War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2951

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2951 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 2,951 : ข่าวของไส้เดือนฝอยทอง
 
 
และในความเป็นจริง เรื่องมันก็เป็นดั่งที่หวงเจียหลงกล่าวไว้ไม่มีผิด
 
เพราะราวๆ 10 วันต่อมา ฮ่องเต้ฝูชิวก็ได้ส่งคนมาพบต้วนหลิงเทียน “คุณชายต้วน ทางเราได้เบาะแสของไส้เดือนฝอยทองแล้วขอรับ”
 
“อ้อ”
 
ลูกตาต้วนหลิงเทียนฉาแสงจ้าออกมาวาบหนึ่ง จากนั้นก็มองถามคนที่มารายงานเร็วไว “แล้วไส้เดือนฝอยทองอยู่ที่ไหนรึ?”
 
“อยู่ในเมืองหลวงของประเทศตันจี้ ที่เป็นประเทศข้างเคียงกับประเทศฝูชิวเรานี่เอง…และยังอยู่ในมือของคนตระกูลราชวงศ์ประเทศตันจี้”
 
ได้ยินคำถามไถ่ของต้วนหลิงเทียน คนที่มารายงานก็ไม่กล้ารอช้า เร่งกล่าวรายงานเรื่องราวออกไปตรงๆ “และในมือตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้ยังมีไส้เดือนฝอยทองอยู่ด้วยกันถึง 2 ตัว…หลังจากที่ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ พระองค์ก็เร่งติดต่อไปด้วยตัวเองเป็นการด่วน และยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อมันทันไม่ว่าทางประเทศตันจี้จะคิดเท่าไหร่ก็ตาม…”
 
“อนิจจาฝ่าบาทที่ใช้ยันต์อมตะสื่อสารติดต่อกับฮ่องเต้ตันจี้โดยตรง…มิคาดกลับถูกปฏิเสธ”
 
กล่าวจบผู้ที่มารายงานก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
 
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าเบาะแสแรกของไส้เดือนฝอยทอง ที่พึ่งได้มา ไม่ทันได้ทำอะไรก็มาถึงทางตันแบบนี้ ทำให้เขาผิดหวังไปอยู่บ้าง
 
ทว่าวาจาต่อมาของผู้ที่มารายงานเรื่องงราว กลับทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยไม่คิดว่าเรื่องราวจะผลิกโผเอาตอนจบ
 
“อย่างไรก็ตาม ที่ทางฮ่องเต้ตันจี้ปฏิเสธฝ่าบาทก็มิใช่ว่าไม่มีเหตุผล นั่นเพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนยังมีฮ่องเต้ของอีก 2 ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงได้ใช้ยันต์อมตะสื่อสารติดต่อฮ่องเต้ตันจี้โดยตรงเช่นกัน…และฮ่องเต้อีก 2 ประเทศก็ล้วนต้องการไส้เดือนฝอยทองเหมือนทางเรา”
 
“ตอนนั้นฮ่องเต้ตันจี้ก็ตัดสินใจแก้ปัญหาโดยจะขายไส้เดือนฝอยทองให้ฮ่องเต้ทั้ง 2 ประเทศคนละตัว ทว่าทั้งคู่ล้วนปฏิเสธและต้องการไส้เดือนฝอยทองทั้งสองตัว”
 
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฮ่องเต้ตันจี้ย่อมไม่อาจเลือกได้ว่าจะทำอย่างไร เพราะหากเลือกใครก็ต้องมีคนผิดใจกับตน สุดท้ายจึงตัดสินใจที่จะจัดงานประมูลประจำตระกูลราชวงศ์อีก 2 เดือนให้หลัง และในงานก็จะนำไส้เดือนฝอยทองลงประมูลด้วย”
 
“และทางเราได้ข่าวมาว่า ฮ่องเต้ของอีก 2 ประเทศก็เตรียมส่งคนไปเข้าร่วมการประมูลของตระกูลราชวงศ์ตันจี้กันแล้ว…”
 
พอผู้ที่มารายง่านเรื่องราวกล่าวถึงจขุดนี้ ก็หยุดลงเล็กน้อยค่อยพูดต่อว่า “ดังนั้นฝ่าบาทจึงตัดสินใจส่งเจ้าเมืองหวงแห่งเมืองตู้อวิ๋นให้ไปเมืองหลวงของประเทศตันจี้ เพื่อเข้าร่วมงานประมูลที่จะจัดขึ้นในอีก 2 เดือนหลังจากนี้ และประมูลไส้เดือนฝอยทองมาให้จงได้”
 
“ดังนั้นฝ่าบาทจึงให้ข้ามารายงานคุณชายต้วนว่า…จำต้องรอการประมูลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีก 2 เดือนก่อน ทางประเทศฝูชิวเราถึงจะมีโอกาสนำไส้เดือนฝอยทองมาให้ท่านได้”
 
ผู้มารายงานกล่าวออกมารวดเดียวจบ
 
“งานประมูลของตระกูลราชวงศ์ตันจี้รึ?”
 
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวาบ กล่าวพึมพำเบาๆ “ฮ่องเต้อีก 2 ประเทศเองก็ต้องการไส้เดือนฝอยทองด้วยงั้นเหรอ…หรือว่าพวกมันตั้งใจจะหลอมโอสถเฉียนจินเหมือนกัน?”
 
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะจงใจกล่าวเสียงเบาแล้ว หากแต่ผู้รายงานก็ยังคงได้ยินอยู่ดี “คุณชายต้วน ฮ่องเต้ของอีก 2 ประเทศต้องการมันเพื่อไปหลอมโอสถเฉียนจินจริงๆ”
 
“ว่ากันว่าองค์ชาย 7 ที่เป็นโอรสที่ฮ่องเต้โม่หลุนรักมากที่สุด ได้ฝึกฝนวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับขุนนางจนแตกฉานทุกชนิดแล้วหากทว่าด่านพลังยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์เท่านั้น แต่ด้วยโอสถเฉียนจิน องค์ชาย 7 โม่หลุนย่อมเฉิดฉายในการเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ได้แน่นอน และสมควรได้รับการตอบรับจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลอย่างสูง”
 
“ทางด้านฮ่องเต้ของประเทศตงหมิง ก็ปรากฏผู้ฝึกตนอัจฉริยะไน้สังกัดอันร้ายกาจผู้หนึ่ง…และอัจฉริยะผู้นั้นแม้จะเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ หากแต่เพราะมันได้เข้าใจพลังแห่งกฏแล้ว ทำให้พลังฝีมือของมันถึงขั้นสยบปราบยอดเซียนอมตะชนชั้นสุดยอดฝีมือทั้งหมดในประเทศตงหมิงได้อย่างราบคาบ!”
 
“ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ฮ่องเต้ตงหมิงเองก็อยากได้โอสถเฉียนจินถึงขีดสุด เพื่อมอบให้อัจฉริยะที่เป็นผู้ฝึกตนพเนจรผู้นั้น…ถึงแม้หลังได้รับโอสถเฉียนจินไปแล้ว สุดท้ายอัจฉริยะผู้นั้นก็ต้องจากไปเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูล และไม่มีความผูกพันอันใดกับประเทศตงหมิง แต่ฮ่องเต้ตงหมิงก็เชื่อว่าด้วยศักยภาพและความสามารถของมัน หลังออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ต้องถูกประเมินให้เป็นอัจฉริยะระดับสูงสุดแน่นอน”
 
“อัจฉริยะเช่นนี้หลังจากเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลแล้ว ขุมกำลังได้ที่ได้รับตัวมันไป ย่อมไม่ตระหนี่รางวัลต่อประเทศต้นสังกัด ที่สามารถเฟ้นหาอัจฉริยะเช่นนี้มาให้เป็นแน่”
 
กล่าวถึงจุดนี้ ผู้ที่มารายงานก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง “สถานการณ์ของอัจฉริยะไร้สังกัดผู้นั้นในประเทศตงหมิง กล่าวไปก็เหมือนคุณชายต้วนไม่มีผิด”
 
“คุณชายต้วนตัวท่านเองก็อาศัยด่านพลังขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ สยบยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของประเทศฝูชิวเราในการประลองสวรรค์ใต้ได้อย่างราบคาบ!”
 
“กล่าวได้ว่า ถ้าคุณชายต้วนที่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ เป็นอันดับ 1 ในขอบเขตยอดเซียนอมตะของประเทศฝูชิวเรา…เช่นนั้นผู้ฝึกตนไร้สังกัดอัจฉริยะผู้นั้น ก็เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ ที่มีพลังฝีมือเป็นอันดับ 1 ในขอบเขตยอดเซียนอมตะของประเทศตงหมิง!”
 
ผู้ที่มารายง่านกล่าวสืบต่อ
 
“ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ เข้าใจพลังของกฏแล้ว?”
 
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันทีเมื่อได้ยินคำรายงานดังกล่าว
 
เขารู้ดีว่าเรื่องนี้หมายความว่าอะไร
 
นั่นหมายความว่ายอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ผู้นั้น มีวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชา ที่มีพลังอำนาจแห่งกฏแฝงเร้นไว้ให้มันฝึกปรือ! และมันก็ฝึกฝนวรยุทธ์กับเวทย์พลังระดับราชาดังกล่าวจนเข้าถึงพลังแห่งกฏได้แล้ว!
 
ด้วยเหตุนี้อัจฉริยะไร้สังกัดผู้นั้น จึงสามารถใช้ด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ สยบปราบตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหมดในประเทศตงหมิงลงได้อย่างราบคาบ!!
 
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินได้หันมามองหน้าสบตากัน และต่างเห็นถึงความตกใจในแววตาของอีกฝ่าย
 
เหตุผลที่ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้เอาชนะหวงเจียหลงได้อย่างง่ายดายนั้น เป็นเพราะพึ่งพาพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่เหลืออยู่จากการใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองได้อย่างแยบคาย…
 
หลังพลังที่ได้รับมาหมดลง ให้เขาลองถามตัวเองดูว่าตอนนี้ถ้าต้องไปต่อยตีกับหวงเจียหลงอีกครั้งผลจะเป็นอย่างไร เขาก็ตอบได้ไม่อายปากทันทีว่า…ต่อให้ใช้ออกด้วยทุกสิ่งที่มีก็ไม่อาจเอาชนะหวงเจียหลงได้!
 
เพราะถึงแม้เขากับหวงเจียหลงจะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาเหมือนกัน และวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางที่ฝึกปรือก็แตกฉานพอๆกัน ทว่าด่านพลังของหวงเจียหลงกลับอยู่สูงกว่าเขาขั้นหนึ่งเต็มๆ และนั่นคือช่องว่างที่ยากจะข้ามผ่าน
 
“ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่ไร้สังกัดผู้นั้น ก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน!”
 
และสิ่งที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินต้องตกใจอีกรอบก็คือ ประโยคที่พึ่งล่วงล้ำออกมาจากลำคอของผู้มารายงาน!
 
อายุไม่ถึงร้อยปี…บรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนยอมตะขั้นสวรรค์ และเข้าถึงพลังแห่งกฏ…
 
นี่มันปีศาจร้ายอันใดกัน!?
 
“ในประเทศตงหมิงยามนี้ยังมีข่าวลือกันหนาหูอีกว่า…ผู้ฝึกตนอัจฉริยะไร้สังกัดผู้นั้น คือผู้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ และชาติที่แล้วสมควรเป็นตัวตนอันทรงพลังอย่างยิ่งยวด อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงเรื่องนี้ยังมิมีผู้ใดยืนยันได้ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานลอยๆของผู้คนเท่านั้น”
 
หลังคนที่ฮ่องเต้ฝูชิวส่งมากล่าวรายงานเรื่องทั้งหมดจบ มันก็ขอตัวลาจากไป ทว่าพอเดินไปถึงประตูมันก็คล้ายฉุกคิดอะไรได้จึงหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
 
“คุณชายต้วน ฝ่าบาทยังตรัสอีกว่า หากท่านสนใจจะเข้าร่วมการประมูลที่เมืองหลวงของประเทศตันจี้ในอีก 2 เดือนหลังจากนี้ ท่านสามารถไปกับเจ้าเมืองหวงได้”
 
“เรื่องนี้ท่านไปติดต่อเจ้าเมืองน้อยไว้ก่อนเลยก็ได้”
 
หลังผู้มารายงานเอ่ยจบคำ มันก็วูบร่างจากไปทันที คงเหลือแต่ภาพติดตาที่ค่อยๆพร่าเลือนหายไปในสายตาของต้วนหลิงเทียน
 
อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะเหม่อมองร่างที่กำลังเลือนหาย แต่ใจเขานั้นยังคงติดอยู่กับอัจฉริยะไร้สังกัดผู้นั้น
 
ในฐานะที่เป็นคนอายุไม่ถึงร้อยปีเหมือนกัน เขาจึงเข้าใจได้ทันที ว่าหากคนผู้นั้นไม่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ น่ากลัวว่าคงต้องพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่มาแน่!
 
มิฉะนั้นไม่มีทางประสบความสำเร็จเลิศล้ำถึงขนาดนี้ได้ทั้งที่อายุยังน้อยเด็ดขาด
 
“ก่วงหลิน เรื่องผู้ฝึกตนอัจฉริยะไร้สังกัดของประเทศตงหมิง…เจ้ามีความเห็นว่ายังไง?”
 
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามหลิวก่วงหลิน
 
“นายท่าน…”
 
หลิวก่งหลินกล่าวออกเสียงขรึม “ผู้ฝึกตนอัจฉริยะไร้สังกัดของประเทศตงหมิงผู้นั้น การที่มันสามารถเข้าถึงพลังแห่งกฏได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงร้อยปี หากมิใช่เป็นอัจฉริยะที่มีศักยภาพท้าทายสวรรค์ ก็สมควรเป็นผู้ยิ่งใหญ่กลับชาติมาเกิดจริงๆ”
 
“เพราะผู้ที่กลับชาติมาเกิดนั้น ถึงแม้จะต้องเริ่มบ่มเพาะฝึกปรือใหม่แต่ต้น ทว่าด้วยความทรงจำและองค์ความรู้จากอดีตชาติ ย่อมไม่ขาดเคล็ดอมตะวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังที่เคยฝึกปรือ แม้กระทั่งกฏที่ตัวมันเคยเข้าใจในชาติที่แล้ว…”
 
หลิวก่วงหลินกล่าว
 
“อย่างไรก็ตาม ในระนาบเทวโลกนั้นถึงแม้เรื่องผู้ที่กลับชาติมาเกิดจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร และมีให้เห็นอยู่ไม่ขาด แต่ตัวตนเช่นนี้ ก็มีปรากฏขึ้นมาน้อยนัก…ประการแรกเลยน้อยคนที่จะยินดีสละทุกสิ่งอย่างที่เพียรสร้างมาเพื่อเริ่มต้นใหม่ ประการที่ 2 คิดกลับชาติมาเกิดใหม่มิใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น กล่าวไปยังต้องแบกรับความเสี่ยง 9 ตาย 1 รอดอีกด้วย…”
 
หลิวก่วงหลินกล่าวความคิดเห็นออกมา ก่อนที่จะสรุปในมุมมองของมันว่า “ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า มันสมควรเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์เป็นทุน และยังพบพานโชควาสนาสุดที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ออก ถึงสามารถมีวันนี้ได้”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
 
อันที่จริงเขาเองก็คิดว่าสมควรเป็นแบบนี้เหมือนกัน
 
‘ไม่รู้…ว่าหากข้าได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชามาบ้าง ข้าจะเข้าถึงพลังแห่งกฏได้ก่อนอายุร้อยปีหรือไม่…’
 
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
 
“ตราบใดที่เจ้าได้รับวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาที่มีกฏแห่งไฟมาตอนนี้ อาศัยความช่วยเหลือจากเพลิงเทพโกลาหล เรื่องจะเข้าถึงกฏแห่งไฟนับว่าเป็นเรื่องราวอันง่ายเสียยิ่งกว่าง่ายสำหรับเจ้า”
 
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่นั้น เสียงคุ้นเคยหนึ่งพลันดังขึ้นในหัว และยังดังขึ้นมาจากบริเวณใกล้ๆดวงจิตของเขา
 
“ทองเทพสุดลี้ลับ!?”
 
ในขณะที่ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายจ้า เสียงดังกล่าวก็เริ่มดังขึ้นสืบต่อ น้ำเสียงยังแลดูร้อนใจไม่น้อย
 
“เจ้าหนู! เพลิงเทพโกลาหลทิ้งข้อความไว้ให้ข้าว่า…เจ้าได้รับทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 มางั้นรึ?!”
 
“เร็วเข้า! รีบนำออกมาให้ข้า!!”
 
เจ้าของเสียงที่ดังขึ้นในหัวเขาตอนนี้ ก็คือทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ที่คอยแผ่พลังปกป้องคุ้มครองดวงจิตเขามาโดยตลอด
 
และฟังจากคำพูดของทองเทพสุดลี้ลับแล้ว เห็นได้ชัดว่าก่อนที่เพลิงเทพโกลาหลจะเข้าสู่นิทราอีกครั้ง ได้มีฝากข้อความอะไรไว้ให้ทองเทพสุดลี้ลับ บอกเรื่องที่เขาได้รับทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกมา
 
ได้ยินน้ำเสียงรีบร้อนของทองเทพสุดลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเรียกหินก้อนนั้นอันเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ออกมาจากแหวนพื้นที่ทันที
 
และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่หินก้อนนั้นผุดจากความว่างเปล่าตกลงมาเข้ามือเขา เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพลังลี้ลับขุมหนึ่งพุ่งออกมาจากบริเวณใกล้เคียงดวงจิตเขา และไปปกคลุมที่มือเขาทันที
 
กล่าวให้ชัดคือมันแผ่พุ่งไปปกคลุมสิ่งที่อยู่ในมือเขา
 
ทันใดนั้นหินก้อนดังกล่าวก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา!
 
“หึ! ไอ้หนูเอย…เจ้ากระทั่งสำนึกสติยังไม่ก่อเกิดแท้ๆ แต่ยังริอาจแข็งข้อต่อต้านข้ารึ? มาเป็นส่วนหนึ่งของข้าเสียแต่โดยดีเถอะ ไอ้หนู!!”
 
พอเสียงของทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้นอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นได้ชัดเจนว่าหินในมือเขาบัดนี้ได้ถูกพลังสีทองหลอมจนละลายลงด้วยความเร็ว พริบตาจากวัตถุมีสภาพก็สลายกลับกลายเป็นกระแสพลังขุมหนึ่ง รวมผสานไปกับพลังสีทองอย่างแยกไม่ออก
 
หลังจากนั้นพลังสีทองที่ส่องแสงจ้าเหนือฝ่ามือเขา ก็หดหายกลับไปเข้าไปในฝ่ามือเขาด้วยความเร็ว ยังรวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่พวยพุ่งออกมาเสียอีก…
 
ต้วนหลิงเทียนย่อมรับทราบได้ดีว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร เป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ได้ถูกทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 หลอมกลืนไปเรียบร้อยแล้ว…
 
“นายท่าน…นะ…นั่นมันอะไรกัน?”
 
หลิวก่วงหลินที่ยืนอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนย่อมเห็นเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นชัดถนัดตา มันถึงกับตกตะลึงอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ ในแววตาฉายชัดถึงความสับสนและไม่เข้าใจ ว่ามันเกิดเรื่องผีสางอะไรขึ้นกันแน่…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด