Divine Soul Emperor ระบบเจ้าสำนัก ตอนที่ 455 : ฝางมู่
ตอนที่ 455 : ฝางมู่ทำไมทั้งสี่ถึงใจเย็นได้ทั้งๆที่สถานการณ์ภายนอกปั่นป่วนแบบนี้? เหตุผลคือเจ้าสำนัก ! ในหมู่ยอดฝีมือระดับสูงสุดหลายคน มีแค่ 4 คนที่รู้ว่าเจ้าสำนักแข็งแกร่งแค่ไหนและมีแค่ 4 คนที่ตกลงกับเจ้าสำนักเอาไว้ ! ยอดฝีมือระดับสูงสุดคนอื่นแม้แต่คนในเขตเหนือซึ่งเคยได้ยินตำนานของเจ้าสำนักก็คงไม่รู้ว่าเจ้าสำนักแข็งแกร่งแค่ไหนกัน ! ตราบใดที่เจ้าสำนักยังอยู่ มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดการฆ่าฟันในหมู่มนุษย์ ใครก็ตามที่กล้าทำแบบนั้นต้องตาย ไม่ต้องเดาเลยว่าเจ้าสำนักมีความสามารถในการกำจัดยอดฝีมือระดับสูงสุดพวกนั้น นี่ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกหน้าใหม่คือพวกที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่โด่งดังมานานอย่างราชามังกรก็ไม่อาจที่จะเป็นคู่มือของเจ้าสำนักได้ ! “งานเร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือทำภารกิจที่เจ้าสำนักมอบหมายมาให้สำเร็จ เรื่องอื่นไม่ต้องรีบร้อนมากนัก” ลั่วซูหยางมองไปยังทั้งสามคนตรงหน้า พร้อมกับแสดงสีหน้าจริงจังออกมา เรื่องอื่นลั่วซู่หยางมองข้ามได้ แต่ไม่อาจจะมองข้ามงานที่เจ้าสำนักมอบหมายมาให้ได้ ไม่ใช่แค่เขาแต่สำหรับทั้งสี่คนด้วย ! ชุยเจี่ยน,หงจินเป่าและหยางเพ้ยอันพากันพยักหน้าตอบรับ สำหรับเรื่องนี้พวกเขาเห็นพ้องต้องกัน “เอาล่ะ ทุกคนลงมือได้ หากมีอะไรก็มาที่สมาคมนักวางค่ายกลเพื่อเข้าพบข้าได้เลย” ลั่วซู่หยางไม่ได้พูดอะไรต่อ ตอนนี้เวลาคือสิ่งที่ไม่อาจจะปล่อยให้เสียเปล่าได้ คนอื่นๆยังไม่ทันได้ตอบกลับ ลั่วซู่หยางก็ได้ใช้เคลื่อนย้ายพริบตาออกจากที่นั่นไป หงจินเป่าเองก็กลับไปเช่นกัน เขากังวลยิ่งกว่าชุยเจี่ยน เพราะเขาไม่มีเบาะแสที่จะตามหาตัวคนทั้งสามได้เลย มันคงใช้เวลานาน เมื่อลั่วซู่หยางและหงจินเป่าจากไป ชุยเจี่ยนก็หันไปถามหยางเพ้ยอัน “เซียนอักษร เจ้าเชื่อในตัวเซียนค่ายกลจริงๆรึ? เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะหักหลังเราเข้าสักวันรึ?” หยางเพ้ยอันมองไปที่ชุยเจี่ยนและพูดขึ้นมา “เราเป็นพันธมิตรกันแล้ว เซียนค่ายกลเป็นหัวหน้าของเรา บางอย่างเจ้าไม่อาจจะพูดออกมาได้อีกในอนาคต” เขาไม่ได้ตอบกลับคำถามของชุยเจี่ยน แต่เห็นได้ว่าเขาไม่ได้เชื่อใจลั่วซู่หยางมากนัก เขายอมร่วมมือกับลั่วซู่หยางดีกว่าต้องไปร่วมมือกับยอดฝีมือระดับสูงสุดคนอื่น ทุกคนต่างก็รู้ว่าหากมีความขัดแย้งขึ้นมา มันก็จะเกิดปัญหาตามมา ปัญหาก็ใช่ว่าจะแก้กันได้ง่ายๆ ความเสี่ยงที่จะถูกหักหลังนั้นใช่ว่าจะไม่มี แต่มันก็ดีกว่าการร่วมมือกับยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่ หากมองทั้งสองขุมกำลังแล้ว หยางเพ้ยอันรู้ดีว่าต้องเลือกฝั่งไหน ชุยเจี่ยนคิดตามและเบะปากพูดออกมา “เจ้าเสแสร้งได้เก่งจริงๆ!” เมื่อพูดจบ มิติรอบตัวชุยเจี่ยนก็ผันผวนก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปจากสวน “เสแสร้งรึ?” หยางเพ้ยอันยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้า “บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น!”นี่ไม่ต้องพูดถึงแค่ลั่วซู่หยาง แม้แต่เซียนคนอื่นๆหยางเพ้ยอันก็ไม่ได้เชื่อใจมากนัก มันไม่ใช่การเสแสร้งแต่เป็นกฎของมนุษย์ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าเหล่าเซียนใช่ว่าจะเชื่อใจเขา แม้แต่คนที่ตรงไปตรงมาอย่างชุยเจี่ยน ก็อาจจะมีความคิดในใจที่ไม่ได้ดูใสซื่อ ยอดฝีมือระดับสูงสุดนั้นไม่มีใครโง่ หากพวกเขาโง่ พวกเขาคงตายไปแล้ว “ข้าเสแสร้งก็จริงแต่พวกเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าหรอก” หยางเพ้ยอันยิ้มออกมาก่อนจะมองขึ้นไปยังท้องฟ้า….หลังจากที่ออกจากสวนมา ลั่วซู่หยางนั้นไม่ได้หยุดเลยแม้แต่น้อย เขาทำการเคลื่อนย้ายกลับไปที่สมาคมนักวางค่ายกลให้เร็วที่สุด ตอนนี้มียอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่กำเนิดขึ้นมา สมาคมนักวางค่ายกลจะได้รับผลกระทบตอนไหนก็ได้ ในฐานะขุมกำลังที่แท้จริงของสมาคมนักวางค่ายกล เขาก็ต้องอยู่ที่สมาคมเพื่อรับมือกับปัญหา อยู่ๆลั่วซู่หยางก็หยุด และมองไปทางสมาคมนักวางค่ายกลด้วยความแปลกใจ เมื่อครู่นี้เขาแผ่การรับรู้ไปที่สมาคมนักวางค่ายกล และรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา! “เร็วแบบนี้เลยรึ?” ลั่วซู่หยางหรี่ตาลง ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางของมนุษย์ นอกจากเขาแล้วก็มีแค่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตมากว่าเจ็ดพันปี ว่ากันว่าเป็นบรรพบุรุษของจักรพรรดิของจักรวรรดิฉินในตอนนี้ ตอนนั้นเขาสามารถทำให้อาณาจักรฉินพัฒนาจากอาณาจักรธรรมดาขึ้นมาเป็นจักรวรรดิได้ ลั่วซู่หยางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเคลื่อนย้ายไปปรากฏตัวที่ด้านนอกสมาคมนักวางค่ายกล “ท่านเซียน!” หงยู่เห็นลั่วซู่หยางก็แอบโล่งอก “ในที่สุดท่านก็กลับมา!” หงยู่เองก็ได้ทำการบ่มเพาะทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำ แต่เขายังบ่มเพาะมันได้ไม่มากพอ ไม่ใช่แค่เขาไม่ได้กลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด แต่ระดับการบ่มเพาะของเขายังลดลงเล็กน้อย เขาพอรักษาระดับบ่มเพาะเอาไว้ได้ที่ขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงและเกือบตกลงไปที่ขั้นกลาง ลั่วซู่หยางไม่ได้สนใจหงยู่ แต่หันไปมองศาลาที่อยู่ข้างๆ ที่ม้านั่งไม้ภายในสวนมีชายแก่ผมสีเงินนั่งอยู่อย่างสบายใจ เมื่อเห็นลั่วซู่หยางมาถึงที่นั่น ชายแก่ก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มให้กับลั่วซู่หยางด้วยท่าทีใจเย็น เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ ลั่วซู่หยางก็ต้องตะลึงยิ่งกว่าเดิม พลังของอีกฝ่ายนั้นทำให้เขารู้สึกด้อยกว่าเล็กน้อย แน่นอนว่านี่คือยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง ! แม้ว่าจะยังไม่ได้สู้กัน แต่ลั่วซู่หยางก็ไม่ได้สงสัยในความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย บรรยากาศอันหนักอึ้งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะปลอมแปลงขึ้นมา! ลั่วซู่หยางมุ่งหน้าไปที่ศาลา และพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “บรรพบุรุษฉินรึ?” มีข่าวลือกว่าฉินอู่ตี้ตายไปเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่แค่ยังมีชีวิตอยู่แต่เขายังกลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางด้วย “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง?” ชายแก่มองไปที่ลั่วซู่หยางด้วยความสนใจ “ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางนอกจากข้าแล้ว ก็มีแค่ฉินอู่ตี้ หากท่านไม่ใช่ฉินอู่ตี้แล้วจะเป็นใครได้?” ลั่วซู่หยางสงสัย แม้ว่าพลังของชายคนนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งแบบในตำนาน แต่เขาก็มั่นใจในตัวตนของอีกฝ่าย ยังไงซะยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ในความเห็นของเขาแล้ว แค่มียอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งก็น่าเหลือเชื่อแล้ว เขาไม่คิดว่าจะมีคนที่สองโผล่มาได้ “ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง?” ชายแก่ชะงักและเริ่มสงสัยขึ้นมา ลั่วซู่หยางเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพุดขึ้นมา “ยอดฝีมือระดับสูงสุดแบ่งเป็น 3 ขั้น ตอนนี้ยอดฝีมือระดับสูงสุดส่วนมากในทวีปคือยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นต่ำอย่างเซียนโอสถ, เซียนหลอม, เซียนอักษรและพวกยอดฝีมือระดับสูงสุดที่เพิ่งกำเนิดขึ้นมาไม่นานนี้ พวกขั้นกลางคือท่านกับข้า ตามมาด้วยขั้นสูงอย่างราชาสัตว์อสูร ขั้นสมบูรณ์ก็คือราชามังกรและท่านเป้ยหลงที่เคยอยู่ในระดับนั้น ” เขาไม่ได้รังเกียจที่จะบอกข้อมูลนี้กับอีกฝ่าย อย่างน้อยก็ให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตัวเขาเองก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางเช่นกันเพื่อที่อีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรหุนหัน “แบบนี้นี่เอง” ชายแก่พยักหน้าและถอนหายใจออกมา “ไม่คาดคิดเลยว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดจะแบ่งเป็นสูงและต่ำด้วย ไม่คิดเลยว่าข้าจะเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางได้…” ถ้าไม่ใช่ลั่วซู่หยางที่บอกแบบนี้ออกมา เขาคงไม่เชื่อ เขากลับเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางที่แข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดทั่วไป “บอกมาว่าท่านมาที่นี่มีจุดประสงค์อะไรกัน?” ลั่วซู่หยางดูระวังตัวอย่างมาก “ตอนนี้สถานการณ์นั้นอ่อนไหว การที่ท่านมาหาข้าจะไม่ทำให้ยอดฝีมือระดับสูงสุดคนอื่นเข้าใจผิดรึ ? ” ลั่วซู่หยางเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง ฉินอู่ตี้เองก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง หากทั้งสองร่วมมือกัน พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวภัยใดๆ ลั่วซู่หยางไม่เชื่อในตำนานของฉินอู่ตี้เขาจึงได้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ในประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าฉินอู่ตี้นั้นแข็งแกร่งและเจ้าเล่ห์อย่างมาก หากร่วมมือกับกับคนแบบนี้ ผลลัพธ์อาจจะพบกับความน่าอนาถ แม้ว่าชายแก่ตรงหน้าจะดูสุขุม และทำให้คนรู้สึกดี แต่ลั่วซู่หยางไม่เชื่อภาพลวงตานี่ บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ฉินอู่ตี้เสแสร้ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือระดับสูงสุดจะเดาออก จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ได้รับความเคารพจากคนมากมาย ความฉลาดและไหวพริบของเขาไม่อาจจะมองข้ามได้ หากต้องสู้กับคนแบบนี้ ฝั่งที่เสียหายคงจะเข้าทางอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายอ่อนแอเท่ากับเซียนอักษรคงไม่เป็นไร แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาเลย “ หากข้าเป็นฉินอู่ตี้ เป็นธรรมดาข้าคงไม่เข้ามาพบเจ้าเพียงลำพัง แต่โชคร้ายที่ข้าไม่ใช่ฉินอู่ตี้ ” ชายแก่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ ข้าพบเจ้าที่นี่ไม่มีความหมายอื่น ข้าแค่อยากจะมาเจอเจ้าและถามเจ้าว่า ทำไมถึงได้เผยแพร่ทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำให้กับมนุษย์…คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากข้าแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่อีกหลายคน ดูเหมือนว่าข้าจะเดาไม่ผิด ทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำนี้ช่างโดดเด่นจริงๆ ! ” ทักษะบ่มเพาะที่สามารถสร้างยอดฝีมือระดับสูงสุดขึ้นมาได้จำนวนมาก ใครกันที่จะกล้ามองข้ามมัน ? ลั่วซู่หยางคิ้วขมวด “ท่านไม่ใช่ฉินอู่ตี้รึ?” เขาอึ้งนิดๆ ในหมู่มนุษย์แล้วยังมียอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางคนที่สามอีกรึ ? “หากข้าเป็นเขาจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าจะปฏิเสธหรือไม่?” ชายแก่ยิ้มออกมา ตอนที่เขาเก็บตัวนั้น มันคือช่วงรุ่งเรืองของจักรวรรดิฉิน ตอนนั้นจักรพรรดิของจักวรรดิฉินคือฉินอู่ตี้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยสู้กับฉินอู่ตี้ แต่ก็พอรู้เรื่องอีกฝ่ายอยู่บ้าง เขารู้ว่าฉินอู่ตี้นั้นเย่อหยิ่งและแข็งแกร่งแค่ไหน คนแบบนั้นไม่จำเป็นต้องโกหก ลั่วซู่หยางเงียบไปและเห็นด้วยกับคำพูดของชายแก่ แต่เขาไม่ได้ลดการป้องกันลง เขาถามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านเป็นใครกัน?” “คำถามนี้มันสำคัญรึ?” ชายแก่ยิ้มออกมา ลั่วซู่หยางมองไปที่ชายแก่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชายแก่คิดเล็กน้อยและพูดขึ้น “ข้าชื่อฝางมู่!” “ฝางมู่รึ? ” ลั่วซู่หยางคิ้วขมวดแต่ไม่อาจจะจำชื่อนี้ได้
คอมเม้นต์