เธอเปลี่ยนไปเป็นบอส – ตอนที่ 41: ปณิธานของเจี่ยนหยู่เจี๋ย
เจี่ยนอีหลิงทานข้าวปลาอาหารอย่างจริงจัง
ไม่ว่าเหอเยี่ยนที่อยู่ถัดจากเธอไปจะพูดอะไร เธอไม่ตอบ
เจี่ยนอีหลิงมีสมาธิดีมากและสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เธอกำลังทำได้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังโดยไม่ถูกรบกวน
ยิ่งเหอเยี่ยนพูดมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกรันทด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองนั้นเป็นตัวตลก
อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถทำอะไรกับเจี่ยนอีหลิงได้
หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว ทุกคนก็ไปที่ลานบ้านเพื่อนั่งดื่มชาด้วยกัน
นี่เป็นความเคยชินของปู่เจี่ยนย่าเจี่ยน ซึ่งลูกๆหลานก็ต้องทำตามนั้นเมื่อพวกเขามาที่บ้านเก่า
ในขณะเดียวกันก็จะได้เป็นโอกาสชื่นชมกล้วยไม้ที่ปู่เจี่ยนรัก
ลานบ้านของบ้านเก่าเดิมทีเป็นสไตล์ยุโรป แต่เพราะว่าปู่เจี่ยนชอบดอกกล้วยไม้ เขาจึงหมกมุ่นอยู่กับการปลูกกล้วยไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเกษียณ
ดังนั้นสวนสไตล์จีนขนาดเล็กจึงถูกสร้างขึ้นมาโดยเจตนาในสนามหญ้าซึ่งไม่สอดคล้องกับสไตล์โดยรวมของบ้านเก่า โต๊ไม้มะฮอกกานี เก้าอี้ ชุดน้ำชาสไตล์จีนถูกจัดวางไว้ภายใน และมีกล้วยไม้ที่มีค่าจัดวางอยู่อยู่ข้างๆ
“น้องอีหลิงดูที่มือฉันสิ เห็นไหมว่าไม่มีอะไร”
เจี่ยนหยู่เจี๋ยยกมือให้เจี่ยนอีหลิงดู
มือของเขาทั้งคู่นั้นเรียวยาวและสวย
เขาพลิกมือให้เจี่นอีหลิงดูทั้งฝ่ามือและหลังมือ จากนั้นก็พลิกมือวูบ ทันใดนั้นก็มีดอกกุหลาบสีแดงปรากฏขึ้นในมือ
จากนั้นกุหลาบก็ลุกไหม้ เมื่อเปลวเพลิงดับลงก็ปรากฏว่ามีพวงกุญแจพิเศษซึ่งมียูนิคอร์นตัวเล็กน่ารักแขวนอยู่ปรากฏขึ้นในมือ
เจี่ยนหยู่เจี๋ยยื่นส่งพวงกุญแจให้กับเจี่ยนอีหลิง “พี่ให้น้อง”
เจี่ยนอีหลิงหยิบพวงกุญแจสีชมพูน่ารักนั้น และขอบคุณอีกฝ่ายด้วยเสียงเล็กๆ “ขอบคุณ”
แม้ว่าเธอจะไม่ชอบสีชมพูและของน่ารัก
แต่ลูกพี่ลูกน้องดูเหมือนจะคิดว่าเธอชอบ
เจี่ยนหยู่เจี๋ยยิ้มอย่างพอใจ น้องสาวอี้หลิงเหมาะสมกับสีชมพูและของน่ารัก คราวหน้าเขาจะซื้อของพวกนี้มากขึ้นให้กับน้องสาวอี้หลิง
ย่าเจี่ยนที่อยู่ข้างเขายิ้มและกล่าวว่า “มือของหยู่เจี๋ยยิ่งมายิ่งชำนาญ เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับเป็นนักมายากลจริงๆ”
เขาได้กล่าวเรื่องนี้กับครอบครัวของเขาหลายครั้ง และปู่กับย่าก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาเห็นด้วยกับหลานให้เติบโตไม่ตามความสามารถของตนเอง
แต่เหอเยี่ยนไม่ยินยอม และพยายามหลีกเลี่ยงใช้ข้ออ้างว่าลูกยังเด็กและยังไม่รู้ว่าชีวิตนี้ควรทำอะไร
เธอกล่าวว่าการเป็นนักมายากลนั้นก็เป็นเพียงแค่ความคลั่งใคล้เพียงช่วงสั้นๆ หลังจากเรียนรู้ไปสักพักก็จะเบื่อ ในเวลานั้นไม่เพียงแต่เขาจะล้มเหลวในการเป็นนักมายากล แม้กระทั่งการเรียนก็จะล้มเหลวไปด้วย
ปู่เจี่ยนกล่าวกับเจี่ยนหยู่เจี๋ยว่า “ถ้าหลานชอบก็เรียนรู้ให้มาก เมื่อหลานจบจากโรงเรียนมัธยม ปู่จะขอร้องใครสักคนให้หาอาจารย์ที่เหมาะสมให้กับหลานสักคน”
เจี่ยนหยู่เจี๋ยดีใจมากเมื่อได้ยินคำพูดจากปู่ย่า เขากล่าวว่า “ขอบคุณครับ ปู่”
เหอเยี่ยนพลันหน้าตามืดหม่น
“พ่อแม่ หยู่เจี๋ยมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมมาก จะเป็นการสูญเปล่าอย่างมากในการให้เขาเป็นนักมายากล”
เหอเยี่ยนมีลูกชายสามคน ลูกชายสองคนแรกไม่ยินดีที่จะศึกษาด้านการเงินและธุรกิจ เธอไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ ในเมื่อทั้งสองคนนั้นมีอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว
เมื่อถึงตาของลูกชายคนที่สาม เธอไม่สามารถที่จะยอมให้เขาทำอะไรที่ไร้ค่าได้อีกต่อไป
นักมายากลทำเงินได้ในปีหนึ่งเท่าไหร่กันเชียว
ย่าเจี่นอธิบายว่า “เป็นนักมายากลไม่เพียงแต่ต้องการความฉลาดและจิตวิญญาณ เธอจะไม่สามารถกลายเป็นนักมายากลที่ยอดเยี่ยมด้วยการใช้มืออย่างเดียวได้ ผลการเรียนที่ดีในตอนนี้ย่อมเป็นรากฐานสำหรับอนาคต และอย่าทำให้มันสูญเปล่า”
ย่าเจี่ยนรู้ว่าเหอเยี่ยนกำลังคิดอะไร แต่เพราะว่าสิ่งที่เด็กชื่นชอบนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ความปรารถนาที่จะเป็นนักมายากลของหยู่เจี๋ยได้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว หากเป็นช่วงเวลาสั้นๆความกระตือรือล้นย่อมต้องดับสลายไปเรียบร้อยแล้ว
คอมเม้นต์