War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2932

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2932 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

WSSTH ตอนที่ 2,932 : แดนสวรรค์ใต้โบราณ
 
 
ปงงงง!!
 
อย่างไรก็ตามคำตอบของคำถามชายหนุ่มชุดหรูนั้น ต้วนหลิงเทียนเลือกจะใช้การกระทำแทนวาจา!
 
หนึ่งพลองตวัดซัดคลื่นพลังสีม่วงสายหนึ่งลัดฟ้าไปฉับไว ป่นทำลายร่างชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์ให้เดินตามรอยชายชรา กลับกลายเป็นหมอกเลือดร่วงฟ้าไปห่าหนึ่ง…
 
“ถึงก่อนที่ข้าจะตีเจ้าตายเจ้าจะสามารถส่งยันต์อมตะสื่อสารออกไปได้…แต่ใครมันจะรู้ว่าข้าเป็นคนฆ่าเจ้า”
 
หลังฟาดพลองซัดพลังป่นร่างชายหนุ่มชุดหรูจนกลายเป็นละอองเลือดหล่นฟ้าไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พึมพำออกมาเสียงเบา
 
เมื่อครู่วินาทีสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มชุดหรูจะตายตก เขาเห็นว่าอีกฝ่ายได้หยิบยันต์อมตะสื่อสารออกมา
 
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยันต์อมตะสื่อสารที่นำส่งข้อมูลได้รวดเร็วดุจการเหินบินของราชาอมตะ จนเขาไม่อาจหยุดเอาไว้ได้ทัน…
 
‘น่าเสียดาย…ถึงจะใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาแล้วแท้ๆ แต่ยังเสียพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดไปมาก ตอนนี้ระดับพลังของข้าตกลงไปจนทัดเทียมได้กับขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น’
 
ถึงแม้ว่าการสังหารชายหนุ่มชุดหรูเมื่อครู่ จะแทบไม่ได้สิ้นเปลืองพลังอะไร แต่ที่ทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองพลังจริงๆ คือการเข่นฆ่าชายชราต่างหาก!
 
แม้เขาจะใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาแล้ว แต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ต้องจ่ายออกไปก็ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว! จนตอนนี้พลังในร่างของเขาที่เหลือ มันเทียบได้กับขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น
 
ระดับพลังวิญญาณในร่างเองก็ลดทอนลงมาตามระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด
 
เป็นธรรมดาว่าถึงต้วนหลิงเทียนจะใช้การโจมตีด้วยพลังวิญญาณ แต่เมื่อระดับพลังวิญญาณลดลง พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็จะลดลงตามเช่นกัน
 
ด้วยเหตุนี้จะใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดลงมือก็ดี พลังวิญญาณลงมือก็ดี ล้วนมีค่าเท่ากัน!
 
ยิ่งไปกว่านั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้พลังวิญญาณแต่อย่างไร เช่นนั้นหากคิดเข่นฆ่าผู้อื่นด้วยการใช้พลังวิญญาณจริงๆ ก็มีแต่จะทำให้สิ้นเปลืองพลังมากขึ้นเท่านั้น
 
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะละทิ้งการลงมือด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ถนัด ไปใช้พลังวิญญาณที่ไม่คุ้นชิน…
 
“ก่วงหลิน เราไปกันเถอะ”
 
หลังใช้พลังเก็บแหวนพื้นที่ของชายชรากับชายหนุ่มุชดหรูมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองหลิวก่วงหลินพลางเอ่ยชวนเสียงเบา
 
“ทราบแล้วนายท่าน!”
 
หลิวก่วงหลินก็เร่งตอบรับฉับไว จากนั้นก็ใช้พลังหอบหิ้วต้วนหลิงเทียน พุ่งทะยานข้ามฟ้ามุ่งตรงไปยังเมืองหลวงของประเทศฝูชิวเร็วไว
 
และในขณะเหินร่างเดินทาง หลิวก่วงหลินก็เร่งหยิบชุดใหม่ออกมาสวม และการแต่งกายของมันยังแตกต่างจากรูปแบบเดิมที่เรียบง่ายธรรมดาไปผิดหูผิดตา
 
“นี่เจ้าระแวงมากเกินไปรึเปล่า…”
 
พอเห็นหลิวก่วงหลินถึงกับเปลี่ยนรูปแบบการแต่งกายต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “อาศัยด่านพลังฝึกปรือของมัน ในห้วงเวลาสั้นๆเมื่อครู่ ถึงมันจะหยิบยันต์อมตะสื่อสารออกมาใช้ได้ทันก่อนตาย…”
 
“แต่มันที่กำลังตื่นตระหนกและกลัวตายแบบนั้น ไม่มีทางบอกลักษณะรูปร่างพวกเราได้ละเอียดแน่นอน”
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
 
เมื่อครู่ตอนที่ชายหนุ่มชุดหรูหยิบยันต์อมตะสื่อสารออกมา ต้วนหลิงเทียนก็เห็นชัดเจน
 
ยิ่งไปกว่านั้นพอหยิบออกมาแล้วชายหนุ่มก็รีบร้อนส่งมันออกไปทันที
 
ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงเท่านั้น เต็มที่อีกฝ่ายก็แค่บอกว่ากำลังโดนโจมตี และโดนโจมตีที่ไหนเท่านั้น มันแค่หวังให้มีคนเร่งรุดมาช่วยตัวเองให้เร็วที่สุด
 
“ข้าน้อยว่าระวังไว้ก่อนก็ดีนะนายท่าน…”
 
หลิวก่วงหลินกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
 
“ก็จริง”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและไม่คิดจะแย้งอะไร แต่นับว่าค่อนข้างพอใจกับความระวังของหลิวก่วงหลินไม่น้อย
 
“ด้านหน้านี่น่ะหรือ…เมืองหลวงของประเทศฝูชิว?”
 
พอหลิวก่วงหลินหอบหิ้วผ่านแนวเขามา ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นเมืองหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนที่ราบอันกว้างใหญ่
 
เมืองนี้มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าเมืองใดที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเห็นมาก่อน มองไปให้ความรู้สึกประหนึ่งสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ตัวเขื่องกำลังหมอบร่างพักผ่อนก็ไม่ปาน
 
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ระยะทางกว่าจะถึงเมืองยังอีกไกล ต้วนหลิงเทียนจึงรู้แค่ว่าเมืองนี้กว้างใหญ่มากเท่านั้น แต่ยังไม่อาจแลเห็นรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น
 
“นายท่าน…เมื่อครู่ตอนท่านเข่นฆ่าชายชราขอบเขตขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ผู้นั้น ท่านใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชางั้นหรือ?”
 
เมื่อเดินทางใกล้ถึงเมืองหลวงของประเทศฝูชิว หลิวก่วงหลินที่สงสัยมานาน ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
 
“ใช่”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
 
ถึงแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอได้ยินคำยืนยันของต้วนหลิงเทียนเข้าจริงๆ ลูกตาหลิวก่วงหลินยังอดไม่ได้ที่จะหดเล็กลง สีหน้าฉายชัดถึงความตื่นตระหนกตกใจ
 
อายุไม่ถึงร้อยปี บรรลุด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นปฐพี แถมยังมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาอีก!
 
จังหวะนี้หลิวก่วงหลินบังเกิดความอยากรู้ขึ้นมาจับใจ ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนเป็นใครมาจากไหนกันแน่ และมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด!
 
ตอนนี้หากมีใครมาบอกว่า นายท่านที่มันเลือกจะติดตามรับใช้ผู้นี้ไร้ภูมิหลังอันใด ให้เชือดคอมันจนตายมันก็ไม่เชื่อ
 
“ว่าแต่เจ้าถนัดสู้ระยะประชิดด้วยวิชาหมัดมวยงั้นรึ? พอดีข้ามีอุปกรณ์อมตะระดับราชาชิ้นหนึ่งที่น่าจะเหมาะกับเจ้า…”
 
ในขณะที่หลิวก่วงหลินกำลังคิดไปด้วยใจหวั่นเกรง เสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้นในหูอย่างประจวบเหมาะ ขณะเดียวกันมันก็สัมผัสได้ถึงสายลมหอบหนึ่งที่ตีปะทะเข้าหน้า ราวกับมีบางสิ่งกำลังพุ่งเข้ามา
 
มันจึงเอื้อมมือขึ้นมาคว้ารับบางสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พบว่าวัตถุที่มันคว้าเอาไว้ ที่แท้เป็นสนับมือรูปแบบแหวนแฝด ที่สมควรสวมใส่ได้แค่นิ้วชี้กับนิ้วกลางเท่านั้น
 
ที่สำคัญสนับมือแหวนแฝดดังกล่าวยังแผ่กลิ่นอายพลังลี้ลับออกมา เห็นชัดว่าเป็นกลิ่นอายที่แตกต่างจากอุปกรณ์อมตะระดับขุนนางอย่างสิ้นเชิง!
 
“นิ…นี่มัน…”
 
หลิวก่วงหลินไม่อาจสงบใจลงได้ เมื่อเห็นสนับมือแหวนแฝดในมือ กระทั่งใจยังเต้นระรัวขึ้นมาราวกลองศึก!
 
“นั่นก็เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาเช่นกัน…แต่อาศัยระดับพลังฝึกปรือของเจ้า อย่าได้ใช้มันให้ใครเห็นง่ายๆจะดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะชักนำเภทภัยมาสู่ตัวเปล่าๆ”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเบา
 
จากวาจาไม่อีนังขังขอบนี้ ทำราวกับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่พึ่งโยนให้ไป ไม่มีราคาค่างวดอันใด
 
อุปกรณ์อมตะระดับราชา!!
 
ร่างหลิวก่วงหลินสะท้านสั่นไปทันที จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาแดงฉาน เร่งกล่าวผ่านพลังออกมาทันที “นายท่าน…สิ่งนี้มีราคามากเกินไป ข้าน้อยไม่กล้ารับ!”
 
หลังกล่าวจบหลิวก่วงหลินก็ส่งแหวนแฝดดังกล่าวคืนให้ต้วนหลิงเทียน
 
“รีบเก็บไปเสีย…กลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเจ้ามีอุปกรณ์อมตะระดับราชารึไงหา? แล้วจดจำไว้ให้ดี ข้าต้วนหลิงเทียนไม่คิดรับของที่ข้าเคยมอบให้ใครคืน!”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเรียบ
 
พอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลิวก่วงหลินก็เร่งเก็บสนับมือแหวนแฝดทั้งหันมองไปรอบๆทันที สายตายังฉายแววแหลมคมแฝงความระแวดระวังถึงขีดสุด พอพบว่ารอบๆไม่มีผู้ใดสังเกตมาทางนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก…
 
“นายท่าน!”
 
หลิวก่วงหลินมองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่วางตา ลูกตามันก็ยังแดงรื่นอยู่นานไม่ยอมหาย “จากนี้ไปชีวิตข้าเป็นของท่าน…”
 
“ข้าหวังแค่เจ้าจะเก็บชีวิตน้อยๆนั่นของเจ้าไว้รับใช้ข้าให้ดีก็พอ…”
 
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
 
ทว่าเสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันดังจบคำดี
 
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
 
พลันปรากฏเสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไว 3 เสียงดังขึ้นจากทิศทางที่ตั้งเมืองหลวงประเทศฝูชิว! และความเร็วของแหล่งกำเนิดเสียงแหวกสายลมนั่นยังสูถึงขั้นต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินไม่อาจมองเห็นได้ชัดว่าเป็นใคร!!
 
อย่างไรก็ตามทั้งคู่พอจะสัมผัสได้ว่าสมควรเป็นคน 3 คนที่พลังฝึกปรือเหนือกว่ามาก!
 
ยิ่งไปกว่านั้นทิศทางที่ทั้ง 3 ร่างมุ่งหน้าไปยังงเป็บริเวณแนวเทือกเขา ที่ต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์!
 
“เร็วจริงๆ…”
 
ต้วนหลิงเทียนหยีตา
 
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้กลัวว่าทั้ง 3 จะค้นพบเขากับหลิวก่วงหลินแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เมื่อเหินร่างมาถึงพื้นที่ใกล้เมืองหลวงของประเทศฝูชิว ที่ลอยร่างสัญจรไปมาบนฟ้าก็ไม่ได้มีแค่พวกเขาเท่านั้น ยังมีหลายคนที่กำลังจะเข้าเมืองหลวงเช่นกัน!
 
ถึงแม้ว่าผู้คนจะไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไร แต่อย่างน้อยๆก็ต้องมี 2-3 ร้อยคน และยังมีคนที่เดินทางมาด้วยกัน 2 คนเหมือนพวกเขาอีกเป็นร้อยคู่
 
“รวดเร็วยิ่ง!”
 
“3 คนนั่น…อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นขุนนางอมตะ 4 รูป!”
 
“แต่ละคนเร่งรุดเดินทางเช่นนี้ ท่าทางจะมีเรื่องด่วนไม่น้อย”
 

 
หลังเสียงแหวสายลมของทั้ง 3 ร่างเงียบดับไปแล้ว เสียงสนทนาจากโดยรอบก็เริ่มดังระงมเข้าหู แม้จะแผ่วเบา แต่ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินชัดเจน
 
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินกำลังจะเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศฝูชิวนั้น
 
เหนือเทือกเขาที่ชายหนุ่มชุดหรูหน้าอัปลักษณ์กับชายชราตายตก ก็รากฏร่าง 3 ร่างเหินลอยอยู่กลางฟ้า
 
“พวกเรามาสายเกินไป…”
 
เมื่อทั้ง 3 มองเห็นคราบเลือดชุ่มแฉะเบื้องล่าง ทั้งเศษเนื้อเลอะเลือน พวกมันก็รู้ดีว่ามาถึงที่นี้ช้าไป
 
“ในช่วงเวลาสั้นๆกลับสามารถเข่นฆ่าขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ได้…พลังฝีมือสมควรอยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 4 รูปขึ้นไป!”
 
1 ใน 3 กล่าวคาดเดาออกมา
 
“ระหว่างเดินทางมา นอกจากชายหนุ่มชุดม่วงผู้หนึ่งที่ข้าไม่อาจตรวจสอบระดับพลังฝึกปรือได้แล้ว ไม่มีผู้ใดมีด่านพลังเหนือกว่าขอบเขตขุนนางอมตะ 4 รูปสักคน!”
 
“อืม กระทั่งขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว”
 
อีกคนกล่าวเสริม
 
“อาจเป็นฝีมือของชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นหรือไม่?”
 
“ไม่มีทางเป็นไปได้”
 
“ทำไมเล่า?”
 
“เจ้าคิดว่าคนอายุไม่ถึงร้อยปี จะมีพลังเหนือกว่าขุนนางอมตะ 4 รูปได้หรือไม่เล่า?”
 
“อ่าว อายุไม่ถึงร้อยปีหรอกหรือ…เช่นนั้นไม่ใช่มันแน่นอน”
 

 
ทั้งสามคนเริ่มหารือกันยกใหญ่ แม้จะมีเอ่ยถึงต้วนหลิงเทียนบ้าง แต่ทั้ง 3 ก็ตัดต้วนหลิงเทียนออกไปจากผู้ต้องสงสัยทันที เพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะมีความสามารถฆ่าขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ได้
 
“ถึงแม้จะหาตัวผู้ลงมือไม่เจอ…แต่พวกเราก็ลองตระเวนหาพื้นที่แถบนี้สักรอบเถอะ เผื่อเจอผู้ต้องสงสัยหรือคนมีพิรุธอันใด”
 
“มิผิด ถึงแม้เราจะหาตัวผู้ที่ลงมือสังหารนายน้อยสกุลฮั่วไม่พบ แต่อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องมีคำชี้แจงให้พระสนมหลัน…ไปลองหากันดูก่อนเถอะ”
 

 
จากนั้นทั้ง 3 ก็แยกย้ายกันออกไปหาเบาะแสคนละทิศละทาง
 
อย่างไรก็ตามการออกค้นหาที่กระทำไปพอเป็นพิธีของพวกมัน ผลลัพธ์ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องไม่ได้อะไรกลับมา
 
นั่นเพราะฆาตกรที่พวกมันกำลังมองหา ได้เข้าสู่เมืองหลวงของประเทศฝูชิวเป็นที่เรียบร้อย
 
“เมืองหลวงของประเทศฝูชิวนี่นับว่ากว้างใหญ่ไม่ใช่เล่นๆเลย”
 
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น ขณะเดินสัญจรไปบนถนนอันกว้างใหญ่ภายในเมืองหลวงของประเทศฝูชิว
 
“กว้างใหญ่จริงๆนายท่าน ใหญ่โตกว่าเมืองใดที่ข้าน้อยเคยไปมาทั้งชีวิตอีก”
 
หลิวก่วงหลินที่เดินติดตามต้วนหลิงเทียนอยู่ด้านหลังราวกับข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ก็พยักหน้าเห็นด้วย
 
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็พาหลิวก่วงหลินไปนั่งในเหลาอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อพักผ่อนหาอะไรกิน ทั้งยังคอยเงี่ยหูฟังเรื่องราวไปเรื่อย ยังคิดจะเรียกเสี่ยวเอ้อมาสอบถามเรื่องราวเพื่อรับทราบสถานการณ์ทั่วไปในเมือง
 
“อีกหนึ่งเดือนก็จะถึงวันที่ฮ่องเต้ฝูชิวจัดงานประลองสวรรค์ใต้ที่วังหลวงแล้วหรือ…ข้าไม่รู้จริงๆว่าครานี้ใครจะเป็นผู้โชคดี 9 คนที่จะได้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณ…”
 
หลังจากนั่งฟังเรื่องราวไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเรื่องราวน่าสนใจบางอย่าง
 
“งานประลองสวรรค์ใต้”
 
“แดนสวรรค์ใต้โบราณ?”
 
คิ้วต้วนหลิงเทียนเลิกขึ้น จากานั้นก็พยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาสืบต่อ
 
จากนั้นไม่นาน เขาก็รู้ว่างานประลองสวรรค์ใต้ และแดนสวรรค์ใต้โบราณคืออะไร…
 
แดนสวรรค์ใต้โบราณนั้น เป็นโลกใบเล็กที่อดีตจ้าวผู้ปกครองแดนสวรรค์ใต้เหลือทิ้งเอาไว้ และโลกใบเล็กดังกล่าวได้ถูกสร้างทิ้งไว้หลายชั่วอายุคนแล้ว และยังแตกต่างจากโลกใบเล็กที่ราชาอมตะเหลือทิ้งไว้ไม่น้อย
 
เพราะโลกใบเล็กดังกล่าวไม่ได้เหลือทิ้งโดยราชาอมตะและใครก็สามารถเข้าไปได้ ทว่าอยู่ในการควบคุมของผู้ที่ดำรงตำแหน่งจ้าวปกครองแดนสวรรค์ใต้ทุกรุ่น เวลาที่เปิดให้เข้าก็มีกำหนดชัดเจน
 
จ้าวผู้ปกครองสวรรค์แดนใต้ในอดีต ที่สร้างโลกใบเล็กทิ้งไว้ ก็คือ จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ นั่นเอง
 
และเพราะโลกใบเล็กดังกล่าวถูกสร้างทิ้งไว้โดยจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ในอดีต จึงเรียกโลกใบเล็กแห่งนั้นว่า แดนสวรรค์ใต้โบราณ!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด