขอคำแนะนำทักษะควบคุมกระบี่จากผู้เฒ่ากระบี่เสียหน่อย!
แต่ยังไปได้ไกลไม่เท่าไร ทันใดนั้นก็มีม้าตัวหนึ่งควบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อยู่บนหลังม้าคือสาวงามในชุดกระโปรงสีเขียว อายุราวสิบแปดปี ท่วงท่าสง่างาม ร้องตะโกนมาแต่ไกล “ไม่ทราบว่าใช่ท่านอาจารย์หลินจื้อหรือไม่”
“หืม?”
หลินมู่อวี่หยุดเดิน “เจ้าเป็นใคร”
หญิงสาวพลิกตัวลงจากหลังม้า สองมือประสานกันอยู่ตรงท้องน้อย โค้งตัวทำความคารวะ ตามมาตรฐานกุลสตรีแห่งจักรวรรดิ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยนามว่าจินเสี่ยวถัง เป็นลูกสาวของจินซานพั่ง…อุ้ย ไม่ใช่เจ้าค่ะ ลูกสาวของจินไจจู๋แห่งร้านโอสถประจำเมืองหลวง คิกๆ และเป็นรองประธานสมาคมการค้าแห่งจักรวรรดิด้วยเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ ฝันคืนสู่สูงสุดที่ท่านได้ฝากทางร้านให้นำไปประมูล ตอนนี้ประมูลเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจึงมาหาท่านเพื่อการนี้เจ้าค่ะ!”
“อ้อ แม่นางจินเองหรอกหรือ!”
หลินมู่อวี่ยิ้มดีใจ ในสายตาเขาจินเสี่ยวถังผู้นี้ได้กลายเป็นสาวงามที่ทำจากทองคำเรียบร้อยแล้ว ที่แท้ก็นำเงินมาให้นี่เอง!
จินเสี่ยวถังมีท่าทางเกรงอกเกรงใจอย่างมาก ประสานมือคารวะอีกครั้งพร้อมยิ้มพูด “ท่านอาจารย์หลิน ฝันคืนสู่สูงสุดทั้งห้าขวดของท่านถูกประมูลไปในราคา 4,500 5,200 5,400 5,500 และ 5,700 เหรียญทอง หลังจากหักค่าธรรมเนียมสองส่วนของทางสมาคมการค้าแล้ว ท่านจะได้รับเงินทั้งสิ้น 21,040 เหรียญทอง ท่านพ่อบอกว่านี่เป็นการทำการค้าร่วมกันครั้งแรก จึงจะให้ท่านเป็นเลขกลมๆ 22,000 เหรียญทองเจ้าค่ะ ในนี้มีเหรียญเพชรยี่สิบสองเหรียญ เชิญท่านอาจารย์ตรวจสอบ!”
นางยื่นถุงสีทองออกมา ด้านในมีเหรียญเพชรหนักๆ อยู่ยี่สิบสองเหรียญ หลินมู่อวี่เบิกบานใจทันที รู้สึกเหมือนเป็นเศรษฐีใหม่ชั่วข้ามคืน
ความรู้สึกแบบนี้ช่างยอดจริงๆ!
หลินมู่อวี่รับถุงมาแล้ว จึงกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ขอบคุณแม่นางจินมาก!”
จินเสี่ยวถังส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วควักบัตรโปร่งใสใบหนึ่งออกจากอกเสื้อ แล้วเอ่ย “เนื่องจากมีการซื้อขายกันมากกว่าสองหมื่นเหรียญทอง ตามกฎของสมาคม จึงมอบบัตรเพชรใบนี้ให้แก่ท่าน ลูกค้าที่ครอบครองบัตรเพชรจะได้ส่วนลดสามส่วน (30%) ในการซื้อสินค้าที่สมาคม และจะถูกหักค่าธรรมเนียมเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้นสำหรับการนำสินค้ามาฝากขาย นอกจากนี้ ในบัตรเพชรยังมียอดเงินหนึ่งหมื่นเหรียญทอง และวงเงินอีกห้าหมื่นเหรียญทอง บัตรนี้ใช้วิธีการพิเศษใส่พลังของสัตว์วิญญาณในการควบคุมจำนวนตัวเลขเข้าไป สามารถใช้ได้ที่สมาคมการค้าขนาดใหญ่ทุกแห่ง ท่านอาจารย์โปรดรับไว้เถิด!”
หลินมู่อวี่รับบัตรนั้นมา เขาเข้าใจทุกอย่างดี เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เกรงว่าแค่ยอดซื้อขายสองหมื่นเล็กน้อยเช่นนี้คงไม่เพียงพอที่จะได้รับบัตรนี้กระมัง”
จินเสี่ยวถังยิ้มขำ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ฉลาดแบบที่ข้าคิดไว้เลย ความจริงต้องมียอดซื้อขายห้าแสนจึงจะได้รับบัตรเพชร เพียงแต่ท่านอาจารย์ค่อนข้างจะพิเศษหน่อยเจ้าค่ะ”
“ทำไมข้าถึงพิเศษล่ะ”
“เพราะว่าท่านเป็นผู้เดียวที่สามารถปรุงฝันคืนสู่สูงสุดได้ ในโลกแห่งการหลอมโอสถนั้นไม่เคยพบมาก่อนเจ้าค่ะ” พูดจบจินเสี่ยวถังก็คารวะอีกครั้ง พร้อมยิ้มพูด “ท่านอาจารย์หลินจื้อ ถ้าท่านยังจะปรุงฝันคืนสู่สูงสุดอีก ได้โปรดให้สมาคมการค้าของพวกเราได้สิทธิ์ประมูลก่อนด้วยเจ้าค่ะ เสี่ยวถังรับรองว่าจะไม่ให้ท่านเสียเปรียบแน่นอน”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลินมู่อวี่ยิ้มบางๆ “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณแม่นางเสี่ยวถังมาก!”
“ไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะ”
“ลาก่อน”
……
จินเสี่ยวถังขี่ม้าจากไป หลินมู่อวี่กำถุงใส่เหรียญเพชรหนักๆ ยี่สิบสองเหรียญ เกิดความรู้สึกหลากหลาย รวยแล้วรู้สึกแบบนี้สินะ! แต่จู่ๆ กลับนึกถึงถั่วงอกน้อยผู้น่าสงสารขึ้นมา ในฐานะผู้ช่วยฝึกระดับดาวทองแดง ชีวิตของเขามีค่าแค่ห้าร้อยเหรียญทองแค่นั้นหรือ เหรียญเพชรยี่สิบสองเหรียญที่ถืออยู่ในมือ ซื้อชีวิตของถั่วงอกน้อยได้สี่สิบสี่ชีวิตเลยไม่ใช่หรือ
เขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา จึงเก็บเงินแล้วตรงไปยังร้านศาสตราวุธว่านเซิ่ง
เมื่อเขามาถึงร้านศาสตราวุธ คาดไม่ถึงว่าพนักงานจะจำเขาได้ พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “จอมยุทธ์น้อย ท่านมาแล้วหรือ…เถ้าแก่พูดไว้ไม่มีผิด บอกว่าจอมยุทธ์น้อยจะต้องกลับมาอีกแน่นอน”
“เอ๋? ผู้เฒ่ากระบี่ทำไมถึงรู้ว่าว่าข้าจะมาอีกล่ะ”
“ประการแรก จอมยุทธ์น้อยเป็นผู้ที่รักกระบี่ ประการที่สอง จอมยุทธ์น้อยเป็นผู้ใช้กระบี่ จอมยุทธ์น้อยตามข้ามาเถิด เถ้าแก่อยู่ที่สวนด้านหลังขอรับ”
“อืม ขอบคุณท่านมาก!”
ยามที่ได้พบกับผู้เฒ่ากระบี่อีกครั้ง ชายชราผู้นี้ยังกระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม เขายืนอยู่ที่สวนด้านหลังเพียงลำพัง กางแขนทั้งสองข้างออก ปราณที่ไร้ลักษณ์กระเพื่อมเป็นระลอกรอบตัวเขา เป็นเพราะพลังปราณเหล่านี้ทำให้เขามีความสามารถในการบังคับกระบี่
“ผู้อาวุโส!”
หลินมู่อวี่ทำความเคารพแบบทหาร ในฐานะที่เป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนว่าการทำความเคารพแบบอื่นดูจะไม่ค่อยเหมาะสม
ผู้เฒ่ากระบี่ค่อยๆ หันมา ใบหน้าเป็นประกาย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จอมยุทธ์น้อย เราพบกันอีกแล้ว คราวที่แล้วเจ้ามาเพื่อเปิดโลก ไม่ทราบว่าครั้งนี้เจ้ามาเพื่อการใด”
“ข้าอยากจะเรียนทักษะควบคุมกระบี่จากผู้อาวุโสขอรับ” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยวาจาเคารพนบน้อม
“เรียนทักษะกระบี่หรือ”
ผู้เฒ่ากระบี่อดยิ้มไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ถ่ายทอดวิชามานานแล้ว เชิญจอมยุทธ์น้อยกลับไปเถิด!”
หลินมู่อวี่ยังคงหนักแน่น “ท่านไม่ถ่ายทอดคงต้องมีสาเหตุ ข้าพร้อมที่จะฟังเหตุผลขอรับ”
ผู้เฒ่ากระบี่พลันเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ จึงยิ้มพูด “เช่นนั้นก็ได้!”
ผู้เฒ่ากระบี่มือไพล่หลัง ปราณกระบี่รอบกายเอ่อล้นขึ้นมา เสื้อคลุมยาวสีครามค่อยๆ สั่นไหว ยิ้มพูด “ที่ชีวิตนี้ข้าจะไม่อยากรับลูกศิษย์ มีสาเหตุด้วยกันสามข้อ ข้อแรกข้าไม่รับลูกศิษย์ที่เป็นคนธรรมดา ข้อที่สอง ข้าไม่รับลูกศิษย์ที่ชอบแข่งขันเอาชนะ ข้อที่สาม ข้าไม่รับลูกศิษย์ที่ไม่เข้าใจเพลงกระบี่ จอมยุทธ์น้อย ถ้าเจ้าสามารถทำลายทั้งสามข้อนี้ของข้าได้ ข้าก็อาจจะพิจารณารับเจ้าเป็นศิษย์”
หลินมู่อวี่ชะงักไป ช่างเป็นผู้อาวุโสที่แปลกประหลาดเสียจริง มาตรฐานการรับลูกศิษย์สูงใช่เล่น!
หลินมู่อวี่ใช้ความคิดก่อนเอ่ยขึ้น “ข้อแรก ข้าคิดว่าตัวข้าไม่ใช่คนธรรมดา”
“ไหนเจ้าลองว่ามา”
“ดั่งคำว่าฟ้าประทานพรสวรรค์มาให้ จักต้องมีประโยชน์ แล้วยิ่งพรสวรรค์ของข้า แน่นอนว่าจักต้องได้สร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ หากข้าเป็นคนธรรมดา ก็คงไม่มาขอร้องให้ผู้อาวุโสสอนทักษะการควบคุมกระบี่หรอก”
“เยี่ยม!” ผู้เฒ่ากระบี่พยักหน้าชมเชย เอ่ย “ข้อแรกเจ้าผ่านแล้ว ข้อที่สอง เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรว่าตัวเองจะไม่ใช่ศิษย์ที่ชอบแข่งขันเอาชนะ”
หลินมู่อวี่สูดลมหายใจเข้าลึก “เหตุผลที่ข้าต้องการแข็งแกร่งขึ้น ก็เพราะไม่อยากเห็นความอยุติธรรมมากมายบนโลก ข้าต้องการเข้มแข็งขึ้นเพราะข้าอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้”
“เปลี่ยนแปลงโลกเช่นนั้นหรือ” ผู้เฒ่ากระบี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้ามีความสามารถนี้หรือ เด็กหนุ่ม…”
“ข้าจะลอง จนสุดกำลังของข้า” หลินมู่อวี่กำหมัดแน่น ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว
“ดี!”
ผู้เฒ่ากระบี่หัวเราะดัง “ข้อสองถือว่าเจ้าผ่านก็แล้วกัน แต่ข้อสาม เจ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเพลงกระบี่อย่างลึกซึ้งหรือไม่”
“คือว่า…”
หลินมู่อวี่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ “ข้าเป็นแค่ทักษะกระบี่ธรรมดามาเท่านั้นเอง”
“แสดงให้ข้าดูซิ!”
“ขอรับ!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด