ตอนที่ 1457
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลยhttps://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechniqueบทที่ 1457 – มายาแห่งอสูรฟ้า นิ้วที่ซุกซน รอยยิ้มของนาง เป้ง! เสียงปะทะกันดังขึ้น การโจมตีครั้งนี้ทำให้ชิงสุ่ยกระเด็นถอยไป ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามชายชราก็ยังสามารถทำให้เขากระเด็นไปได้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจอย่างยิ่ง ทักษะ9รากฐานบรรพกาลศึกนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง แม้ว่าชายชราจะอ่อนแอลงแต่เขาก็ยังถือเป็นผู้สืบทอดแห่งอสูรเช่นกัน เขาสามารถทำให้ชิงสุ่ยต้องกระเด็นถอยหลังไปด้วยการโจมตีธรรมดา เห็นได้ชัดว่าชายชรานั้นทรงพลังมากกว่าชิงสุ่ยประมาณ 30% นั่นหมายความว่าเมื่อเทียบกับผู้อาวุโสหลู่ พลังของชายชราผู้นี้นั้นเหนือกว่ามาก โลกนี้ยังมียอกฝีมืออีกมากมาย มหาทวีปมังกรอหังกาลนั้นกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด แต่มหาทวีปเมฆามรกตนั้นไม่มีแม้แต่ยอดฝีมือระดับพลังปราณนักบุญพิโรธสักคน มีเพียงแต่คฤหาสน์ปราบฟ้าเท่านั้น ดังนั้นบางครั้งสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด อาจจะมีอัจฉริยะที่ซ่อนเร้นอยู่ แม้แต่นักชำแหละกระหายเลือด เฉินหยวนหัวก็ตกตะลึงเช่นกัน เดิมทีเขาไม่เชื่อว่าชิงสุ่ยจะทรงพลังถึงเพียงนี้ด้วยวัยเพียงเท่านี้ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดแห่งเทพสงครามทองคำ นอกจากนี้หญิงสาวยังคงยืนอยู่ที่ด้านข้างเขา เขารู้ดีว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นผู้สืบทอดแห่งจอมอสูร ก่อนที่ชิงสุ่ยจะพุ่งออกไปก็มีมือมาขัดขวางเขาเอาไว้ “ให้ข้าจัดการเอง!” มือนี้เป็นของถานท่าย หลิงเยียน นางดึงชิงสุ่ยเอาไว้และจากนั้นนางก็พุ่งออกไปหาชายชรา พลังของนางเพิ่มขึ้นไปถึง 45% ตอนนี้พลังของนางนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับชายชรา นางยังสามารถใช้อาวุธอสูรระดับนักบุญของตนเองได้อย่างชำนาญ และยังเป็นผู้สืบทอดแห่งเทพจอมอสูร ชิงสุ่ยสั่งให้อสูรสยบมังกรตามถานท่าย หลิงเยียนไป ทุกๆครั้งที่มีโอกาสมันจะพุ่งเข้าไปโจมตีชายชรา บางครั้งมันก็จะเข้าไปช่วยเหลือถานท่าย หลิงเยียน อสูรฟ้าเริงระบำ! มรดกที่ถานท่าย หลิงเยียนได้สืบทอดนั้นคือจอมอสูรฟ้า นางฝึกฝนมายาแห่งอสูรฟ้า และได้ใช้ออกไปเป็นครั้งแรกในการต่อสู้ครั้งนี้ รูปลักษณ์ของนางนั้นดูสง่างามราวกับเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์แต่กระบี่ในมือของนางนั้นดูชั่วร้ายและกระหายเลือดอย่างยิ่ง นางดูเหมือนเทพธิดาที่อาศัยอยู่ในนรก นางเป็นเหมือนแม่มดที่อยู่ในเหล่านางฟ้า โลหิตลำลายล้าง! กรงเล็บขนาดใหญ่พุ่งตรงเข้ามาหาถานท่าย หลิงเยียน กรงเล็บนี้เหมือนสร้างขึ้นจากก้อนโลหิตขนาดใหญ่ มันให้ความรู้สึกที่โหดเหี้ยมและอันตราย ราวกับว่ามันกำลังจะกลืนกินถานท่าย หลิงเยียน กระบี่อสูรฟ้า! เมื่อถานท่าย หลิงเยียนหลบการโจมตีที่เข้ามานี้ กระบี่อสูรฟ้าของนางก็เปล่งแสงสว่างขึ้นทันทีและฟาดฟันออกไปหาเฉินหยวนหัว สีหน้าของเฉินหยวนหัวเปลี่ยนไปทันที เขาถอยหลังไป 3 ก้าวจากนั้นก็กวัดแกว่งกระบี่ขนาดใหญ่ของตนเองและพุ่งตรงเข้าไปหาถานท่าย หลิงเยียน ตู้ม ตู้ม ตู้ม! เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน 3 ครั้ง บริเวณแห่งนี้ทั้งหมดพังทลายลงไปในทันที ธาตุทั้ง 5 ที่อยู่ในบริเวณแห่งนี้นั้นยุ่งเหยิงอย่างยิ่งในตอนนี้ ทันใดนั้นอสูรสยบมังกรก็กระโดดออกไปโจมตีเฉินหยวนหัวทันทีที่เขาลดการป้องกันของตนเองลง “เจ้าสัตว์หน้าขน สมควรตาย!” เฉินหยวนหัวยื่นฝ่ามือของเขาออกไปในตอนนี้ ปัง! การโจมตีครั้งนี้โดนอสูรสยบมังกร อย่างไรก็ตามมันก็ยังทำให้แขนของเฉินหยวนหัวนั้นฉีกขาดเล็กน้อย เลือดมากมายพุ่งออกมาจากบาดแผลของเขา ในตอนนี้ด้วยง้าวทองทะลวงศัตรูในมือของเขา ชิงสุ่ยพุ่งออกไปทันที การปะทะกับยอดฝีมือขนาดนี้ด้วยจำนวนที่มากกว่านั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้พระราชวังจอมอสูรก็โดนรุมด้วยจำนวนที่มากกว่าเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง วิธีการที่ใช้นั้นไม่สำคัญเท่ากับชัยชนะที่ได้รับมาในตอนท้าย ตู้ม! ชิงสุ่ยโจมตีออกไปได้ถูกจังหวะ มันทำให้เฉินหยวนหัวต้องกระเด็นถอยหลังไป หัตถาประทับทะลายโลหิต! ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งของเฉินหยวนหัวก็ได้พุ่งตรงเข้ามาชิงสุ่ย ตู้ม! ชิงสุ่ยโดนโจมตี! เฉินหยวนหัวก็ตกตะลึงไปเช่นกัน มันดูเหมือนว่าชิงสุ่ยไม่อาจหลบเลี่ยงการโจมตีครั้งนี้ได้ แต่ในขณะเดียวกันชิงสุ่ยก็เรียกหนอนไหมมังกรทองของเขาออกมา ชิงสุ่ยรู้ว่าชายชรายังมีไพ่ตายของตนเองที่ซ่อนเอาไว้อยู่ เขาไม่อยากเสี่ยงที่จะรับมือกับมัน ดังนั้นเมื่อเขามีโอกาสเขาจึงเรียกหนอนไหมมังกรทองของตนเองออกมาทันที เขาเลือกโอกาสในตอนที่ศัตรูโจมตีออกมาเพื่อที่จะไม่สามารถป้องกันตนเองได้ทัน เมื่อหนอนไหมมังกรทองได้เข้าไปในร่างกายก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอคอยอยู่ เมื่อเทียบกับอสูรสยบมังกรมันอันตรายกว่ามาก หนอนไหมมังกรทองในอดีตนั้นไม่อาจเทียบกับหนอนไหมที่ชิงสุ่ยมีในตอนนี้ได้เลย มันอันตรายจนไม่อาจประมาทได้ ผู้ที่ทรงพลังในระดับชายชราย่อมสามารถรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาภายในร่างกายของตนเอง ชายชราใช้กระบี่ตัดแขนของเขาออกไปอย่างไม่ลังเล โชคดีที่เขาบังเอิญตัดแขนได้ก่อนที่หนอนไหมมังกรทองจะเข้าไปภายในร่างกายของตนเอง เขาใช้กระบี่ของตนเองป้องกันการโจมตีที่เข้ามาและกระโดดถอยออกไปไกล ชิงสุ่ยใช้เกราะทองคำวชิระเพื่อรับการโจมตีที่รุนแรงได้ 1 ครั้งและทำให้ชายชราต้องเสียแขนของตนเองไปข้างหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง! ชายชรารักษาระยะห่างกับประตูของเขาเอาไว้ หนอนไหมมังกรทองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับมาหาชิงสุ่ย แม้ว่ามันจะทรงพลังมากเพียงใดแต่มันก็ยังมีจุดอ่อนที่ร้ายแรง มันไม่อาจมีชีวิตรอดในอากาศได้นานนัก นอกจากนี้ร่างกายของมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับอสูรสยบมังกร แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ทรงพลังอยู่ดี ใบหน้าของเฉินหยวนหัวนั้นดูซีดเซียวอย่างยิ่ง เขาเสียเลือดออกไปมาก แม้ว่าเขาจะสามารถควบคุมเลือดของตนเองได้ในตอนนี้แต่หากต่อสู้ต่อไปเลือดของเขาก็จะไหลออกมาต่อไปเรื่อยๆ “นักชำแหละกระหายเลือด เจ้าได้สังหารครอบครัวของข้าไปเกือบ 30 คนในอดีต ถึงเวลาที่เจ้าต้องตายแล้วในวันนี้ ” ถานท่าย หลิงเยียนค่อยๆเดินตรงเข้ามาหาเฉินหยวนหัว “เข้ามาเลย! ข้าจะส่งให้พวกเจ้าไปตายก่อนที่ข้าจะตาย” ชายชราถือกระบี่ของเขาในมือซ้าย กระบี่ของเขาเปล่งประกายสีเขียวออกมา มีสีแดงจางๆภายในแสงสีเขียวนั้น “มันอาจจะเป็นไปได้หากเจ้ายังมีมือทั้งสองข้าง แต่ในตอนนี้ข้าคิดว่าความหวังของเจ้าได้หมดไปแล้ว” ถานท่าย หลิงเยียนพุ่งออกไปหาเฉินหยวนหัว อสูรฟ้าช่วงชิงวิญญาณ! กลิ่นอายที่ทรงพลังกดปล่อยออกมาจากร่างกายของถานท่าย หลิงเยียน กระบี่อสูรฟ้าในมือของนางดูราวกับมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปหาชายชราทันที อุก! ชายชรากระอักเลือดออกมาและประเด็นถอยหลังไป ในตอนนี้เขามีสีหน้าที่สิ้นหวังอย่างยิ่ง แม้แต่ถานท่าย หลิงเยียนก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยแต่ในตอนที่นางพุ่งเข้าไปหาชายชรา นางก็แทงกระบี่ของตนเองเข้าไปยังร่างกายของเฉินหยวนหัว “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” ชิงสุ่ยเข้ามาประคองถานท่าย หลิงเยียนที่กำลังจะล้มลง อสูรฟ้าช่วงชิงวิญญาณดันทรงพลังอย่างยิ่งแต่ก็ได้กลืนกินพละกำลังของผู้ใช้ไปอย่างน่ากลัว หากพลังของศัตรูนั้นมากเกินไปเคล็ดวิชานี้ก็ย้อนกลับมาทำร้ายผู้ใช้งานมากขึ้นเท่านั้น “ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่รู้สึกอ่อนล้าจากการสูญเสียพลังวิญญาณ” ชิงสุ่ยนึกถึงยาฟื้นฟูแก่นแท้แต่เขาลังเลว่าจะเปิดเผยเรื่องนี้ดีหรือไม่ สำหรับตอนนี้ถานท่าย หลิงเยียนกำลังอยู่ในอ้อมแขนของเขา มันหายากยิ่งนักที่เขาจะได้ใกล้ชิดกับนางเช่นนี้ เมื่อนางเหนื่อยล้าความเย็นชาของหญิงสาวผู้นี้ก็ดูลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน หน้าขมวดคิ้วด้วยความเหนื่อยล้าและความรู้สึกไม่สบายตัว เขานำขวดของยาฟื้นฟูแก่นแท้ออกมาและนำออกมา 1 เม็ด “ลองใช้ยานี้ดู บาดแผลของเจ้าจะหายไปในทันที” ชิงสุ่ยยื่นยาฟื้นฟูแก่นแท้ในมือของเขาไปที่ปากของหญิงสาวช้าๆ หญิงสาวอ้าปากของนางขึ้นเล็กน้อย จากนั้นชิงสุ่ยก็วางยาฟื้นฟูแก่นแท้ลงบนลิ้นของนาง สัมผัสที่นุ่มและอ่อนโยนที่ปลายนิ้วของเขาได้รับในตอนนี้ทำให้จิตใจของเขานั้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่เขากำลังล่องลอยไปกับความรู้สึกนี้นิ้วมือของเขาก็ได้เข้าไปในปากของนางแล้ว เขาพยายามที่จะสัมผัสปลายลิ้นสีชมพูที่อ่อนนุ่มขนมาให้มากที่สุด นางตกตะลึงขึ้นมาทันทีและเปล่งเสียงออกมา เสียงของนางนั้นทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตกตะลึงเพราะมันดูเย้ายวนอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเขารู้สึกเจ็บปวดที่ปลายนิ้วของเขา เขารีบดึงมือกลับมาและเห็นว่ามีรอยแผลเล็กๆพร้อมกับเลือดที่นิ้วมือของเขา เมื่อชิงสุ่ยเห็นใบหน้าที่เย็นชาของหญิงสาว เขาก็ยิ้มขึ้นมาอย่างน่าอึดอัดใจ “ข้าไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้ เชื่อข้าเถอะ” ยาฟื้นฟูแก่นแท้นั้นทรงพลังอย่างยิ่ง มันช่วยฟื้นฟูพลังของหญิงสาวให้กลับคืนมา นางยืนขึ้นและกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้ามากสำหรับยานี้” “นี่สำหรับเจ้า อย่าใช้มันเกินกว่า 3 วัน มิฉะนั้นมันจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของเจ้าได้” ชิงสุ่ยมอบยาฟื้นฟูแก่นแท้ให้แก่นาง 10 ขวด หญิงสาวรับมันมาอย่างไม่ลังเล หลังจากที่ได้รับถุงแพรมิติของเฉินหยวนหัวและกระบี่ของเขา นางก็เผาศพเขาจนสลายหายไป หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางกลับไปที่พระราชวังกันที ชิงสุ่ยเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักเขาก็รู้สึกโล่งใจทันที การกระทำของเขาก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่โง่เขาอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวยังแสดงให้เขาเห็นว่านางไร้เมตตา แม้ว่าเขาเคยทำให้เธอต้องเลือดออกมาก่อน แต่เขาไม่เคยคาดหวังให้เธอทำแบบเดียวกันกับเขา สิ่งเดียวที่ต่างออกไปนั่นคือตำแหน่งของเลือดและบาดแผล “หลิงเยียน เจ้าจะยิ้มได้หรือไม่?” หญิงสาวยังคงเงียบ “หลิงเยียน เจ้าเคยร้องไห้มาก่อนหรือไม่?” …… แม้ว่าชิงสุ่ยจะรู้ดีว่าเสียงของเขานั้นดูน่ารำคาญแต่ต่อหน้าหญิงสาวผู้นี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่น เขาต้องการให้นางรู้สึกสบายใจและอยากพูดคุยกับนางให้ได้มากที่สุด เธออาจจะตำหนิชิงสุ่ยสำหรับการกระทำของเขาก่อนหน้านี้ แต่นางเพียงแค่ขอบคุณเขาเรื่องยาและหลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย “อย่างน้อยเจ้าก็ยังโกรธเป็น ก็ยังดี!” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างยินดีพร้อมกับมองไปยังหญิงสาวผู้นี้ที่ยังคงเงียบ คำพูดของชิงสุ่ยทำให้ ถานท่าย หลิงเยียนตกตะลึง นางหันกลับมาและมองไปยังชิงสุ่ย “เจ้ารู้สึกยินดีงั้นหรือเมื่อข้าโกรธ?” “ข้าอยากจะเห็นเจ้าโกรธมากกว่าเห็นเจ้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยเมื่อเจ้าโกรธข้าก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกับเจ้าและยังรู้สึกว่าเจ้ายังมีตัวตนอยู่” ชิงสุ่ยยิ้มเมื่อเขาอธิบาย หญิงสาวยังคงเงียบ นางหันกลับไปและตัดสินใจที่จะพูดขึ้นเบาๆไม่นานหลังจากนั้น “ขอบคุณ ข้าเองก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงมากมายของตัวเองในเวลานี้ ข้าชื่นชอบความรู้สึกเช่นนี้จริงๆและอยากขอบคุณเจ้ามาก” “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าทำมันด้วยความตั้งใจของตนเอง ตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็ไม่เคยลืมเจ้าเลย ความจริงแล้วเจ้าเองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ข้าสามารถแสวงหาความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว” “บอกตามตรงข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้านั้นมีน้ำหนักมากเพียงใดในหัวใจของเจ้า เจ้าได้เข้าร่วมกับพระราชวังจอมอสูรเพราะว่า บอกว่ามา ว่าข้าควรมองเจ้าเช่นไรดี?” ในสายตาของถานท่าย หลิงเยียนนั้นมีความรู้สึกที่ซับซ้อนมากมาย “ข้าไม่ได้บอกไปก่อนหน้านี้แล้วงั้นหรือ? คิดซะว่าข้าเป็นคนในครอบครัวของเจ้า อย่ากังวลไปเลย ข้าจะคอยปกป้องเจ้าแม้ว่าตนเองจะต้องเจ็บปวด เชื่อข้าเถอะ” “แน่นอนว่าข้าเชื่อในตัวเจ้า มิฉะนั้นข้าคงไม่พูดกับเจ้ามากมายเช่นนี้และคงไม่รับสิ่งที่เจ้ามอบให้” “เจ้าอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกที่มีคนอื่นมาคอยดูแล ใส่ใจ และทำทุกอย่างให้ด้วยความเต็มใจ เขาคนนั้นไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนและไม่ได้หวังว่าเจ้าจะทำอะไรเป็นพิเศษเพื่อเขา สิ่งเดียวที่คนๆนั้นต้องการคือรอยยิ้มของเจ้าเท่านั้น แน่นอนว่าข้ารู้ดีว่ารอยยิ้มของเจ้านั้นเป็นคำขอที่มากเกินไป สิ่งที่ข้าต้องการคือเจ้าสามารถแสดงอารมณ์ที่แท้จริงของตนเองออกมาได้เท่านั้น” ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปที่นาง “เป็นเช่นนั้นหรือ?” หญิงสาวมองมาที่ชิงสุ่ย นางยิ้มขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่ดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นรอยยิ้มของนาง! นางยิ้มออกมาจริงๆๆ แม้ว่าจะเพียงครู่เดียวแต่รอยยิ้มของนางก็ได้ละลายหัวใจของเขาไปในทันทีมันเหมือนกับหิมะที่ละลายในฤดูใบไม้ผลิ มันเป็นรอยยิ้มที่สามารถทำให้ดอกไม้เบ่งบานได้ “เจ้าดูงดงามมากจริงๆ!” ชิงสุ่ตกตะลึงไปอย่างยาวนาน เมื่อเขารู้ตัวอีกทีรอยยิ้มของหญิงสาวก็ได้หายไปนานแล้ว ในใจของเขานั้นชิงสุ่ยรู้สึกราวกับเขาได้กินน้ำผึ้งที่หวานจับใจ มันหวานอย่างยิ่งสำหรับเขา เมื่อคิดว่าหญิงสาวผู้นี้ยิ้มต่อหน้าเขาจริงๆ… ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น แต่ก็มีเพียงชิงสุ่ยเท่านั้นที่รู้ว่าเขาพยายามไปกับหญิงสาวผู้นี้มากเพียงใด พวกเขากลับมาถึงที่พระราชวังแล้ว ทั้งฮัว รูเหม่ยและซาน ยูก็อยู่ที่นี่ ฮัว รูเหม่ยรู้สึกโล่งใจทันทีเมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา นางถามขึ้นด้วยความกังวล “เป็นอย่างไรบ้าง?” “พวกเรายังมีชีวิตแต่ศัตรูนั้นตายไปแล้ว” ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขาตอบกลับไป “ยอดเยี่ยมมาก พวกเจ้าเป็นอะไรหรือไม่? พวกเจ้าบาดเจ็บหรือไม่?” ฮัว รูเหม่ยถามขึ้นด้วยความกังวล
คอมเม้นต์