The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา ตอนที่29 แก่นปราณสีม่วง 1

อ่านนิยายจีนเรื่อง The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา ตอนที่ 29 แก่นปราณสีม่วง 1 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

EP.29 แก่นปราณสีม่วง 1

“ยามหยิน (ช่วงเวลาระหว่างตีสามถึงตีห้า) แล้ว หลินมู่อวี่ ออกเดินทางกันเถอะ!”
ในความฝัน เสียงเคาะประตูดังสนั่นของชวีฉู่ดังเข้ามา หลินมู่อวี่สะดุ้งตื่น มองออกไปนอกหน้าต่าง บนท้องฟ้ายังคงมีดาว ยามนี้อย่างมากก็คงจะตีสามตีสี่เองนี่นา!
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรีบร้อนเดินทาง ทว่าหลินมู่อวี่ก็กระโดดลงจากเตียงตามคำสั่ง รีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา เขากระหายความแข็งแกร่งเหลือเกิน และชวีฉู่ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็คือคนที่จะนำพลังอันแข็งแกร่งมาให้แก่เขา 
“ท่านอาจารย์ ฟ้ายังไม่สว่างก็จะออกเดินทางเลยหรือ ข้าขอไปลาท่านปู่กับฉู่เหยาก่อนนะขอรับ”
“ไม่ต้องลาแล้ว ไปกันเถอะ!”
ท่ามกลางความมืด ชวีฉู่ในชุดยาวสีขาวกล่าวขึ้นโดยไม่ลังเล “เช้าวันใหม่เป็นช่วงเวลาสำคัญ เจ้าคิดจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ อีกสามวันเจ้ากลับมาค่อยมานอนให้พอก็ยังได้ แล้วก็ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า เป็นแค่ผู้ชี้แนะเจ้าสามวันเท่านั้น ข้าชวีฉู่จะไม่รับลูกศิษย์จวบจนชั่วชีวิต เจ้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสชวีเหมือนเดิมเถอะ เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“อือ”
หลินมู่อวี่เดินตามชายชราไปที่ลานหน้าบ้าน โดยมีถังเสี่ยวซีองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ตามมาด้วย มือนางถือดาบเล่มบาง จูงม้ามาสองตัว แล้วยื่นบังเหียนม้าตัวหนึ่งให้หลินมู่อวี่ “นี่ม้าเจ้า”
“หืม?”
“นี่เป็นม้าชั้นดี สบายเจ้าเลยนะเนี่ย” ถังเซียวซีหัวเราะคิกคัก
หลินมู่อวี่หันไปมองม้าตัวนั้น เป็นม้าชั้นยอดจริงๆ รูปร่างกำยำ ขนพลิ้วสลวย อีกทั้งยังมีแววตาสดใส แค่มองก็รู้ว่าเป็นม้าชั้นเลิศ หันไปดูม้าของถังเสี่ยวซี เป็นม้าตัวเล็กขนสีแดงเพลิง ร่างเล็กบอบบางเหมาะกับเจ้าของเสียจริงๆ
ถังเสี่ยวซีราวกับอ่านใจเขาออก อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าคิดว่าเพลิงพันลี้ของข้าดูอ่อนแอใช่ไหมล่ะ จะลองแข่งกันหน่อยไหม ข้ารับประกันว่าไม่เกินหนึ่งก้านธูปข้าทิ้งห่างเจ้าไม่เห็นฝุ่นแน่นอน!”
หลินมู่อวี่เดาะลิ้น เขาไม่ได้คิดจะท้าทายองค์หญิงผู้นี้ ที่แท้เจ้าม้าตัวเล็กสีแดงเพลิงตัวนี้ก็ชื่อเพลิงพันลี้นี่เอง ชื่อช่างเหมาะกับรูปร่าง แต่จะวิ่งได้วันละพันลี้จริงหรือไม่นั้นก็อีกเรื่อง
ชวีฉู่ที่อยู่ด้านหน้าสุดจูงม้าตัวใหญ่สีดำมา ขาทั้งสี่ของมันถูกตอกเกือกม้าเรียบร้อย แถมที่สะโพกของม้ายังถูกตีสัญลักษณ์รูปดอกจื่อยินด้วย ม้าตัวนี้เป็นม้าศึก!
“ออกจากเมืองหยินซานก่อนฟ้าสาง กระหม่อมได้ยินว่าทางตอนใต้ของเมืองมีร้านซาลาเปาอยู่ เราแวะทานมือเช้าที่นั่นแล้วค่อยเดินทางต่อ” ชวีฉู่เอ่ยขึ้น
“ขอรับ” หลินมู่อวี่ระมัดระวังคำพูด
ถังเสี่ยวซีกลับหัวเราะ “ผู้เฒ่าชวี ยังมีอะไรที่อร่อยกว่าซาลาเปาไส้เนื้อผสมดอกยินของเมืองหลวงด้วยหรือ”
ชวีฉู่หยุดหัวเราะ “องค์หญิงทรงล้อกระหม่อมเล่นแล้ว เนื้อวัวดอกยินของเมืองหลวงจัดว่าสุดยอดแล้ว แม้แต่องค์จักรพรรดิยังทรงมาลิ้มลองด้วยพระองค์เอง แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้”
“ก็ใช่น่ะสิ!” ถังเสี่ยวซีเม้มปากแล้วยิ้ม “พอพูดถึงของอร่อยในเมืองหลวง จู่ๆ ข้าก็คิดถึงเสี่ยวยินขึ้นมา”
ชวีฉู่ตอบ “เราจะฝึกกันในป่าสัตตะดาราสามวัน เพื่อให้องค์หญิงบรรลุถึงระดับที่สามสิบ จากนั้นพวกเราจะกลับเมืองหลวง แล้วพระองค์ก็จะได้พบฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม!”
ออกมาจากเมืองมาแล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่สว่าง มีเพียงท้องฟ้าทางตะวันออกเริ่มเป็นสีขาว ชวีฉู่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น มีร้านซาลาเปาอยู่ในป่านอกเมืองเหมือนที่เขาบอกไว้จริงๆ บริเวณนี้อยู่ใกล้ป่าสัตตะดารา บางทีก็มีสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นร้านซาลาเปานี้เปิดขายอยู่ที่นี่ก็เพื่อบริการอาหารให้แก่พ่อค้าและแขกที่มาพักค้างคืนในโรงเตี๊ยม เวลานี้ฟ้ายังไม่สว่าง พนักงานในร้านก็ยุ่งกับการนึ่งซาลาเปาแล้ว 
“น้องชาย ขอซาลาเปาพวกข้าคนละชุด แล้วช่วยเตรียมเสบียงสำหรับสามวันให้สามชุดด้วย” ชวีฉู่พูดอารมณ์ดี
พนักงานในร้านทำงานคล่องแคล่ว ยกซาลาเปามาให้อย่างรวดเร็ว แถมยังเป็นซาลาเปาไส้เนื้ออีกด้วย ครั้งสุดท้ายที่ได้กินเนื้อก็คือเมื่อสามวันก่อน แน่นอนว่าหลินมู่อวี่กัดซาลาเปาคำโต ซัดซาลาเปาเข่งนั้นอย่างรวดเร็ว  ทำเอาองค์หญิงมองตาค้าง “โห มู่มู่ นายเป็นฟู่หนีกลับชาติมาเกิดหรือไง!”
“หา? ฟู่หนีคืออะไรหรือ” หลินมู่อวี่ไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูด แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมองค์หญิงน้อยเรียกตนเองว่ามู่มู่ ให้ความรู้สึกแปลกๆ ทีเดียว หลินมู่อวี่ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นกันเองจากตัวของถังเสี่ยวซี ไม่ใช่ความหยิ่งยโสแบบเด็กสาวตระกูลสูงศักดิ์แบบนั้น ถ้าถังเสี่ยวซีเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ประเภทนั้น เกรงว่าตอนนี้คงเห็นตัวเองเป็นแค่คนรับใช้ไปนานแล้ว คงไม่เต็มใจจะพูดกับตนแม้แต่ประโยคเดียว
ชวีฉู่ยิ้มน้อยๆ “มันเป็นสัตว์ประหลาดในยุคปฐมกาลตามตำนาน นิสัยตะกละ มีพละกำลังมหาศาล ต่อมาเป็นเพราะกินมากไปจึงขยับตัวไม่ไหว ถูกอ๋องกวางหมิงสังหารในที่สุด ขนของมันถูกนำไปทำเสื้อคลุมของพระราชาด้วย”  
ถังเสี่ยวซียิ้มแล้วแลบลิ้น ค่อยๆ ทานซาลาเปาของนางต่อ
ทานอาหารเสร็จ ชวีฉู่นำอาหารและน้ำที่ห่อเรียบร้อยใส่ถุงหนังที่ห้อยอยู่ข้างอานม้าของหลินมู่อวี่แล้วพูดว่า “อาศัยตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างรีบเดินทางต่อกันเถอะ!”
“ผู้อาวุโสชวี ทำไมเราต้องรีบขนาดนี้ด้วยล่ะขอรับ” หลินมู่อวี่อดถามไม่ได้ว่า
ชวีฉู่ยิ้ม “เพราะวันนี้ยามที่พระอาทิตย์ขึ้น จะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าต้องทรมานยังไงเล่า”
“ทำไมล่ะขอรับ”
“ภายในครึ่งชั่วยามหลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ข้าจะต้องปลุกวิญญาณยุทธ์ที่หลับใหลอยู่ในตัวเจ้าขึ้นมาน่ะสิ!” ดวงตาของชวีฉู่เป็นประกาย กล่าวอย่างมั่นใจ “ผู้ฝึกตนถ้าแม้แต่วิญญาณยุทธ์ยังปลุกขึ้นมาไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเศษสวะ ข้าปลุกวิญญาณยุทธ์ตอนอายุสิบสี่ องค์หญิงซีอายุเก้าขวบก็ปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ได้รับสืบทอดกันมาในตระกูลแล้ว”
“วิญญาณยุทธ์ที่สืบทอดในตระกูลคืออะไรขอรับ”

“ยามหยิน (ช่วงเวลาระหว่างตีสามถึงตีห้า) แล้ว หลินมู่อวี่ ออกเดินทางกันเถอะ!”
ในความฝัน เสียงเคาะประตูดังสนั่นของชวีฉู่ดังเข้ามา หลินมู่อวี่สะดุ้งตื่น มองออกไปนอกหน้าต่าง บนท้องฟ้ายังคงมีดาว ยามนี้อย่างมากก็คงจะตีสามตีสี่เองนี่นา!
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรีบร้อนเดินทาง ทว่าหลินมู่อวี่ก็กระโดดลงจากเตียงตามคำสั่ง รีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา เขากระหายความแข็งแกร่งเหลือเกิน และชวีฉู่ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็คือคนที่จะนำพลังอันแข็งแกร่งมาให้แก่เขา 
“ท่านอาจารย์ ฟ้ายังไม่สว่างก็จะออกเดินทางเลยหรือ ข้าขอไปลาท่านปู่กับฉู่เหยาก่อนนะขอรับ”
“ไม่ต้องลาแล้ว ไปกันเถอะ!”
ท่ามกลางความมืด ชวีฉู่ในชุดยาวสีขาวกล่าวขึ้นโดยไม่ลังเล “เช้าวันใหม่เป็นช่วงเวลาสำคัญ เจ้าคิดจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ อีกสามวันเจ้ากลับมาค่อยมานอนให้พอก็ยังได้ แล้วก็ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า เป็นแค่ผู้ชี้แนะเจ้าสามวันเท่านั้น ข้าชวีฉู่จะไม่รับลูกศิษย์จวบจนชั่วชีวิต เจ้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสชวีเหมือนเดิมเถอะ เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“อือ”
หลินมู่อวี่เดินตามชายชราไปที่ลานหน้าบ้าน โดยมีถังเสี่ยวซีองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ตามมาด้วย มือนางถือดาบเล่มบาง จูงม้ามาสองตัว แล้วยื่นบังเหียนม้าตัวหนึ่งให้หลินมู่อวี่ “นี่ม้าเจ้า”
“หืม?”
“นี่เป็นม้าชั้นดี สบายเจ้าเลยนะเนี่ย” ถังเซียวซีหัวเราะคิกคัก
หลินมู่อวี่หันไปมองม้าตัวนั้น เป็นม้าชั้นยอดจริงๆ รูปร่างกำยำ ขนพลิ้วสลวย อีกทั้งยังมีแววตาสดใส แค่มองก็รู้ว่าเป็นม้าชั้นเลิศ หันไปดูม้าของถังเสี่ยวซี เป็นม้าตัวเล็กขนสีแดงเพลิง ร่างเล็กบอบบางเหมาะกับเจ้าของเสียจริงๆ
ถังเสี่ยวซีราวกับอ่านใจเขาออก อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าคิดว่าเพลิงพันลี้ของข้าดูอ่อนแอใช่ไหมล่ะ จะลองแข่งกันหน่อยไหม ข้ารับประกันว่าไม่เกินหนึ่งก้านธูปข้าทิ้งห่างเจ้าไม่เห็นฝุ่นแน่นอน!”
หลินมู่อวี่เดาะลิ้น เขาไม่ได้คิดจะท้าทายองค์หญิงผู้นี้ ที่แท้เจ้าม้าตัวเล็กสีแดงเพลิงตัวนี้ก็ชื่อเพลิงพันลี้นี่เอง ชื่อช่างเหมาะกับรูปร่าง แต่จะวิ่งได้วันละพันลี้จริงหรือไม่นั้นก็อีกเรื่อง
ชวีฉู่ที่อยู่ด้านหน้าสุดจูงม้าตัวใหญ่สีดำมา ขาทั้งสี่ของมันถูกตอกเกือกม้าเรียบร้อย แถมที่สะโพกของม้ายังถูกตีสัญลักษณ์รูปดอกจื่อยินด้วย ม้าตัวนี้เป็นม้าศึก!
“ออกจากเมืองหยินซานก่อนฟ้าสาง กระหม่อมได้ยินว่าทางตอนใต้ของเมืองมีร้านซาลาเปาอยู่ เราแวะทานมือเช้าที่นั่นแล้วค่อยเดินทางต่อ” ชวีฉู่เอ่ยขึ้น
“ขอรับ” หลินมู่อวี่ระมัดระวังคำพูด
ถังเสี่ยวซีกลับหัวเราะ “ผู้เฒ่าชวี ยังมีอะไรที่อร่อยกว่าซาลาเปาไส้เนื้อผสมดอกยินของเมืองหลวงด้วยหรือ”
ชวีฉู่หยุดหัวเราะ “องค์หญิงทรงล้อกระหม่อมเล่นแล้ว เนื้อวัวดอกยินของเมืองหลวงจัดว่าสุดยอดแล้ว แม้แต่องค์จักรพรรดิยังทรงมาลิ้มลองด้วยพระองค์เอง แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้”
“ก็ใช่น่ะสิ!” ถังเสี่ยวซีเม้มปากแล้วยิ้ม “พอพูดถึงของอร่อยในเมืองหลวง จู่ๆ ข้าก็คิดถึงเสี่ยวยินขึ้นมา”
ชวีฉู่ตอบ “เราจะฝึกกันในป่าสัตตะดาราสามวัน เพื่อให้องค์หญิงบรรลุถึงระดับที่สามสิบ จากนั้นพวกเราจะกลับเมืองหลวง แล้วพระองค์ก็จะได้พบฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม!”
ออกมาจากเมืองมาแล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่สว่าง มีเพียงท้องฟ้าทางตะวันออกเริ่มเป็นสีขาว ชวีฉู่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น มีร้านซาลาเปาอยู่ในป่านอกเมืองเหมือนที่เขาบอกไว้จริงๆ บริเวณนี้อยู่ใกล้ป่าสัตตะดารา บางทีก็มีสัตว์ร้ายปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นร้านซาลาเปานี้เปิดขายอยู่ที่นี่ก็เพื่อบริการอาหารให้แก่พ่อค้าและแขกที่มาพักค้างคืนในโรงเตี๊ยม เวลานี้ฟ้ายังไม่สว่าง พนักงานในร้านก็ยุ่งกับการนึ่งซาลาเปาแล้ว 
“น้องชาย ขอซาลาเปาพวกข้าคนละชุด แล้วช่วยเตรียมเสบียงสำหรับสามวันให้สามชุดด้วย” ชวีฉู่พูดอารมณ์ดี
พนักงานในร้านทำงานคล่องแคล่ว ยกซาลาเปามาให้อย่างรวดเร็ว แถมยังเป็นซาลาเปาไส้เนื้ออีกด้วย ครั้งสุดท้ายที่ได้กินเนื้อก็คือเมื่อสามวันก่อน แน่นอนว่าหลินมู่อวี่กัดซาลาเปาคำโต ซัดซาลาเปาเข่งนั้นอย่างรวดเร็ว  ทำเอาองค์หญิงมองตาค้าง “โห มู่มู่ นายเป็นฟู่หนีกลับชาติมาเกิดหรือไง!”
“หา? ฟู่หนีคืออะไรหรือ” หลินมู่อวี่ไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูด แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมองค์หญิงน้อยเรียกตนเองว่ามู่มู่ ให้ความรู้สึกแปลกๆ ทีเดียว หลินมู่อวี่ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นกันเองจากตัวของถังเสี่ยวซี ไม่ใช่ความหยิ่งยโสแบบเด็กสาวตระกูลสูงศักดิ์แบบนั้น ถ้าถังเสี่ยวซีเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ประเภทนั้น เกรงว่าตอนนี้คงเห็นตัวเองเป็นแค่คนรับใช้ไปนานแล้ว คงไม่เต็มใจจะพูดกับตนแม้แต่ประโยคเดียว
ชวีฉู่ยิ้มน้อยๆ “มันเป็นสัตว์ประหลาดในยุคปฐมกาลตามตำนาน นิสัยตะกละ มีพละกำลังมหาศาล ต่อมาเป็นเพราะกินมากไปจึงขยับตัวไม่ไหว ถูกอ๋องกวางหมิงสังหารในที่สุด ขนของมันถูกนำไปทำเสื้อคลุมของพระราชาด้วย”  
ถังเสี่ยวซียิ้มแล้วแลบลิ้น ค่อยๆ ทานซาลาเปาของนางต่อ
ทานอาหารเสร็จ ชวีฉู่นำอาหารและน้ำที่ห่อเรียบร้อยใส่ถุงหนังที่ห้อยอยู่ข้างอานม้าของหลินมู่อวี่แล้วพูดว่า “อาศัยตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างรีบเดินทางต่อกันเถอะ!”
“ผู้อาวุโสชวี ทำไมเราต้องรีบขนาดนี้ด้วยล่ะขอรับ” หลินมู่อวี่อดถามไม่ได้ว่า
ชวีฉู่ยิ้ม “เพราะวันนี้ยามที่พระอาทิตย์ขึ้น จะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าต้องทรมานยังไงเล่า”
“ทำไมล่ะขอรับ”
“ภายในครึ่งชั่วยามหลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ข้าจะต้องปลุกวิญญาณยุทธ์ที่หลับใหลอยู่ในตัวเจ้าขึ้นมาน่ะสิ!” ดวงตาของชวีฉู่เป็นประกาย กล่าวอย่างมั่นใจ “ผู้ฝึกตนถ้าแม้แต่วิญญาณยุทธ์ยังปลุกขึ้นมาไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเศษสวะ ข้าปลุกวิญญาณยุทธ์ตอนอายุสิบสี่ องค์หญิงซีอายุเก้าขวบก็ปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ได้รับสืบทอดกันมาในตระกูลแล้ว”
“วิญญาณยุทธ์ที่สืบทอดในตระกูลคืออะไรขอรับ”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด