Divine Soul Emperor ระบบเจ้าสำนัก ตอนที่ 452 : ยอดฝีมือระดับสูงสุดคนที่ห้า

อ่านนิยายจีนเรื่อง Divine Soul Emperor ระบบเจ้าสำนัก ตอนที่ 452 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่  452 : ยอดฝีมือระดับสูงสุดคนที่ห้า
 
“ไม่ คนอย่างเย่เทียนตี้จะฟังข้ารึ?”  คิ้วของจางหยูขมวดเข้าหากัน โลกบังสวรรค์นั้น จักรพรรดิสวรรค์ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานของยุค นี่ไม่ต้องนับเย่เทียนตี้เลย ตัวตนอย่างจักรพรรดิสวรรค์ทั่วไปก็ไม่น่าจะฟังคำสั่งของผู้อื่น เพราะมันทำให้พวกเขาเสียเกียรติ
 
จางหยูครุ่นคิดและใจเย็นลง หากอีกฝ่ายไม่เชื่อฟังเขาล่ะ? โลกบังสวรรค์นี้เขาเป็นคนสร้างขึ้นมา เขาคือตัวตนสูงสุดของโลกบังสวรรค์ หากมีใครกล้าขัดใจเขา แค่คิดเขาก็สามารถทำลายทั้งโลกบังสวรรค์ได้ ทำไมจะต้องกังวลด้วย?
 
ถึงโลกบังสวรรค์จะถูกทำลายไปแต่จางหยูก็ไม่ได้เสียดายอะไร ตราบใดที่ใช้ทักษะหลอกลวง เขาก็สามารถสร้างโลกแบบนี้ขึ้นมาได้อีกมากมายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโลกมหาภิภพ, โลกไซอิ๋ว, โลกหงเหมิง, โลกก่อนประวัติศาสตร์…ตราบใดที่เขาเต็มใจใช้เวลาไปกับมัน มันจะมีโลกแบบไหนบ้างที่เขาไม่อาจจะสร้างมาได้ ?
 
บังสวรรค์นี้เหมือนกับหนูทดลอง มันได้ให้ประสบการรณ์กับจางหยู ดังนั้นจึงใช้เวลานานกว่าที่จะกำเนิดขึ้นมา
 
เรื่องสำคัญอย่างแรกคือต้องยกระดับการบ่มเพาะขึ้นเป็นขอบเขตตุ้นซวนขั้นสมบูรณ์ให้ได้ก่อน หรืออาจจะไปยังระดับสูงกว่านั้น หากมีระดับการบ่มเพาะเพียงพอ จางหยูก็มั่นใจว่าจะสร้างโลกได้มากกว่าเดิม ไม่งั้นแล้วแม้ว่าเขาจะมีความคิดมากมาย แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงความเพ้อฝัน
 
เมื่อคิดเช่นนั้นจางหยูก็ไม่มัวจมกับปัญหาอีกต่อไป เขาได้ทำการบ่เมพาะอีกรอบ
 
ข้างๆบ่อน้ำนั้น พลังของจางหยู, เจ้าสำนักและอ้าวเสี่ยวหร่าน ได้เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนที่ยกระดับเร็วที่สุดคือ อ้าวเสี่ยวหร่าน ตามมาด้วยเจ้าสำนักและสุดท้ายก็เป็นจางหยู แต่นี่เป็นเรื่องปกติ ระดับการบ่มเพาะของจางหยูนั้นขึ้นมาถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงแล้ว ทุกครั้งที่ยกระดับการบ่มเพาะจะต้องใช้หลิงชี่จำนวนมหาศาล หลิงชี่จำนวนเท่ากันที่ทำให้พวกขอบเขตหลี่ซวนยกระดับขึ้นมาเป็นขอบเขตตุ้นซวนได้ แต่สำหรับจางหยูแล้วมันแค่ยกระดับเขาขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
 
“ข้ามีโลกนภา ไม่งั้นแล้วถึงแม้ว่าจะบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีกว่าที่จะบ่มเพาะขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสมบูรณ์ได้…” จางหยูคิด
 
หลิงชี่ในโลกนภาหนาแน่นกว่าที่โลกป่า ผลก็คือระดับการบ่มเพาะของจางหยูเร็วกว่าเดิมถึง 10 เท่า ปกติแล้วมันต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะบ่มเพาะขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสมบูรณ์ได้ แต่ในโลกนภาแห่งนี้ เขาสามารถขึ้นไปถึงขั้นสมบูรณ์ได้ในเวลาไม่กี่เดือน
 
ตอนนั้น จางหยูเอาแต่บ่มเพาะโดยไม่หลับไม่นอน เขาไม่รู้ว่าที่โลกป่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
 
ภายในป่าที่ภูเขามีบ้านเก่าๆหลังหนึ่งตั้งอยู่
 
รั้วของบ้านทำขึ้นมาง่ายๆทำให้ที่นั่นดูสงบ
 
ตอนนั้นภายในบ้านมีชายแก่นั่งอยู่บนหินกลม เขาหลับตาพร้อมกับแผ่พลังอันร้ายกาจออกมาผ่านลมหายใจ
 
ไม่มีใครรู้ตัวตนของชายแก่ผู้นี้ ไม่มีใครรู้ว่าชายแก่ผู้นี้พักอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน มีคนที่ขึ้นมาบนเขานี้ไม่มากนัก ภูเขาทั้งลูกมีคนแค่ประมาณ 10 คน แต่พวกนั้นไม่รู้จักชายแก่ผู้นี้เลย พวกเขารู้แค่ว่าตั้งแต่ที่พวกเขาเกิดมา พวกเขาก็พบว่าชายแก่อยู่ที่นี่มานานแล้ว แม้แต่พ่อและปู่ของพวกเขาก็เคยเจอกับชายแก่ผู้นี้ พวกเขาเคยมีธุระพบปะกับชายแก่ผู้นี้มารุ่นสู่รุ่น
 
ดูเหมือนว่าชายแก่จะมีตัวตนตั้งแต่บรรพบุรุษของพวกเขาตั้งรกรากที่นี่
 
ชายแก่ผู้นี้ใช้ชีวิตสมถะ เวลาส่วนมากเขาใช้ไปกับการบ่มเพาะ บางครั้งเขาก็รับคำเชิญจากคนบนเขาเพื่อไปทานอาหารที่บ้านพวกนั้น และชี้แนะการบ่มเพาะให้กับพวกนั้น แต่ระดับการบ่มเพาะของพวกเขาขึ้นมาถึงแค่ขอบเขตฉีซวน หรือก็ว่อซวน มีไม่กี่คนที่ก้าวขึ้นไปถึงขอบเขตหลิงซวนได้ ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะทัดเทียมกับเหล่าสัตว์อสูรบนเขาได้
 
เรื่องที่น่าแปลกเกิดขึ้นเมื่อสิบวันก่อน หลังจากที่ชายคนหนึ่งจากสมาคมปรุงยามาที่นี่และเผยแพร่ทักษะบ่มเพาะ ชายแก่นี้กลับทำการบ่มเพาะมัน 11 วันติดต่อกัน เขาไม่ไหวติงราวกับรูปปั้น เสื้อผ้าสีเทาของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะ มีต้นไม้ต้นเล็กๆงอกออกมาจากเสื้อผ้าเขาด้วย
 
ชายแก่คนนี้ปกปิดพลังเอาไว้แต่ก็มีบางครั้งที่พลังรั่วไหลออกมา หากอกเขาไม่กระเพื่อมขึ้นลง ผู้คนคงคิดว่าเขาตายไปแล้ว
 
ชายหนุ่มที่นำอาหารมาให้กับชายแก่ ได้มองมาที่ชายแก่ผู้นี้และต้องเดินกลับไปพร้อมกับอาหารที่นำมา
 
“ผู้เฒ่าฝาง ยังบ่มเพาะอยู่รึ?”  หลังจากที่กลับมาที่บ้าน ชายวัยกลางคนในบ้านก็เดินเข้ามาหาชายหนุ่ม
 
ชัดแล้วว่า ผู้เฒ่าฝางนั่นคือชื่อของชายแก่ที่บ่มเพาะอยู่ในป่า ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของชายแก่ พวกเขารู้ชื่อนี้มาตั้งแต่เกิดจากพ่อและปู่ของตน ดูเหมือนว่าชื่อนี้จะมาจากบรรพบุรุษของพวกเขาและไม่เคยเปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่เคยเปลี่ยนชื่อเรียกนี้ พวกเขาใช้มันจนชิน
 
ชายหนุ่มพยักหน้า  “นี่ก็ 11 วันแล้ว”
 
ชายวัยกลางคนเงียบไปก่อนจะส่ายหน้า “สำหรับผู้เฒ่าฝางแล้ว การที่ไม่กินอะไร 11 วันคงไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าไม่ต้องไปตอนบ่าย ค่อยไปส่งอาหารวันพรุ่งนี้…”  ในสายตาของคนบนเขา ชายแก่คนนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากเทพ ชายแก่ผู้นี้คือเทพผู้พิทักษ์เขาเยี่ยนตั้ง ตราบใดที่มีชายแก่ผู้นี้อยู่ พวกเขาก็ไม่กลัวภัยพิบัติใดๆ แม้แต่สัตว์อสูรขอบเขตหลิงซวนหรือตันซวน พวกเขาก็ไม่กลัว
 
“ได้” ชายหนุ่มตอบกลับ
 
“มากินข้าวเย็นกัน” ชายวัยกลางคนชี้ไปที่เก้าอี้และถามขึ้นมา “ทักษะบ่มเพาะที่สมาคมปรุงยามาสอน เจ้าบ่มเพาะหรือยัง?”
 
“ข้าบ่มเพาะมันมากว่า 10 วันแล้ว แต่….”  ชายหนุ่มหยุดพูดไป
 
“พูดมา”
 
“ระดับการบ่มเพาะของข้าไม่ใช่แค่ไม่พัฒนา แต่ยังลดลง” ชายหนุ่มลังเลและพูดขึ้นมา “ทว่าปราณนั้นกลับมากกว่าเดิมหลายเท่าและความเร็วในการบ่มาเพาะนั้นรวดเร็วกว่าเก่า ประมาณ 1 เดือนข้าถึงจะยกระดับเท่ากับขอบเขตเดิมได้ เฮ้อออ นี่ข้าถดถอยลงจากเดิมรึ?”
 
ถึงการบ่มเพาะทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำจะบ่มเพาะได้รวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า แต่มันก็ยังทำให้เขาลนลานนิดๆ
 
ต้องรู้ก่อนว่าทักษะบ่มเพาะที่เขาเคยใช้นั้น คือทักษะที่ผู้เฒ่าฝางสอนให้กับเขา ทักษะนี้แข็งแกร่ง ความเร็วของมันก็มากกว่าทักษะทั่วไป เมื่อต้องเปลี่ยนมาบ่มเพาะทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำ ความเร็วของการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าจากเดิม แล้วแบบนี้เขาจะไม่ลนลานได้ยังไง ?
 
เขาเคยได้ยินว่าบางทักษะนั้นผิดปกติ ยิ่งบ่มเพาะได้เร็วเท่าไหร่ ความตายก็มาถึงเร็วเท่านั้น เขากังวลว่าตัวเองจะพบกับสถานการณ์แบบนั้น
 
“มันเป็นเรื่องปกติ” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “ผู้เฒ่าฝางบอกว่าทักษะนี้วิเศษอย่างมาก มันถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ ไม่งั้นแล้ว เฒ่าฝางคงไม่ประเมินค่ามันไว้สูง ตอนที่คนจากสมาคมปรุงยามา เขาคงสั่งให้กลับตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว…”
 
เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อพ่อพูดออกมาแบบนั้น แน่นอนว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
 
ตอนที่เขากำลังจะถาม อยู่ๆก็เกิดสายลมพัดเข้ามา ในเวลาเดียวกันก็มีพลังอันน่ากลัวปกคลุมภูเขาทั้งลูก แม้แต่ส่วนที่ไกลจากภูเขาไปก็ด้วย มันทำให้ต้นหญ้าหลายต้นสั่นไหว
 
ทั้งสองแทบจะหายใจไม่ออกเมื่อถูกพลังนี้กดทับ พวกเขาไม่อาจจะขยับตัวได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว
 
แข็งแกร่งจริงๆ !
 
พลังนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเซียนโอสถ, เซียนหลอม, เซียนอักษร และไม่ได้ด้อยกว่าเซียนค่ายกลด้วยซ้ำ
 
โชคดีที่พลังนี้ปลดปล่อยออกมาในเวลาอันสั้นก่อนจะหายไปราวกับว่าไม่เคยมีพลังนี้มาก่อน
 
“ผู้เฒ่าฝาง!”  ชายวัยกลางคนและชายหนุ่มลุกขึ้นยืนในทันที  พวกเขามองหน้ากันก่อนจะรีบออกจากบ้านมุ่งหน้าไปที่ป่าทันที
 
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงป่า รอบตัวเขาเต็มไปด้วยผู้คนทั้งชายและหญิง คนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกนั้นคือชายแก่ผมขาวดูสูงส่ง ระดับการบ่มเพาะของเขาคือขอบเขตหลิงซวน ซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านเยี่ยนตั้ง นอกจากนี้เขายังเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน และเป็นรองแค่เพียงผู้เฒ่าฝางเท่านั้น
 
หลายสิบคนยืนอยู่ด้านนอกป่า ด้วยสีหน้าคาดหวังและกังวล
 
“ผู้เฒ่าหลง!” ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆกับหัวหน้าหมู่บ้านกำลังจะถามบางอย่าง
 
แต่ตอนที่เขาเพิ่งจะพูดออกมานั้น ผู้เฒ่าหลงก็โบกมือและพูดขึ้นมา “เงียบก่อน!”
 
ชายหนุ่มปิดปากเงียบและไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
 
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในป่า ทุกคนต่างก็มองเข้าไปในป่า ชายหนุ่ม ชายวัยกลางคนและหัวหน้าหมู่บ้านต่างก็แสดงสายตาคาดหวังออกมา
 
“ผู้เฒ่าฝาง!”  ทุกคนต่างก็ตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“เมื่อทุกคนมาที่นี่ ข้าจะประกาศว่า การเก็บตัวที่ภูเขาเยี่ยนตั้งของข้าได้สิ้นสุดแล้ว วันนี้ข้าจะออกจากภูเขาเยี่ยนตั้ง พวกเจ้าคงต้องพึ่งตัวเองในอนาคต” ผู้เฒ่าฝางหน้าแดงก่ำราวกับเด็กลงหลายสิบปี เขาถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา
 
เมื่อได้ยินที่ผู้เฒ่าฝางพูดมา ผู้คนต่างก็พากันสีหน้าเปลี่ยนไป
 
ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยความกังวล  “ผู้เฒ่าฝาง ท่านเป็นเทพผู้พิทักษ์ของภูเขาเยี่ยนตั้ง หากท่านไปแล้ว แล้วภูเขาเยี่ยนตั้งล่ะ? ได้โปรดอย่าไป ภูเขาเยี่ยนตั้งอยู่ไม่ได้หากขาดท่านไป ชาวบ้านไม่อาจจะอยู่ได้แน่ ”
 
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
 
“ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของพวกเจ้าไม่ได้อ่อนแอจนจัดการกับสัตว์อสูรรอบๆไม่ได้ การที่ข้าจะอยู่หรือไปนั้นก็ไม่ส่งผลอะไร” ผู้เฒ่าฝางยิ้มออกมา “งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา แม้ว่าข้าจะอยู่ในภูเขาเยี่ยนตั้งมานานแต่ข้าก็เป็นคนนอก บ้านเกิดของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ และเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”
 
เมื่อพูดจบ ผู้เฒ่าฝางก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ร่างของเขาได้หายไปจากสายตาของทุกคนทันที
 
เคลื่อนย้ายพริบตา !
 
ความสามารถของยอดฝีมือระดับสูงสุดที่ควบคุมมิติได้ !
 
ในท้องฟ้าห่างออกไปหลายพันไมล์ ได้เกิดการผันผวนของมิติ ร่างของผู้เฒ่าฝางได้ปรากฏขึ้นมา เขามองลงไปยังพื้นด่านล่างและพึมพำออกมา  “นี่คือเคลื่อนย้ายพริบตารึ?”
 
หากบอกไปแล้วคงเป็นเรื่องน่าอาย
 
อายุขัยของผู้เฒ่าฝางนั้นเหลือไม่มาก การที่เขาทะลวงผ่านได้ก่อนที่จะตายและกลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดได้นี้ทำให้เขาไม่รู้สึกเสียดายชีวิต !
 
หากเหล่าเซียนมาที่นี่ ก็คงเห็นได้ว่าผู้เฒ่าฝางได้ขึ้นมายังระดับสูงสุดขั้นกลางที่ทัดเทียมกับพวกตนได้แล้ว !
 
นี่คือสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มากว่า 9,000 ปี เขาติดอยู่ขอบเขตตุ้นซวนมาหลายปี การทะลวงผ่านนี้ทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด ในเผ่ามนุษย์นั้นไม่มีใครจะมองข้ามเขาได้
 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด