War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2576

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2576 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 2,576 : ความเปลี่ยนแปลงของชีพจรสวรรค์!
 
“ฮ่าๆๆ…เช่นนั้นต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”
 
สองตาเฝิงชิงลุกวาวขึ้นมาทันใด เมื่อได้ยินคำของหวังเวย
 
ต้องทราบด้วยว่ามันกับหวังเวยนั้นก็เป็นผู้ที่พึ่งขึ้นมายังแดนสวรรค์ ‘หลิงหลัวเทียน’ เมื่อไม่กี่พันปีก่อน
 
หากไร้ซึ่งภูมิหลังและการสนับสนุนอะไร พวกมันก็เป็นได้แค่พวกปลายแถวในหลิงหลัวเทียนเท่านั้น
 
ถึงแม้ตอนนี้พวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นมาเมื่อพันปีก่อนไม่น้อย ทว่าก็ได้แค่ทำกร่างและหาเศษหาเลยด้วยการรังแกครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งขึ้นมาใหม่เท่านั้น…
 
สุดท้ายแล้วภายในหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ หากไม่มีภูมิหลังหรือผู้สนับสนุนอะไร…คิดจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง ก็ทำได้แค่พึ่งความสามารถของตัวเองอย่างเดียว
 
และไม่ว่าจะเป็นในหลิงหลัวเทียนหรือแดนสวรรค์ใดๆ ผู้เข้มแข็งก็เป็นใหญ่เสมอ
 
ต่อหน้าผู้เข้มแข็ง ผู้ที่อ่อนแอก็มีราคาไม่ต่างจากมด!
 
เช่นนั้นแล้วหากพวกมันคิดจะยกระดับคุณค่าตัวเองก็มีแต่ต้องขยันบ่มเพาะให้มาก ทุ่มเวลาฝึกปรือให้มาก!
 
มีแต่พลังฝีมือของพวกมันก้าวหน้าไปถึงระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น สถานะของพวกมันในหลิงหลัวเทียนถึงจะดีขึ้น! สามารถมองข้ามผู้อื่นได้มากขึ้น!!
 
แต่ตอนนี้พวกมันก็ทำได้แค่รังแกเหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่พึ่งขึ้นมายังระนาบเทวโลกเท่านั้น!
 
“แล้วก็…ต้องขอบใจเจ้าด้วยนะเจ้าหนู…หากไม่ใช่เพราะเจ้า หวังเวยคงไม่ขอแลกกะกับข้าแบบนี้”
 
หลังกล่าวขอบคุณหวังเวยแล้ว เฝิงชิงยังเหลือบมองไปทางต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง กล่าวออกด้วยรอยยิ้มบางๆ สุดท้ายค่อยนำเหล่าเซียนอมตะสวรรค์หนน้าใหม่ทั้งหลายไปลงทะเบียน
 
หลังจากที่เฝิงชิงและคนอื่นๆจากไปแล้ว ในสระกำเนิดเซียนอมตะที่มีขนาดราวๆสนามฟุตบอล นอกจากผู้ที่ยังไม่ได้สติเพราะยังไม่กลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์ ก็คงเหลือแค่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ข้างสระก็มีหวังเวยที่รอคอยด้วยสายตาอำมหิต!
 
“เจ้าอยากรอ…ก็เชิญรอได้ตามใจ”
 
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองหวังเวยด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
 
กล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่สนใจหวังเวยที่มีโมโหเป็นฟืนไฟแต่อย่างไร หันมาสนใจพลังงานในสระกำเนิดเซียนอมตะทันที
 
เป็นพลังงานที่คล้ายๆกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดแต่ทว่าก็มีความแตกต่างกับพลังงานเซียนอมตะต้นกำเนิดไม่น้อย ยังสร้างความอบอุ่นและให้ความรู้สึกอ่อนโยนกับเขาอย่างมาก
 
ทำให้เขารู้สึกสบายตัวราวแช่น้ำอุ่น
 
‘ลองท่านอาสามอุตส่าห์กำชับข้าไว้เป็นพิเศษ ว่าหลังขึ้นสวรรค์แล้วอย่าได้รีบออกจากสระกำเนิดเซียนอมตะ ให้ข้าขัดเกลาชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายให้มากที่สุดแบบนั้น…หมายความว่าสิ่งนี้ต้องมีประโยชน์กับข้าอย่างมาก’
 
ถึงแม้เขากับเซี่ยเจี๋ยจะเคยพบกันเพียงครั้งเดียว และไม่นับว่าเป็นคนคุ้นเคยอะไร
 
อย่างไรก็ตามไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เซี่ยเจี๋ยก็คืออาสามของเค่อเอ๋อ อาศัยแค่เรื่องที่เซี่ยเจี๋ยปรากฏตัวออกมาเพื่อช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เขาก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าที่เซี่ยเจี๋ยกล่าวเป็นจริงหรือเท็จ…
 
‘ว่าแต่…ให้ขัดเกลาที่ว่า ต้องขัดเกลาอย่างไรล่ะ’
 
‘หรือต้องดูดซับพลังงานในสระกำเนิดเซียนอมตะแห่งนี้ให้มันโคจรไปทั่วร่างผ่านชีพจรสวรรค์ทั้ง 99สายในร่าง เพื่อขัดเกลาชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายในร่าง?’
 
เมื่อฉุกคิดได้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าอะไรเริ่มผ่อนคลายร่างกายสำรวมจิต เริ่มดูดซับพลังอบอุ่นทั้งอ่อนโยนภายในสระกำเนิดเซียนอมตะเข้าสู่ร่างกาย และเริ่มโคจรขับเคลื่อนพวกมันให้ไหลเวียนไปในชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายของเขาทันที
 
‘อ่าว…’
 
อย่างไรก็ตามในกระบวนการดังกล่าว แม้ต้วนหลิงเทียนจะพยายามจับสังเกตการไหลของพลังในชีพจรก็แล้ว ค่อยๆโคจรดูก็แล้ว แต่เขาก็ไม่พบว่าพลังในสระกำเนิดเซียนอมตะจะทำอะไรชีพจรพลังของเขาได้เลย
 
หลังดูดซับพลังทั้งโคจรอยู่ราวๆ 2 เค่อ ก็ไม่บังเกิดผลอะไร
 
‘ทำไมไม่เห็นมีอะไรเลยล่ะ?’
 
‘อาสามล้อข้าเล่นงั้นเหรอ?’
 
หลังผ่านไป 2 เค่อ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ลืมตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
 
ส่วนเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งปรากฏตัวในสระกำเนิดเซียนอมตะนั้น เนื่องจากพลังในร่างยังไม่เปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดโดยสมบูรณ์ ทั้งหลายก็ยังไม่ตื่นขึ้น
 
กล่าวได้ว่าในบริเวณสระกำเนิดเซียนอมตะและละแวกใกล้เคียง มีแต่เขากับชายหนุ่มร่างท้วมในเกราะสีเงินเท่านั้นที่มีสติ…
 
และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นมา เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาดุร้ายของหวังเวยที่จ้องมาทันที ช่างเยียบเย็นราวกับทนรอฉีกร่างเขาให้แลหเป็นชิ้นไม่ไหวแล้ว!
 
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองมันด้วยสายตาเฉยเมย ก่อนที่จะเริ่มตั้งสมาธิกับการเพ่งพินิจชีพจรสวรรค์ 99 สายในร่างสืบต่อ
 
‘พูดกันตามตรง…อาสามไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องหลอกข้าเลย แล้วทำไมไม่ได้เรื่องอะไรเลยเล่า…’
 
ต้วนหลิงเทียนได้แต่เผยยิ้มขื่นขม
 
‘จริงสิ!’
 
ทว่าทันใดนั้นเองคล้ายฉุกคิดอะไรได้ สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายสว่างจ้าขึ้นมาวาบหนึ่ง ‘อาจเป็นเพราะปริมาณพลังที่ข้าดูดซับเองมันไม่พอ…ลองปรับใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูดซับพลังดู’
 
‘หลังจากใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ปริมาณพลังที่ข้าดูดซับจากสระกำเนิดเซียนอมตะก็สมควรเพิ่มขึ้นอย่างมาก…9 ใน 10 ส่วนสมควรส่งผลกระทบอะไรให้ชีพจรสวรรค์ในร่างข้าได้แน่’
 
คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลงอีกครั้ง และใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกมาทันที
 
วังวนพลังดูดรั้งสีดำพลันอุบัติขึ้นรอบกายเขา
 
แต่เพราะในสระกำเนิดเซียนอมตะแห่งนี้มันตลบฟุ้งไปด้วยไอหมอกขาว เช่นนั้นหวังเวยที่อยู่นอกสระจึงไม่อาจแลเห็นสิ่งใด
 
อย่างไรก็ตามหวังเวยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
 
เพราะมันสามารถเห็นได้ชัดเจน
 
ว่าอยู่ดีๆบรรยากาศในสระกำเนิดเซียนอมตะบริเวณที่ชายหนุ่มชุดม่วงยืนอยู่นั้น อยู่ๆก็คล้ายบังเกิดความปั่นป่วน ไอหมอกทั้งหลายคล้ายจะกรูกันมาปกคลุมร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่ว่า…
 
“มันทำอันใดของมันอยู่กันแน่?”
 
สีหน้าหวังเววยมืดลงทันใด แต่มันก็ไม่อาจแลเห็นได้เลยว่าต้วนหลิงเทียนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ และในใจของมันตอนนี้ก็บังเกิดความหงุดหงิดเพราะความเบื่อหน่ายไม่น้อย
 
‘ให้มันได้ยังงี้สิ…ได้ผลจริงๆด้วย!’
 
วินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนที่ได้ลองใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูดซับพลังมหาศาลเข้าร่างพลันตระหนักได้ทันที
 
ว่าด้วยความที่พลังมหาศาลกรูเข้าร่างในคราวเดียว ทำให้ชีพจรสวรรค์ทั่วร่างรับไม่ไหวจนบังเกิดการปริแตก! และความรู้สึกของชีพจรปริแตก ก็เสมือนมีมีดร้อนๆกรีดไปตามชีพจรสวรรค์! เจ็บปวดถึงขั้นร้องไม่ออก
 
อย่างไรก็ตามชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายที่บาดเจ็บ ก็ถูกพลังงานในสระกำเนิดเซียนอมตะรักษาและฟื้นสภาพทันที
 
ดำเนินไปเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง!
 
เรียกว่าในขณะที่พลังมหาศาลที่ดูดซับมาในฉับพลันทำให้ชีพจรพลังของเขาปริแตกจนบังเกิดความเจ็บปวดราวถูกกระชากเส้นเอ็นนั้น! ขณะเดียวกันก็มีพลังอุ่นร้อนในสระกำเนิดเซียนอมตะคอยปลอบประโลมรักษาให้ความรู้สึกดั่งภรรภ์มารดา!!
 
ภายใต้สถานะการณ์ถูกทำลายและฟื้นฟูไปพร้อมๆกันดังกล่าว ทำให้ชีพจรสวรรค์ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะเวลา!
 
ผลลัพธ์ที่ออกมาพิสูจน์แล้วว่าต้วนหลิงเทียนเดาถูก!
 
การทำร้ายชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 เส้นสายจนเจ็บปวดแทบตายเช่นนี้ นับเป็นการขัดเกลาชั้นเยี่ยม!
 
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็เสมือนการเกิดใหม่ของหงส์ฟ้าเลยทีเดียว!
 
ต้วนหลิงเทียนที่ทุ่มจิตสมาธิอยู่กับการฝืนดูดพลังมหาศาลเข้าร่างเพื่อทำร้ายตัว และกล้ำกลืนความเจ็บปวดจนลืมเลือนเวลา ก็ไม่ได้รู้ตัวเลย…
 
ว่ารอบกายเขาตอนนี้มีครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ปรากฏตัวขึ้นในสระมากมาย
 
แน่นอนว่าเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะเหล่านี้ ด้วยความที่ยังไม่บรรลุถึงเซียนอมตะสวรรค์ทั้งหมดจึงยังไม่ได้สติ…
 
และไม่ใช่แค่นั้น
 
กระทั่งเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มาปรากฏในสระกำเนิดเซียนอมตะเนิ่นนานและควรกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์ไปแล้วกลับยังไม่ได้สติเช่นกัน!
 
และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ขอบสระกำเนิดเซียนอมตะ ก็ไม่ได้มีแค่หวังเวยคนเดียวเท่านั้น…
 
ข้างๆหวังเวยยังมีคนนชุดเกราะสีเงินที่รออยู่ถึง 3เป็นชายวัยกลางคน 1 ชายหนุ่ม 2 คน
 
และตอนนี้ทั้ง 3 ก็กำลังขมวดคิ้วมองจ้องมายังครึ่งก้าวเซียนอมตะกลุ่มใหญ่ในสระกำเนิดเซียนอมตะด้วยความงุนงง
 
“นี่…มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”
 
“หากเป็นปกติ ป่านนี้สมควรมีเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ราวๆ 3 กลุ่มที่ได้สติแล้วมิใช่หรือไร…แต่ไฉนตอนนี้ในสระกลับมีครึ่งก้าวเซียนอมตะจำนวน 4 กลุ่ม ที่ยังไม่บรรลุเซียนอมตะสวรรค์เล่า?”
 
“หวังเวย…ไอ้เจ้าหนุ่มในชุดม่วงที่เจ้าบอกว่าอยู่กลางหมอกนั่นมันเป็นใครกันแน่? ทุกเรื่องราวไม่พ้นเกิดจากมันแน่…เพราะไอหมอกในสระกำเนิดเซียนอมตะไปกระจุกอยู่ที่รอบๆตัวมันแค่คนเดียว ไม่ฟุ้งกระจายไปที่ใดเลย! ข้ารู้สึกว่าสาเหตุที่ทุกคนไม่กลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์เสียทีล้วนเกี่ยวข้องกับมัน”
 

 
จังหวะนี้สองตาของร่างในชุดเกราะสีเงินผู้มาใหม่ทั้ง 3 ได้แต่หันไปมองถามหวังเวยด้วยความงุนงง
 
พวกมันเองก็มาเฝ้ารอได้สักพักแล้ว และได้รู้เหตุผลว่าไฉนหวังเวยจึงเฝ้ารออยู่ที่นี่
 
“พวกเจ้าก็คิดมากเกินไป…อาศัยแค่ครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งมาจากระนาบโลกียะ จะมีปัญญาส่งผลกระทบอันใดต่อกระบวนการบรรลุถึงเซียนอมตะสวรรค์ของผู้อื่นได้?”
 
หวังเวยมองไปไอหมอกขาวหนาเต็มกระจุกหนึ่งที่ปกปิดร่างชายหนุ่มชุดม่วงเอาไว้ด้วยสายตาหยันหยาม กล่าวออกด้วยความดูแคลน
 
“เจ้ากล่าวก็มีเหตุผล…แต่ยังมีผู้ใดอธิบายเรื่องนี้ได้?”
 
“ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ”
 
“น่าเสียดายที่สำนึกเทวะของพวกเรามิอาจแผ่ลงไปในสระกำเนิดเซียนอมตะได้…หาไม่แล้วพวกเราสมควรรับทราบสถานการณ์ด้านในที่แน่ชัด…ว่าทั้งหมดใช่เกิดจากเจ้าหนุ่มชุดม่วงหรือไม่”
 

 
ชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มทั้ง 2 อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วหลังได้ยินคำตอบของหวังเวย
 
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวภายนอกเลย
 
ตอนนี้เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าการใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูดซับพลังมหาศาลเข้าร่างไม่หยุดนั้น มันแทบจะเป็นการปล้นพลังงานในสระกำเนิดเซียนอมตะทั้งหมดมาใช้คนเดียว! ทำให้มันส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา…
 
ถึงแม้ว่าพลังงานในสระกำเนิดเซียนอมตะจะก่อเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีวันหมด แต่พวกมันก่อเกิดมาใหม่ทันไร ก็ถูกต้วนหลิงเทียนดูดกลืนไปเสียฉิบ…
 
เรียกว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะโดยรอบไม่ได้รับพลังเหล่านั้นเลย!
 
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนพบว่า
 
ชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายในร่างเขาไม่ได้รับผลกระทบจากการโคจรไหลเวียนของพลัง และไม่เกิดการปริฉีกอะไรอีกต่อไป เขาก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ใบหน้ายังคลี่รอยยิ้มสดใสเจิดจ้า
 
‘ชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายของข้าตอนนี้ ไม่เหมือนกับก่อนหน้าอีกต่อไป!’
 
วินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้อย่างชัดเจน
 
ชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายในร่างเขาตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะแน่นเหนียวทนทาน แต่ขนาดยังขยายใหญ่ขึ้นมาก!
 
หากชีพจรสวรรค์ก่อนหน้าของเขามีขนาดเท่าลูกงูตัวน้อยล่ะก็ ตอนนี้ชีพจรสวรรค์ในร่างเขาก็มีขนาดใหญ่โตปานงูหลามตัวเขื่อง!
 
แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
 
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตื่นเต้นยินดีกับความเปลี่ยนแปลงของชีพจรสวรรค์ในร่าง เขาก็หยุดการใช้ปฐมเวทย์กลืนกินทันที ทำให้ไอหมอกสีขาวที่มากระจุกตัวอยู่ที่เขาค่อยๆแพร่กระจายออกไปโดยรอบ เผยให้เห็นร่างเขาอีกครั้ง
 
“หืม?”
 
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมองมาที่เขา

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด