Divine Soul Emperor ระบบเจ้าสำนัก ตอนที่ 451 : ภาพของโลก(II)

อ่านนิยายจีนเรื่อง Divine Soul Emperor ระบบเจ้าสำนัก ตอนที่ 451 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 451 : ภาพของโลก(II)
 
จางหยูไม่มั่นใจว่าภาพฉายจากวังวนนี่คืออะไรกัน แม้ว่ามันจะดูเหมือนกับโลก แต่ขนาดของมันเล็กและดูเปราะบางเกินไป จางหยูไม่มั่นว่ามันคือโลกขนาดเล็กหรือเปล่า
 
“ทำไมตันเถียนของข้าถึงได้แปลกไปแบบนี้?” จางหยูคิ้วขมวด “การเปลี่ยนแปลงของตันเถียนงั้นรึ?”
 
จากมุมมองของจางหยูแล้วมันยากที่จะคิดได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวังวน นี่เป็นภาพจำลองรึว่าเป็นโลกจริงๆ ?
 
จางหยูที่ไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักใจ เขารู้สึกว่าวังวนไม่รู้จบในตันเถียนของเขานั้นอยู่เหนือการควบคุม
 
การดูดซับและขยายตัวของวังวนนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา มันกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่รู้จัก
 
โชคดีที่พลังจากวังวนดูคุ้นเคยเช่นเดิม มันทำให้จางหยูรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาและไม่ลนลานมากนัก
 
“ข้าอยากเห็นว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในวังวน!” จางหยูสูดหายใจเข้าลึกๆและเพ่งสมาธิไปกับการบ่มเพาะอีกครั้ง
 
เขารู้สึกได้ว่าระดับการบ่มเพาะของเขาพัฒนาขึ้นมา ยิ่งวังวนดูดซับพลังงานไปมากเท่าไหร่ ภาพฉายก็ยิ่งชัดเจนมากเท่านั้นและเขายิ่งรู้สึกคุ้นเคยรวมถึงเครียดยิ่งกว่าเดิม บางทีเมื่อระดับการบ่มเพาะของเขายกระดับขึ้นมาเกินขีดจำกัด ในตอนนั้นเขาก็อาจจะรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในวังวน
 
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำไหลผ่าน
 
ระดับการบ่มเพาะของจางหยูเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจ มันเร็วกว่าการบ่มเพาะด้านนอกกว่า 10 เท่า เขาเพิ่งจะทะลวงผ่านขึ้นมาขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงได้ ไม่ใช่แค่ระดับการบ่มเพาะที่คงที่ขึ้นมา แต่เขายังทำการยกระดับตัวเองได้อย่างมั่นคงด้วย
 
ในตันเถียนของเขา ความเร็วในการดูดซับหลิงชี่มากกว่าที่วังวนเป็นร้อยเป็นพันเท่า ขนาดของมันขยายตัวขึ้นและภาพฉายก็เริ่มชัดเจนขึ้นไปด้วย เขาพอเห็นภาพเบลอด้านในแล้ว…
 
จางหยูไม่อาจจะจำได้ว่าเขาบ่มเพาะมานานแค่ไหน แต่ต้องเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน ตอนที่เขาหยุดทำการบ่มเพาะ เขาก็ได้แผ่การรับรู้ของตัวเอง เพื่อตรวจสอบวังวนตันเถียน แต่แค่แว๊บเดียวอยู่ๆจางหยูก็ชะงัก
 
“มันกลับเป็นโลกจริงๆ!” จางหยูอึ้ง เขาไม่คิดว่าสิ่งที่อยู่ในวังวนซึ่งอัดแน่นขึ้นมาราวกับฝุ่นจะกลายเป็นโลก แต่โลกนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ มันมีหลายที่ที่ยังมืดมิดและว่างเปล่า มีแค่ไม่กี่ที่ที่ถูกสร้างขึ้นมา และมันมีการโคจรของจักรวาลภายในตัว มันคือโลกที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไม่ว่ามันจะใหญ่แค่ไหนก็ตามแต่ก็ดูเล็กสำหรับจางหยูอยู่ดี ตราบใดที่จางหยูแค่คิด วังวนนี้ก็จะถูกทำลายไปในทันที ทั้งโลกนี้จะหายไป
 
หลังจากที่เห็นหน้าของสิ่งที่อยู่ด้านในวังวนจางหยูก็เงียบไป
 
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกคุ้นเคยจากวังวนนี้มาจากไหน !
 
พลังนี่ไม่ใช่หลิงชี่ของโลกป่าขั้นต่ำ โลกในวังวนไม่ใช่ภาพฉายของโลกป่าขั้นต่ำ แต่เป็นภาพฉายของโลกบังสวรรค์ !
 
ถูกต้องแล้ว โลกในวังวนคือโลกบังสวรรค์ !
 
หรือว่า…มันอาจจะเป็นโลกบังสวรรค์ที่ยังไม่สมบูรณ์ มีแค่บางส่วนที่อัดแน่นขึ้นมาและพื้นที่ทั้งหมดของโลกนี้ก็เหมือนกับภาพฉายที่เล่นภาพอย่างรวดเร็ว  มันเริ่มแสดงตัวเองตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีตัวตนและสร้างตัวขึ้นมา มันฉายแบบนี้อยู่ซ้ำๆ
 
จางหยูตะลึง  “ มันกลับเป็นโลกบังสวรรค์หรอกรึ ?”
 
แม้ว่ามันจะเป็นโลกบังสวรรค์ที่ไม่สมบูรณ์ ถึงจะขาดพื้นที่ส่วนใหญ่ไปและไม่ได้มีจุดสิ้นสุด ทั้งยังดูคล้ายกับฉากจำลอง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้จางหยูทึ่งอย่างมาก
 
“ระบบ เกิดบ้าอะไรขึ้น?” จางหยูไม่อาจจะใจเย็นได้ เขารีบตะโกนเรียกระบบทันที
 
ปกติแล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่จางหยูเรียกระบบ ระบบจะไม่ตอบกลับ แต่ครั้งนี้ระบบกลับตอบกลับเขา
 
เสียงราวกับหุ่นยนต์ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นมาในหูของจางหยู “เจ้าคิดว่ามันคืออำนาจจากผลของทักษะหลอกลวงก็ได้”
 
จางหยูตกตะลึง  “ทักษะหลอกลวงรึ?”
 
“ใช่ พลังของทักษะหลอกลวงนั้นเจ้าก็เห็นมันมาแล้ว จากที่ไม่มีความจริงอันใดแต่สามารถเปลี่ยนกฎเกณฑ์ได้…” เสียงของระบบดังขึ้นต่อ เสียงนี้ไม่ได้แฝงอารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับโปรแกรมไร้อารมณ์หรือคอมพิวเตอร์ระดับต่ำ “ในทางทฤษฎีแล้วยิ่งคนทะเยอทะยานมากเท่าไหร่ ระดับการบ่มเพาะก็สูงมากขึ้นเท่านั้น และสามารถทำหลายอย่างมากขึ้นในโลกเช่นกัน เพราะผู้คนเชื่อในการมีอยู่ของบังสวรรค์  บวกกับความช่วยเหลือจากเต๋าสวรรค์ของโลกป่าขั้นต่ำโลกบังสวรรค์จึงก่อตัวขึ้นมา”
 
ระบบพูดต่อโดยไม่รอให้จางหยูขัด  “อันที่จริงแล้วโลกบังสวรรค์มีตัวตนอยู่นานแล้ว ตอนที่เรื่องบังสวรรค์เริ่มถูกเจ้าเล่าออกมา มันก็มีตัวตนแล้ว แต่เพราะระดับการบ่มเพาะก่อนหน้านี้ของเจ้าที่ต่ำเกินไป เจ้าจึงไม่อาจจะรับรู้ตัวตนของมันได้ จนถึงตอนนี้ที่ระดับการบ่มเพาะของเจ้าเกือบขึ้นไปถึงขีดจำกัด โลกบังสวรรค์จึงปรากฏออกมา…”
 
“เจ้าหมายความว่าโลกบังสวรรค์นี้มีตัวตนอยู่นานแล้วรึ?”  สีหน้าของจางหยูดูไม่มั่นใจ  “ทักษะหลอกลวงมันทรงพลังขนาดนั้นเลยรึ ? ”
 
แม้ว่าจางหยูจะเคยมองข้ามทักษะหลอกลวงไป แต่พลังของมันก็ต้องทำให้เขาคิดทบทวนใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
ระบบพูดขึ้นอย่างใจเย็น  “ทักษะหลอกลวงคือแก่นของระบบนี้ และมันก็คือทักษะที่เจ้าของคนเก่าได้พัฒนามาตลอดชีวิต เจ้าห้ามมองข้ามทักษะหลอกลวง ตราบใดที่ถูกใช้อย่างเหมาะสม ก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้า …”
 
จางหยูตาเป็นประกายขึ้นมาและพูดขึ้น  “เจ้านายเก่าเจ้าเป็นใครกัน?”
 
ระบบเงียบไปอีกครั้ง มันราวกับว่าจะหายไป ทุกครั้งที่พูดถึงเจ้านายมัน ระบบจะทำเป็นไม่ได้ยินเสมอ
 
จางหยูรู้สึกว่าระบบนี้ไม่ใช่ระบบทั่วไป แม้ว่าระบบนี้จะแสร้งทำตัวเป็นระบบได้ดี อีกทั้งเสียงของมันก็ยังเหมือนเสียงโปรแกรมระดับต่ำ แต่สำหรับจางหยูแล้ว สัญชาตญาณของจางหยูบอกเขาว่านี่มันคือระบบปลอม ระบบจริงไม่น่าจะเป็นแบบนี้
 
แต่ระบบไม่ได้ตอบกลับเรื่องนี้แม้ว่าเขาจะถามสักกี่ครั้งก็ตาม เขาไม่อาจจะได้รับคำตอบกลับมาและสมมติฐานในใจของเขาก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน
 
“ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องเจ้านายเก่าเจ้าเลย ข้าอยากถามว่าทำไมเต๋าสวรรค์ของโลกป่าขั้นต่ำถึงได้ช่วยข้า?” จางหยูไม่มัวหมกมุ่นกับเรื่องเจ้านายเก่าของระบบ เขาให้ความสำคัญกับปัญหาที่เขาต้องเข้าใจมากกว่า
 
ครั้งนี้ระบบไม่ได้เงียบ มันตอบกลับด้วยเสียงเช่นเดิม  “เพราะโลกป่าขั้นต่ำต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นช่วยในการพัฒนาโลกป่าขั้นต่ำ โดยเฉพาะสิ่งใหม่ซึ่งก็คือระบบการบ่มเพาะ…มันได้ช่วยโลกป่าขั้นต่ำในการพัฒนากฎของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นพลังของระบบบังสวรรค์ก็สูงกว่าโลกป่าขั้นต่ำ ตราบใดที่เจ้าทำการยกระดับบังสวรรค์ได้ โลกป่าขั้นต่ำก็ยิ่งพัฒนาได้เร็วกว่าเดิม จนกระทั่ง…”
 
“จนกระทั่งโลกบังสวรรค์ได้ก่อตัวขึ้นมาจริงๆ โลกป่าขั้นต่ำนี้อยากจะก้าวข้ามขอบเขตขั้น 6 ส่วนสูงสุดเพื่อขึ้นไปยังขั้น 7!”
 
การกระทำของจางหยูทำให้โลกยกระดับขึ้นมารึ ?
 
จางหยูเคยคิดหาวิธีที่จะช่วยโลกป่าขั้นต่ำยกระดับขึ้นมา มันจะส่งผลดี หากมันยกระดับขึ้นไปอยู่ขั้น 7 แต่เขาหาทางไม่ได้เลย ทุกครั้งที่เขาถามระบบ ระบบไม่เคยที่จะตอบกลับ แม้แต่ภารกิจก็ไม่มีให้ เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าครั้งนี้ทั้งๆทีเขาไม่ได้ถามแต่ระบบกลับบอกเขาเอง
 
มันกลับเป็นว่าการพัฒนาโลกป่าขั้นต่ำนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ !
 
ตราบใดที่ยกระดับระบบบังสวรรค์อย่างต่อเนื่อง มันก็จะช่วยให้โลกป่าขั้นต่ำยกระดับขึ้นมา เรื่องนี้มันจะไปยากอะไร?
 
“เจ้าบอกว่าจนกว่าโลกบังสวรรค์จะก่อตัวขึ้นมา เจ้าหมายความว่ายังไง?”  หลังจากที่รู้วิธีช่วยพัฒนาโลกป่าขั้นต่ำแล้วจางหยูก็อารมณ์ดีขึ้นมา เขาถึงกับรู้ใจความสำคัญจากคำพูดของระบบ  “ไม่ใช่ว่าโลกบังสวรรค์ก่อตัวขึ้นมาแล้วรึ?”
 
ระบบตอบกลับ “โลกบังสวรรค์ในตอนนี้ห่างไกลจากคำว่าก่อตัว มันถือว่าเป็นแค่ภาพฉายของโลกและก็สามารถพังลงตอนไหนก็ได้ เพื่อให้โลกบังสวรรค์ก่อตัวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ระดับการบ่มเพาะของเจ้าอย่างน้อยต้องขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสมบูรณ์และเจ้าต้องเล่าเรื่องบังสวรรค์ให้จบ และทำให้คนร้อยล้านคนเชื่อในเรื่องนี้ เงื่อนไขทั้งสองข้อไม่อาจจะตกหล่นได้”
 
“ยิ่งระดับการบ่มเพาะของเจ้าสูงขึ้นเท่าไหร่ ภาพของโลกก็ยิ่งจะชัดเจนมากเท่านั้น มันอาจจะเป็นโลกที่แท้จริงขึ้นมา ยิ่งเรื่องบังสวรรค์สมบูรณ์มากเท่าไหร่ ความเปราะบางของโลกก็จะน้อยลงเท่านั้น”
 
อันที่จริง เส้นทางของจางหยูนั้นต่างจากความคิดเดิมที่เจ้าของระบบคนเก่าคิดเอาไว้ ระบบรู้สึกได้ว่าเส้นทางที่จางหยูเลือกนั้นเหมือนจะไม่ได้แย่ อนาคตของมันเกินกว่าจะคาดเดาได้
 
“ภาพฉายของโลก!” จางหยูลองมองดูการเปลี่ยนแปลงของวังวนใกล้ๆ อันที่จริง โลกวังวนนี้ก็เหมือนกับภาพฉายของโลกตามที่ระบบบอกมา ยิ่งระดับการบ่มเพาะของเขาสูงขึ้นเท่าไหร่ ภาพนี้ก็จะชัดเจนขึ้นและสุดท้ายก็จะเป็นความจริงขึ้นมา
 
นี่คือความสามารถที่ทักษะหลอกลวงสร้างขึ้นจากความว่างเปล่า !
 
น่ากลัวจริงๆ !
 
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมระบบถึงได้บอกว่าทักษะหลอกลวงคือแก่นของระบบ หากเทียบกับทักษะหลอกลวงแล้ว ความสามารถอื่นๆรวมไปถึงการมองทะลุขั้นสูง, เคลื่อนย้ายพริบตาและอื่นๆต่างก็อ่อนแอ !
 
แน่นอนว่าเรื่องสำคัญคือเขาต้องเล่าเรื่องบังสวรรค์ให้จบ ไม่งั้นแล้วแม้ว่าโลกบังสวรรค์จะกลายเป็นโลกจริง แต่มันก็ยังเป็นโลกที่ไม่สมบูรณ์ไม่อาจจะมีบทบาทอะไรได้
 
“พัฒนาระดับการบ่มเพาะและเล่าเรื่องบังสวรรค์!” จางหยูเริ่มมีแรงกระตุ้นและทิศทางในการเดินหน้าต่อ ความสับสนที่มีมาตลอดหลายวันนี้ถูกแทนที่ด้วยเป้าหมาย
 
เขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกหลังจากที่เล่าเรื่องบังสวรรค์จบ ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องการรู้ว่าบังสวรรค์ในเรื่องกับโลกบังสวรรค์นั้นเหมือนกันหรือไม่ จักรพรรดิทำลายโลกนั้นมีพลังที่จะทลายโลกและถูกสยบโดยพลังของยุคสมัยจริงหรือไม่
 
ยิ่งเขาคิดมาเท่าไหร่ จางหยูยิ่งคาดหวังมากเท่านั้น เขาเริ่มอดทนรอไม่ไหว
 
นี่คือบังสวรรค์ !
 
โลกที่ทุกคนในโลกต่างก็เป็นยอดฝีมือ !
 
“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า….มันจะมีเย่ฟานหรือเย่เทียนตี้จริงๆ?”  สีหน้าของจางหยูดูแปลกไป สายตาของเขาแสดงความตื่นเต้นออกมา เขาอยากสร้างอาณาจักรเย่เทียน มันคงเป็นเรื่องสนุก และด้วยความแข็งแกร่งของเย่เทียนตี้ที่สามารถทำลายโลกขั้นแปดอย่างโลกเทพที่แท้จริงได้เพียงลำพัง
 
พลังของคนเพียงคนเดียว แต่กลับทำลายทั้งโลกได้ และนั่นก็เป็นถึงโลกขั้น 8 ลองคิดดูว่ามันจะน่าตื่นเต้นแค่ไหนกัน
 
แต่จางหยูไม่ได้คาดหวังมากนัก ยังไงซะเรื่องบังสวรรค์ก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับโลกบังสวรรค์จริงๆ  แม้ว่าจะเกิดขึ้นมาจริงๆ แต่ก็มีข้อจำกัดมากมาย ระดับของมันไม่อาจจะก้าวข้ามโลกป่าได้ แม้ว่าโลกบังสวรรค์จะมีเย่เทียนตี้ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็อาจจะไม่ได้เทียบเท่ากับเย่เทียนตี้ในเรื่อง
 
แต่จางหยูก็ยังคาดหวังในใจ หากมันเป็นเช่นนั้นล่ะ ?
 
หากเย่เทียนตี้ มีความแข็งแกร่งไร้เทียมทานจริงๆล่ะ ?

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด