Black Peach Z เดิมพันรักสาวแฮกเกอร์ ตอนที่ 1911 vs 1912
ตอนที่ 1911โปรดเขียนคำอำนวยพรให้ผมด้วย “ได้” คุณท่านอานพูดเสียงเครือ เดิมคิดว่าหลานท่านจะปลงตกแล้ว จนเมื่อเห็นร่างของหลานชายยืน จ้องหน้าต่างบานเดิมอยู่หน้าบ้านตระกูลป๋อตลอดช่วงบ่าย ท่านจึงได้รู้ว่าหลานยังอาลัยอาวรณ์อยู่ฉินมั่วกำฮู้ป้องกันภัยไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างลากกระเป๋าเดินทางรูปแพนด้าของตัวเอง ใบหน้าที่สูงส่งต้องห้ามดูจะเย็นชากว่าเมื่อก่อน ตอนที่ขึ้นรถไปแล้ว เด็กน้อยก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณตาครับ พอกลับไปแล้ว ผมอยากไปภูเขาอู่ไถ” “อู่ไถ?” คุณท่านอานหันมามอง เพราะหลานท่านไม่เคยสนใจศาสนาพุทธมาก่อน?ฉินมั่วยืนยัน ก่อนจะหลุบตามองดูฮู้ในมือตัวเอง “ครับ ภูเขาอู่ไถ”คุณท่านอานไม่เคยปฏิเสธคำขอของหลานรัก โดยเฉพาะในเวลานี้ เพราะหลานท่านหันไปมองทิวทัศน์นอกรถที่เริ่มมืดลงในสภาพคอตกสามวันหลังจากนั้น ที่ภูเขาอู่ไถมีคนไปกราบไหว้ไม่มาก คนที่เคยศึกษาด้านศาสนาพุทธต่างรู้ว่าทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของทุกเดือนตามปฏิทินจันทรคติจะมีคนมาไหว้อย่างเนืองแน่นทว่าวันนี้เป็นวันที่เจ็ดของเดือนตามปฏิทินจันทรคติ ตามความเชื่อของคนจีน ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้มีนัยพิเศษ ทว่าในวันนี้มีร่างเด็กน้อยสีหน้าเรียบนิ่ง เหงื่อผุดบางๆ บนหน้าผาก เด็กน้อยเดินขึ้นบันไดนับพันก้าว เดินไปก้าวหนึ่งก็กราบไหว้ก้าวหนึ่งจนครบ 999 ครั้ง เหงื่อซึมเสื้อสเวตเตอร์ แต่กลับไม่ส่งผลอะไรกับบุคลิกสูงส่งของเขา แต่คงเพราะอายุยังเด็กมาก ทำให้สามเณรน้อยมามุงดูหิมะโปรยปรายบนยอดเขา เมื่อตกต้องบนศีรษะก็ละลายกลายเป็นน้ำ เหล่าเณรน้อยเห็นร่างนั้นเข้ามาใกล้ บางคนก็วิ่งเข้าไปในตัววัด “พระอาจารย์ พระอาจารย์ ข้างนอกมีคน มีคนขอรับ”ภิกษุชราที่กำลังสวดมนตร์เคาะก้อนไม้ที่ทำเป็นรูปปลา วางหนังสือสวดมนตร์ลง ช้อนสายตามองดูสามเณรคนดังกล่าว “ทำอะไรรุ่มร่ามจริง วันไหนบ้างที่ไม่มีคนขึ้นเขา? คัมภีร์พระธรรมที่เรียนมา เอาไปทิ้งไว้ไหนหมด”“เปล่าขอรับ ท่านออกไปดูสิขอรับ เป็นเด็ก”เณรน้อยก็เป็นเด็กเช่นกัน ยังหาว่าคนอื่นเป็นเด็กอีก? ภิกษุชราได้แต่ส่ายศีรษะ เดินออกไปทีได้กลิ่นไม้จันทร์ทั่วร่างตอนแรกท่านไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร จนเมื่อท่านเห็นเด็กน้อยที่กราบไหว้ทุกหนึ่งก้าวเดินก็ถึงอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยขึ้น “อมิตตาพุทธ” ลมเย็นพัดผ่านเขาถ้ำ สะเก็ดหิมะตกต้องบ่าพ่อหนูน้อย เด็กคนนี้ดูสะดุดตาเสียยิ่งกว่าหิมะที่ปกคลุมทั่วทั้งภูเขา ภาพที่เห็น ช่างเหมือนบทกวีของท่านดาไลลามะที่ว่า ‘ในปีนั้นข้าพเจ้ามิได้กราบคำนับมาตลอดทางขึ้นเขาเพื่อกราบไหว้พระพุทธองค์ แต่เพื่อได้รับความอบอุ่นของท่านอย่างใกล้ชิด ในชาติภพนั้น ข้าพเจ้ามิได้ธุดงค์อ้อมภูเขา เดินรอบสายน้ำหรือกระทั่งก้าวนพระเจดีย์ เพื่อจะสั่งสมบุญกุศลเพื่อเอาไว้ใช้ในชาติภพหน้า แต่เพื่อให้ได้พานพบกับท่านในเส้นทางการเดินทาง เมื่อข้าพเจ้าได้กลายเป็นเทพเซียน มิได้เป็นเพื่อจะอยู่ยงคงกระพัน แต่เพื่อปกปักรักษาให้ท่านสุขสงบ’ภิกษุชรารอจนร่างของเด็กน้อยผู้งามสง่ามาหยุดลงที่ตรงหน้าท่าน ทั้งนี้ฉินมั่วเข้าใจหลักธรรมเนียมเป็นอย่างดี แม้จะมีเหงื่อเต็มกาย แต่ยังก้มลงคำนับ ทั้งยังเอ่ยทัก “ไต้ซือ”อุตส่าห์เดินสลับกราบไหว้มาถึง 999 ก้าวเดิน ไม่ว่าจะมาถึงในเวลาใด ย่อมต้องอำนวยพรให้อีกฝ่ายสมหวัง ภิกษุชราหลุบตาลง แววตาแสดงถึงการยอมแพ้ให้กับความมุ่งมั่นของเด็กชาย “ประสกน้อยต้องการสิ่งใดหรือ”ฉินมั่วดึงด้ายแดงที่สวมบนคอออกมา โดยด้ายแดงนั่นรัดฮู้กันภัยไว้ “นี่เป็นของที่มีคนขอให้ผมครับ ท่านไต้ซือพอจะเขียนคำอำนวยพรให้ผมได้ไหมครับ”“ประสกน้อยเชื่อในศาสนาหรือ?” ท่านถามฉินมั่วส่ายหน้า “ผมเชื่อตัวเองครับ”ท่านถามอีก “แล้วเหตุใดจึงมาขอคำอำนวยพร?”“เพราะเขาเชื่อครับ”……………………………………..ตอนที่ 1912เธอยังเด็กมากภิกษุชราได้ยินแล้วอึ้งไป เอ่ยอมิตาพุทธอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำฉินมั่วเข้าไปยังอุโบสถ พลิกคัมภีร์พระธรรมม้วนที่สิบ ชายผ้าจีวรสะบัด ปลายพู่กันจรดบนกระดาษว่า ‘หวังว่ายัยเสือน้อยที่สวมชุดนอน จะมีความสุขสงบตลอดกาล’ฉินมั่วเก็บรักษาฮู้ไว้อย่างดี นำมาสวมใกล้หัวใจ จากนั้นไม่ว่าจะอยู่ในกองทัพหรือไปเรียนต่อต่างประเทศ กระทั่งเรียนจบต้องไปทำหน้าที่ที่เขตชายแดน เขาก็มักจะสวมฮู้ที่ว่าไว้ ซึ่งดูไม่สมกับสถานะของตนเองสักนิดวันที่ทะเลาะกัน เด็กน้อยทั้งสองต่างไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กระทั่งยัยเสือน้อยยังคิดว่าพอจัดการเรื่องเสร็จ เธอจะได้มาหามั่วมั่ว จนมาถึงตอนค่ำ พ่อพาเธอมาที่หลุมศพ ลูบผมเธอแล้วบอกว่า “จิ่ว วิธีปกป้องคนที่สำคัญที่สุดของเราก็คือ การทำให้คนอื่นเห็นว่าเขาคนนั้นไม่สำคัญ”“ไม่งั้นลูกต้องเข้มแข็งให้มาก อย่าทิ้งร่องรอยตัวเองไว้ ลูกน่าจะรู้ว่าการเปิดเผยร่องรอยกับชีวิตส่วนตัวเป็นเรื่องอันตรายต่อแฮกเกอร์ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มาก”“ลูกก็เหมือนกัน แฮกเกอร์คนอื่นก็เหมือนกัน”“ต่อไปลูกจะเป็นนายน้อย พ่อบอกลูกมานานแล้วเรื่องกฎการเป็นนายน้อย”“ปกป้องคนที่ลูกต้องปกป้องเขาให้ได้ ใช้คีย์บอร์ดของลูกทวงความเป็นธรรมให้กับคนที่โดนรังแก”ดังนั้นยัยเสือน้อยจึงอดทนเสมอมา เธอเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากขึ้น สร้างเกมที่ยากกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงแค่สารภาพรักแบบธรรมดา แต่ยังใส่ไวรัสเข้าไปได้ด้วย เธอยังเรียนรู้การเขียนพู่กันจีนด้วยตัวเอง อ่านนิทานก่อนนอน พับแขนเสื้อและพันผ้าพันคอด้วยตัวเอง เธอไม่สวมชุดนอนเสือน้อยอีกต่อไป เพราะไม่จำเป็นต้องทำตัวน่ารักหรือส่ายหางตามหลังใครอีก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะให้ลูกอมเวลาเธอซุกซน และไม่ใช่ว่าทุกคนจะคอยตรวจกระเป๋าเสื้อเพราะกลัวว่าเธอจะปวดฟันอีกรสชาติของการถูกความมืดมิดกลืนกินคงเป็นแบบนี้ เวลานอน เธอได้แต่กอดคีย์บอร์ดตัวเองเอาไว้ ป๋อจิ่วมีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากพอ เข้าใจดีว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร เธออดทนได้ 101 วันจนสามเดือนมาแล้วก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอนั่งรถคนเดียวเป็นครั้งแรกเพื่อมาที่บ้านตระกูลอาน ทั้งที่รู้ว่าไร้ประโยชน์ แต่ยังวิ่งไปที่หน้าต่างเธอไม่เห็นใคร เขาน่าจะกลับจีนไปแล้วเธอสวมเสื้อยืดตัวดำ บุคลิกเปลี่ยนไป ร่างเล็กกลมกลืนกับความมืดมิด คุณตาพ่อบ้านมองดูอย่างข้างๆ เดินถือร่มมาหาอย่างทนดูไม่ได้ “นายน้อย กลับกันเถอะครับ”เธอถึงกับคอตก ไม่พูดอะไร ส่วนคุณตาพ่อบ้านหันไปมอง ก่อนจะขรึมลงต่อมามีช่วงเวลาหนึ่ง นายน้อยมักจะจูงมือเขาพลางเล่าให้ฟังว่าเจ้าหญิงน้อยดีกับเธอมากแต่ไหน แต่จะหยุดชะงักบ้างเป็นบางครั้งคุณตาพ่อบ้านยังจำได้ดีว่าตอนนั้นนายใหญ่อุ้มลูกสาวมาขี่คอตัวเอง ปล่อยให้เธอซึ่งหลับอยู่ดึงผมตัวเองเต็มที่ ร่างในชุดกันลมตัวดำดูตลก ทั้งยังให้ความรู้สึกอย่างอื่น “แอลเลน ถ้าเราจำบางเรื่องได้ดีเกินไปจะยิ่งเจ็บปวด จิ่วยังเด็กเกินไป”คำพูดลอยๆ ของเขา ทำให้คุณตาพ่อบ้านเข้าใจนายใหญ่เป็นอย่างดี การสะกดจิตเพียงเล็กน้อยจะทำให้คนซ่อนความทรงจำไว้ได้ รอจนเมื่อได้เจอเขาอีกครั้ง ความทรงจำนั้นจะค่อยๆ กลับมาคุณป๋อก้มลงจูบหน้าผากยัยเสือน้อย “จิ่ว ลูกต้องเข้าใจนะว่าตัวเองเป็นใคร” การเข้าใจในสถานะตัวเอง จะทำให้ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ได้คุณเคยอยากเลี้ยงใครสักคนไหม?ป๋อจิ่วเคย เธอเคยอยากเลี้ยงเจ้าหญิงน้อยฉินมั่วเองก็เคย เขาเคยอยากเลี้ยงยัยเสือน้อย……………………………………………….
คอมเม้นต์