ตอนที่ 1425
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลยhttps://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechniqueบทที่ 1425 – นิกายสาปอสูร พี่น้องหลู่ ซากโบราณสถาน ชิงสุ่ยหันไปเห็นหญิงคนหนึ่ง ร่างกายของนางนั้นเติบโตเต็มที่ ริมฝีปากของนางหนาแต่ก็มีความเย้ายวน. ผมของนางนั้นม้วนเป็นเกลียวซึ่งทำให้คอของนางนั้นดูยาวขึ้น “โอ้ ชิงสุ่ย นี่คืออาจารย์ของข้าเอง” เฉินหลิงรีบบอกกล่าวกับชิงสุ่ย “ยินดีที่ได้พบท่านผู้อาวุโส มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก เฉินหลิงก็ได้บอกเส้นทางของพระราชวังจอมอสูรให้ข้าทราบด้วยเช่นกัน” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินหลิงเอ๋อเล่นบทเพลงหนึ่ง นางบอกว่าท่านเป็นคนมอบให้แก่นาง ท่านไม่กลัวว่าข้าจะลอกลเียนแบบมันไปจากหลิงเอ๋องั้นหรือ?” หญิงผู้นั้นกล่าวขึ้นขณะที่ยิ้มให้ชิงสุ่ย “แน่นอนว่าข้าไม่ได้สนใจ หากท่านชอบมันท่านก็ลองศึกษามันดูก็ได้” ชิงสุ่ยกล่าวโดยที่ไม่ได้สนใจอะไร ชิงสุ่ยรู้สึกสับสนกับท่าทีของผู้ที่อยู่รอบตัวเขาในตอนนี้ ไม่ว่าเคล็ดวิชาใดก็ถือเป็นสมบัติภายในโลก 9 มหาทวีปดังนั้นจึงไม่มีใครมอบเคล็ดวิชาของตนเองให้แก่คนอื่นๆโดยที่ไม่ได้รับสิ่งตอบแทนที่เหมาะสม ยิ่งเคล็ดวิชาของพลังมากเพียงใดก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนมากขึ้นเท่านั้น มันถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่ไม่อาจประเมินค่าได้เลย หญิงผู้นี้บอกได้ว่าบทเพลงที่เฉินหลิงได้บรรเลงออกมานั้นทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ในฐานะผู้อาวุโสและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ที่ชื่นชอบบทเพลงจึงทำให้นางไม่กล้าที่จะถามออกไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกศิษย์ของตนเอง หากเป็นคนอื่นที่สอนหลิงเอ๋อการถ่ายทอดมันให้แก่คนอื่นๆคงไม่ได้รับการอนุญาต “โอ้ เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก ตอนนี้ท่านเป็นคนของพระราชวังจอมอสูร นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทและพระราชวังจอมอสูรนั้นอยู่ในฝ่ายเดียวกัน ดังนั้นหากท่านมีเวลาข้าอยากจะพูดคุยกันเรื่องบทเพลงต่างๆกับท่าน” หญิงผู้นี้กล่าวขึ้นอย่างสุภาพ “น่าสนใจไม่น้อย ข้าเองก็สนใจในบทเพลงของนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทเช่นกัน” …… หลังจากพวกเขาได้พูดคุยกันคู่หนึ่งชิงสุ่ยก็จดจ้องไปที่นิกายสาปอสูร นิกายสาปอสูรนั้นมีเพียงผู้ชายเท่านั้นและแต่ละคนก็ปล่อยกลิ่นอายออกมาราวกับสัตว์ป่า ร่างกายของพวกเขานั้นมีขนาดต่างกันแต่กลิ่นอายของพวกเขานั้นเหมือนกัน “เจ้าต้องเป็นชิงสุ่ยจากมหาทวีปอู่เซียตะวันตก เจ้าได้สังหารผู้คนตระกูลหลูจากนิกายปฐพีซ่อนเร้น” ในตอนนี้เสียงตะโกนก็ดังออกมา ชาย 2 คนจากนิกายสาปอสูรเดินออกมาข้างหน้า พวกเขาต่างก็เป็นชายวัยกลางคน พวกเขามีรูปร่างสูงและกำยำ ร่างกายของพวกเขานั้นมีกลิ่นอายราวกับสัตว์ป่า หากปิดตาลงก็อาจคิดได้ว่ามีสัตว์ร้ายที่น่ากลัวอยู่ตรงหน้าของตนเอง เมื่อได้ยินเช่นนี้ชิงสุ่ยก็รู้ทันทีว่าพวกเขาเป็นใคร พวกเขาเป็นพี่น้องอัจฉริยะจากนิกายปฐพีซ่อนเร้น พวกเขาต่างก็เป็นพี่น้องที่มีสัตตะดวงใจอสูร พวกเขาดูเหมือนกันทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความสูงหรือความกำยำของร่างกาย “ข้าคือชิงสุ่ย สังหารผู้คนของตระกูลหลูงั้นหรือ? ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ข้ารู้เพียงมีคนจำนวนมากที่ฆ่าได้สังหารไป” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ชายทั้งสองคนนี้มีพรสวรรค์ที่น่ากลัวอย่างยิ่งและพวกเขาต่างก็อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณจักรพรรดิ แต่พวกเขาได้ครอบครองสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นพลังที่แท้จริงของพวกเขาจึงอยู่ในขั้นแรกเริ่มของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าสองคนนี้ได้ครอบครองสัตว์อสูรที่น่ากลัวเอาไว้บ้างหรือไม่ “เจ้าหนุ่ม เจ้าดูแข็งแกร่งยิ่งนัก เรามาแลกเปลี่ยนคำแนะนำกับเมื่อเราเสร็จสิ้นเรื่องนี้เป็นอย่างไร ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถเดินออกจากซากโบราณสถานแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย” ชายคนนั้นพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ มีชายคนหนึ่งที่กล่าวเช่นนี้ออกมา ผู้ที่อยู่ด้านหลังของเขามีผิวสีคล้ำแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นิกายสาปอสูรนั้นมีผู้อาวุโส 2 คนที่อยู่ที่นี่และพวกเขาก็ได้เดินออกมาด้วยเช่นกัน “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” “ท่านอาจารย์ เขาได้สังหารครอบครัวของเหล่าสาวก พวกเขาต้องการที่จะจบปัญหาเรื่องนี้” “แล้วยังไงกัน? เช่นนั้นก็รอให้ออกมาก่อนและค่อยจัดการปัญหานี้ให้เสร็จสิ้น?” ชายชราร่างอ้วนกล่าวตรงไปที่ประมุขอสูรและฮัว รูเหม่ย ฮัว รูเหม่ยยิ้มเล็กน้อย “หากมีอะไรก็จงถามเขาโดยตรง” ชายชราตกตะลึงไปในทันทีเขามองตรงไปยังชิงสุ่ย จากนั้นชิงสุ่ยก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่เฉยชา “ข้าจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการแต่จงอย่าเสียใจเมื่อเวลานั้นมาถึง” “เอาล่ะทุกๆคน หยุดพูดก็ได้แล้วในตอนนี้ พวกเราถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปแล้ว ข้าเชื่อว่าพวกมันคงได้ส่งคนเข้าไปข้างในบ้างแล้ว อย่าให้พวกมันขโมยสมบัติไปหมด” ฮัว รูเหม่ยยิ้มไปยังผู้คนของนิกายสาปอสูรที่ดูผิดหวัง “ตกลง เข้าไปกันเถอะ!” หญิงสาวจากนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทกล่าวเห็นด้วย “เข้าไป ปัญหาเรื่องนี้สามารถจัดการภายหลังได้ พวกนางไม่อาจหนีไปไหนได้ไม่อยู่ที่นี่” ชายชราร่างผอมที่ดูประหลาดกล่าวขึ้น คนของหุบเขากระชากวิญญาณ! ชิงสุ่ยมองไปยังชายชราที่สวมเสื้อผ้าหลวมๆ กลิ่นอายที่ชายชราผู้นี้ปลดปล่อยออกมานั้นดูมืดมนและเย็นชาอย่างยิ่ง เหมือนกับที่ฮัว รูเหม่ยได้อธิบายไป นิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณนั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ยิ่งไปกว่านั้นสองพี่น้องที่มีปัญหากับเขายังมีตำแหน่งสูง มิฉะนั้นพวกเขาย่อมไม่กล้าที่จะเป็นศัตรูกับพระราชวังจอมอสูรด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ประมุขอสูรเดินนำไปและผู้คนของพระราชวังจอมอสูรก็เดินตามนางไป นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทก็บินตามมาด้วยเช่นกัน ผู้คนของนิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณบางคนจะเข้าไปตราบใดที่พวกเขาสามารถฝ่าประตูเข้าไปได้ ยิ่งเสี่ยงมากเท่าไหร่ยิ่งได้สิ่งตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น หากพวกเขาโชคดีพอพวกเขาก็จะสามารถหาประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนี้ได้ หากมีพลังไม่เพียงพอก็จะโดนม่านพลังที่ขวางกั้นเอาไว้ดีกลับมา ผู้ที่อยู่ในระดับพลังปราณจักรพรรดิและเหนือกว่านั้นสามารถต่อต้านพลังนี้ได้ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเข้าไปข้างในได้ ชิงสุ่ยตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาได้เข้ามาในซากโบราณสถานแล้ว เมื่อได้เข้ามาเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่อาจอธิบายได้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่แห่งนี้ทั้งรกร้างและเก่าแก่อย่างยิ่ง เมื่อมองออกไปเขาไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุดของดินแดนแห่งนี้ได้ มีเงาของภูเขาและผืนป่าอันเขียวขจี ยังมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่อยู่ใต้เท้าของเขา ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ป่าที่อยู่บริเวณนี้ เมื่อได้เห็นมนุษย์พวกสัตว์ป่าก็วิ่งหนีออกไปด้วยความกลัว บริเวณใกล้ๆนั้นเต็มไปด้วยกองหิน ที่สูงใหญ่ราวกับเนินเขาเล็กๆ มันมีความสูงประมาณหนึ่ง 100 เมตร ที่แห่งนี้นั้นลึกลับอย่างยิ่งแต่ก็ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขามังกรกู่ร้อง เขตแดนแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ของเกล็ดที่ย้อนกลับของเทือกเขามังกรกู่ร้อง แต่พื้นที่โดยรอบนั้นกว้างใหญ่อย่างยิ่งจนเขาไม่สามารถสำรวจมันได้หมด มีผู้ที่ได้พบวิหารศักดิ์สิทธิ์โบราณแต่มันอันตรายเกินไป หลังจากที่กลุ่มของเขาได้รับบาดเจ็บจำนวนมากพวกเขาก็หนีออกมาและกระจายข่าวออกไป เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์และความสนใจชีวิตของคนบางคนก็อาจไม่ได้มีค่าอีกต่อไป มนุษย์เกิดมาเพื่อผจญภัยหรือบางทีอาจจะเกิดมาเพื่อความโลภด้วยก็ได้ ผู้คนส่วนใหญ่คาดหวังโชคชะตาในชีวิตของตนเอง มันเหมือนกับการพนันรูปแบบหนึ่ง แน่นอนว่ามีหลายคนก็มั่นใจในตนเอง เช่นเดียวกับสุภาษิตในโลกก่อนหน้านี้ของเขาที่กล่าวว่า เมื่อตกลงไปในแม่น้ำหนทางรอดเดียวคือการว่ายน้ำ หลายคนที่จมน้ำต่างรู้วิธีว่ายน้ำ มิฉะนั้นพวกเขาย่อมไม่ลงไปในน้ำตั้งแต่แรก ผู้ที่ไม่ลงไปในน้ำก็จะไม่จมน้ำ วิหารศักดิ์สิทธิ์โบราณนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ชิงสุ่ยยังไม่เห็นผู้คนของพระราชวังมังกรหรือเห็นคนอื่นๆเลย ในตอนนี้หลายคนรวมตัวกันเพื่อสร้างกลุ่มขึ้นมา แม้ว่าจะรวมตัวกันแต่หากมีผลประโยชน์ตรงหน้าพวกเขาก็สามารถหักหลังกันได้ มีเพียงความแข็งแกร่งและความอ่อนแอเท่านั้นที่จะตัดสินความถูกต้องทุกอย่าง หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นผู้คนที่เรียกตัวเองว่าผู้ที่ชอบธรรมก็ย่อมเลือกกำจัดคนอื่นๆภายในซากโบราณสถานนี้ ผู้คนเหล่านี้ต่างเป็นคนของสี่ขุมพลังแห่งปีศาจอันยิ่งใหญ่ แต่ในตอนนี้ผู้คนของพระราชวังจอมอสูรนั้นได้เข้าไปก่อน นั่นเพราะพวกเขารู้ว่าพระราชวังจอมอสูรและพระราชวังมังกรกำลังจะต่อสู้กันภายในซากโบราณสถาน ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ล่มสลายไปในการต่อสู้ครั้งนี้ บางทีทั้งสองฝ่ายอาจจะล่มสลายไปพร้อมพร้อมกันก็เป็นได้ “ชิงสุ่ย พวกเราจะนำหน้าไปก่อน!” คำพูดของฮัว รูเหม่ยนั้นอธิบายทุกๆสิ่งและอย่างชัดเจน พวกนางทักทายคนอื่นๆ จากนั้นก็รีบพุ่งออกไปจากที่นี่ทันที หลังจากที่ออกจากสายตาของคนอื่นๆ เขาก็ใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวาทันที พวกเขาก็นำหน้าคนอื่นๆออกไปไกลทันที นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท นิกายสาปอสูรและหุบเขากระชากวิญญาณนั้นได้รวมตัวกัน นี่เป็นกลุ่มที่ไม่มีผู้ใดสามารถโค่นล้มลงได้ ภายในซากโบราณสถานแห่งนี้การมีคนจำนวนมากไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เขาให้ทักษะย่างก้าว 9เทวาไปจนเหลือจำนวนครั้งที่ใช้ได้อีกเพียง 2 ครั้ง ชิงสุ่ยหยุดลง อีก 2 ครั้งที่เหลืออยู่นี้เขาเก็บไว้ยามจำเป็นเผื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายต่างๆ ที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าและป่าไม้แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นซากปรักหักพัง นอกจากนี้ยังมีภูเขาและหนองน้ำ มันเป็นพื้นที่ที่มีพืชพรรณมากมายและสัตว์อสูรหลายตัวก็อยู่ที่นี่ “พวกเราจะพักที่นี่กันสักวันหนึ่ง ทุกๆคนจงไปทำตามหน้าที่ของตนเอง” ประมุขอสูรออกคำสั่ง ชิงสุ่ยยืนขึ้นขณะที่เขามองไปที่ผู้คนของพระราชวังจอมอสูรที่กำลังฝึกฝนหรือสำรวจบริเวณนี้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือของพระราชวังจอมอสูร การรักนางคือการรักทุกๆสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนาง ชิงสุ่ยนึกถึงรูปแบบของเขา รูปแบบแปดทิศเก้าเทวา! มันยากยิ่งนักที่จะฝึกฝนได้แต่เหล่าผู้ที่อยู่ในซากโบราณสถานแห่งนี้ล้วนเป็นเหล่ายอดฝีมือในหมูยอดฝีมือ ชิงสุ่ยเห็นจิน ชื่อและชายร่างกำยำกำลังพูดคุยกันอยู่ จ้าวปีศาจแห่งตำหนักยุทธ์ พลังของเขานั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง หากเขาอยู่ในพระราชวังจอมอสูรเขาจะต้องได้เป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างมาก มีข่าวลือว่าเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของตระกูลประมุขอสูรและเขายังมีอิทธิพลภายในพระราชวังจอมอสูร ครึ่งหนึ่งของเรื่องภายในพระราชวังจอมอสูรจะเกี่ยวข้องกับเขา หากมีการต่อสู้ใดๆ ตำหนักยุทธ์จะอยู่ที่นั่นเสมอ “น้องชิงสุ่ย มาทางนี้!” จิน ชื่อมองไปยังชิงสุ่ยและรีบทักทายเขา จิน ชื่อรู้สึกอิจฉาอย่างยิ่งที่ชิงสุ่ยสามารถอยู่ข้างกายของฮัว รูเหม่ยและประมุขอสูรได้ แต่เขาก็ยังคงสงบจิตใจเพราะเขาไม่ใช่คนที่จงเกลียดจงชังผู้อื่นๆ นั้นก็เพราะว่าหากชิงสุ่ยไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน “นี่คือท่านซาน ยู น้องชายควรรู้จักเอาไว้ พี่ใหญ่ นี่คือท่านหมอเทวดาชิง เขาเป็นผู้ที่รักษารองประมุขวัง” จิน ชื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะอธิบาย รอยยิ้มนั่นทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกสับสน “ท่านหมอเทวดาชิง ขอบคุณที่ท่านช่วยรักษารูเหม่ย ข้า ซาน ยู ติดค้างท่านแล้ว” ชายร่างกำยำกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง เขาดูราวกับชายที่ผ่านวัยกลางคนมาแล้ว ใบหน้าของเขานั้นดูอ่อนเยาว์และสุภาพ แม้เขาจะดูมีอายุมากแล้วแต่ก็ยังดูมีเสน่ห์ ชิงสุ่ยมองไปยังซาน ยู จากนั้นเขาก็เข้าใจได้ทันที “พี่ซาน โปรดอย่าสุภาพมากเกินไป โปรดเรียกข้าว่าชิงสุ่ยก็พอ” “เช่นนั้นข้าก็จะไม่สุภาพจนเกินไป น้องชิง ในอนาคตพวกเราจะร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับพระราชวังจอมอสูร” “แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่ซานและท่านรองประมุขวังจะต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน!” ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่เขาหัวเราะ “นางเป็นคู่หมั้นของข้า พวกเรากำลังจะแต่งงานกันแต่ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ดังนั้นทุกอย่างจึงออกมาเป็นเช่นนี้ ข้าอยากจะเข้ามาขอบคุณน้องชายก่อนหน้านี้แต่รูเหม่ยนั้นไม่อนุญาต” ซาน ยูหัวเราะ ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าชายที่สวมชุดสีเลือดคู่นี้จะเป็นคู่หมั้นของฮัว รูเหม่ย แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็รู้สึกยินดี “พี่ชายดูเหมือนท่านจะโชคดียิ่งนัก ตอนนี้พี่สาวได้รับการรักษาแล้ว พวกท่านก็น่าจะแต่งงานกันได้แล้ว?” ชิงสุ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นางบอกให้ข้ารอจนกว่าเรื่องนี้จบลงก่อน นางต้องการให้เจ้าเป็นพยานในพิธีแต่งงานของเรา” ซาน ยูกล่าวออกมาอย่างมีความสุข “น่าสนใจยิ่งนัก ใช่แล้ว ข้ามีเคล็ดวิชาหนึ่งที่พวกท่านอาจจะสนใจ” ชิงสุ่ยนำรูปแบบแปดทิศเก้าเทวาของเขาออกมาและวางลงตรงหน้าทั้งสองคน “เป็นรูปแบบที่ดียิ่งนักแต่มันจำเป็นต้องใช้เวลา แม้แต่รูปแบบสมรภูมิโลหิตของตำหนักยุทธ์ที่พวกเรามีข้าก็ต้องใช้เวลาไปกว่าครึ่งชีวิตของตนเอง การจะทิ้งมันไปและเรียนรู้สิ่งอื่นนั้นก็ยากเกินไป” ซาน ยูดูเหมือนว่าจะอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้ว่ารูปแบบแปดทิศเก้าเทวานั้นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่รูปแบบสมรภูมิโลหิตนั้นเหมาะสำหรับผู้คนของตำหนักยุทธ์มากกว่า
คอมเม้นต์