ตอนที่ 1375
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลยhttps://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechniqueบทที่ 1375 – เดินทางมาถึงคฤหาสน์แห่งเมืองหลวงของมหาทวีป คนรับใช้ละโมภ คำเตือน ชิงสุ่ยเองก็ยังคงไม่รู้ว่าทำไม หรือว่ามันเป็นเพราะการที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาต่างๆผ่านเคล็ดวิชากายาบรรพกาล?” ณ ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาศ การที่จะเพิ่มพูนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นพลังต่อไป ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ ซึ่งการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจไม่ได้สร้างเฉพาะภัยพิบัติเพียงอย่างเดียวแต่ยังแบ่งเบาสิ่งที่อัดแน่นภายในร่างกายออกมาเช่นกัน ดังนั้น การเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจจึงเปรียบเสมือนตัวแปรที่ช่วยปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงคลื่นพลังภายในร่างกายให้ก้าวขึ้นสู่ระดับที่ทรงพลังยิ่งขึ้น มันจะทำหน้าที่ในการรักษาเสถียรภาพของร่างกายมนุษย์ และอาศัยการเพิ่มพูนพลังผ่านความทนทานในร่างกายที่กําลังระเบิดออก หรืออาจเป็นไปได้ว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งพอที่จะทำให้ไม่รับรู้ถึงการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ? “ถ้าหากพี่ใหญ่เชื่อในตัวข้า ท่านก็จงมาหาข้าหลังจากที่ได้เจอกับท่านอาจารย์ของท่าน และเมื่อถึงเวลานั้น ข้ามีเรื่องที่จะพูดกับท่านมากกว่านี้” แรกเริ่มเดิมทีชิงสุ่ยเองก็ต้องการช่วยเหลือเทียนฮี่ เรินโม่ในการสร้างรากฐาน ซึ่งบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตของเขาเองก็เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าเทียนฮี่เรินโม่เองก็มีปรมาจารย์ที่ทรงพลัง เขาจึงอยากดูว่าอาจารย์ของเขาทำอะไรได้บ้างและไม่ต้องการสร้างแรงดึงดูดที่ไม่จำเป็นจากคนภายนอก ดังนั้นชิงสุ่ยจึงเลือกที่จะช่วย เทียนฮี่ เรินโม่ ภายหลังจากที่เขาได้กลับไปเยี่ยมอาจารย์แล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นความสามารถในตัวของชิงสุ่ยเองก็คงจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงมากพอจะยืนอยู่เหนือเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้ เมืองหลวงของมหาทวีปอยู่ไม่ห่างไกลจากพระราชวังจอมอสูร ซึ่งพระราชวังจอมอสูรตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ มหาทวีปมังกรอหังกาลและมหาทวีปอุดรเทวา ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพระราชวังจอมอสูรไม่ได้อยู่ภายใต้มหาทวีปใดๆทั้ง 3 หาทวีปนี้ ชิงสุ่ยได้รู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่ที่เป็นจุดตัดของทั้ง 3 มหาทวีป และยังรู้ถึงการดำรงอยู่ของกองกำลังที่แข็งแกร่ง และตัวตนของอสูรอมตะนิรันดร์ และในตอนนี้ต่อให้เขาใช้ทั้งกลางจักรพรรดิและร้อยปักษาบูชาหงส์ก็ไม่รู้ว่ามันจะมากเพียงพอที่จะช่วยเหลือเธอได้หรือไม่? เขาเองก็สงสัยว่าของที่ให้เธอไปก่อนหน้านี้จะมีประโยชน์มากพอที่จะช่วยเหลือเธอได้จริงๆหรือ เวลานี้คือเวลาที่เขาต้องมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของมหาทวีป เขาจะมีโอกาสได้เจอกับเธออีกหรือไม่? ต่อให้เธอคือประมุขอสูร มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถตัดสินว่าเธอเป็นคนดีเพียงพอหรือไม่ ดั่งเช่นบุคคลบางคนอาจจะดูดีต่อหน้าคนๆเดียวแต่กลับเป็นคนไม่ดีต่อหน้าผู้อื่นมากมาย แต่ชิงสุ่ยก็ยังรู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนที่เลวร้าย แต่เธอคงจะได้รับสิ่งต่างๆมากมายมากดดันตลอดเวลา หลายคนที่เสแสร้งว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม แต่บางครั้งพวกเขากลับสวมเสื้อภายนอกที่ดุร้ายเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน และบางคนก็เลวร้ายยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก ซึ่งต่อให้เธอไม่ใช่คนดี ชิงสุ่ยก็ยังเลือกที่จะช่วยเหลือเธอ ผู้ที่มีพละกำลังอำนาจสูงทรงเหนือกว่าผู้อื่นคือคนที่กำหนดชะตากรรมว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี โลกใบนี้มีเพียงแค่คนแข็งแกร่งและอ่อนแอเท่านั้น ผู้ทรงพลังเพียงแค่แสดงท่าทางทุกคนต่างสรรเสริญว่าเป็นคนดี ไม่ว่าเขาจะพูดจาใดๆทุกคนล้วนสรรเสริญว่าเป็นผู้มีเหตุผล ดูเหมือนกฎเหล่านี้จะเป็นกฎเกณฑ์เดียวกับทั้งโลกไปก่อนและโลกใบนี้ที่ชิงสุ่ยและอาศัยอยู่ และแน่นอนว่าทุกอย่างนั้นก็เป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบ ไม่มีสิ่งใดหรอกที่ถูกจัดอยู่ในสิ่งที่ดีและไม่ดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์คือการเอาตัวรอดและพัฒนา “แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าต้องเชื่อใจเจ้าไอ้น้องชาย เอาล่ะ หลังจากที่ข้าได้ไปพบท่านอาจารย์ข้าจะกลับไปหาเจ้า”เทียนฮี่ เรินโม่ กล่าวด้วยวาจาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมในตัวของชิงสุ่ย ตลอดการเดินทาง ชิงสุ่ยและเทียนฮี่ เรินโม่ยังคงพูดคุยกันและมันยิ่งยืนยันความแค้นระหว่างเทียนฮี่ เรินโม่กับตระกูลเย่หลาง ดูเหมือนความแค้นจะเกิดขึ้นเฉพาะเหล่ารุ่นเยาว์ ซึ่งบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลล้วนแล้วแต่ไม่มีความเกี่ยวข้อง แต่ถึงกระนั้น เทียนฮี่ เรินโม่ก็ยังได้รับความอับอายที่ส่งทอดไปถึงตระกูลเทียนฮี่ หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านมาหลายปี เทียนฮี่ เรินโม่ต้องอาศัยอยู่กับความอัปยศอดสู และตราบใดที่เขาสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นที่ 2 ได้ โอกาสดีๆย่อมต้องกลับมาหาเขาอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องบรรลุจนถึงขั้นปลายของระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นที่ 1 นี่คือเหตุผลที่เขามายังเมืองหลวงของมาทวีปแห่งนี้ ………………………… ทั้งหมดยังคงเดินทางต่อไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยไปกว่า 1 เดือน ซึ่งช่วงเวลากลางเดือนชิงสุ่ยก็ได้เดินทางกลับไปยังตระกูลชิงแต่ก็เลยพักอยู่เพียงแค่หนึ่งคืนเท่านั้น มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ!!!! มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล เมื่อมองดูภูเขาและแม่น้ำที่ตั้งตระหง่าน และมองดูเมืองอันกว้างใหญ่ สถานที่แห่งนี้เปรียบดังพื้นดินที่ไกลสุดลูกหูลูกตาราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ชิงสุ่ยไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่แสนสดชื่นเมื่อมองมันอยู่เหนือท้องฟ้าได้ ” พี่ใหญ่ ท่านสามารถแยกตัวไปหาอาจารย์ของท่านได้นะ อย่าได้กังวลเลยเดี๋ยวพวกเราจะไปตามหาสถานที่เพื่อจัดตั้งสาขาของหอคอยจักรพรรดิกันเอง”ชิงสุ่ยคิดบางอย่างและกล่าวออกมา “อย่าได้กังวล แม้ว่าตระกูลเทียนฮี่ จะไม่ได้ตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของมหาทวีป แต่พวกเราเองก็มีสินทรัพย์จำนวนมากอยู่ ณ ที่แห่งนั้น อีกทั้งพวกเรายังมีคฤหาสน์ที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการก่อตั้งหอคอยจักรพรรดิของพวกเจ้า เดี๋ยวข้าจะเป็นคนนำทางไปเอง”เทียนฮี่ เรินโม่ยิ้มและกล่าว “โอ้ จริงหรือ? ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็คงต้องตอบตกลง โดยไม่มีพิธีรีตองใดๆอีกแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้มขณะตอบกลับ “ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ข้าก็คงรู้สึกผิด ตัวข้าเองนั้นก็มีเพื่อนอยู่เพียงแค่หยิบมือ และเจ้าก็ถือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ชีวิตทั้งหมดของข้าเองก็ได้รับมาจากเจ้า ต่อให้เจ้าร้องขออะไรข้าก็จะไม่ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว” เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวกับชิงสุ่ย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามเขาจะรักษาเพื่อนที่สำคัญของเขาเอาไว้ให้ได้ ชิงสุ่ยค่อนข้างเข้าใจความรู้สึกของเทียนฮี่ เรินโม่ ซึ่งเขาก็ชื่นชอบคนที่มีนิสัยเช่นนี้อย่างมาก และเหมาะที่สุดที่จะได้คนเหล่านี้มาเป็นสหาย 3 วันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองชั้นใน!!!! เนื่องจากเมืองหลวงของทวีปมีขนาดที่ใหญ่มหึมามันจึงถูกแบ่งออกเป็นหัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองชั้นใน อย่างไรก็ตามภายใต้พื้นที่เหล่านั้นก็ยังถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วนหลายๆส่วน สินทรัพย์ของตระกูลเทียนฮี่บางส่วนก็อยู่ภายในเมืองหลวงแห่งนี้เช่นกัน แต่สิ่งของต่างๆส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยมีค่า ยกเว้นแต่บรรดาคฤหาสน์และการค้า แต่ถึงกระนั้นสินทรัพย์เหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญของตระกูลเทียนฮี่เลย ความมั่งคั่งของเมืองแห่งนี้แตกต่างจากเมืองอื่นโดยสิ้นเชิง คฤหาสน์ขนาดใหญ่มากมายตั้งตระหง่านอยู่เต็มพื้นที่ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงประวัติอันยาวนาน เทียนฮี่ เรินโม่ได้นำทางชิงสุ่ยแล้วเราสุภาพสตรีไปยังคฤหาสน์ที่ดูเหมือนจะยังไม่เก่าโบราณมากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ว่าสิ่งก่อสร้างชิ้นนี้จะต้องเป็นของพ่อค้าผู้มั่งคั่งระดับกลาง อย่างน้อยมันก็ยังคงเต็มไปด้วยความหรูหรา คฤหาสน์แห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก และประกอบด้วยศาลาภายในขนาดใหญ่ดีกว่า 10 แห่ง นั่นเป็นตัวบ่งบอกถึงราคาอันมหาศาลของตัวอาคารคฤหาสน์หลังนี้ และมันยังตั้งอยู่ในทำเลที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย “น้องชาย ข้าขอมอบสถานที่แห่งนี้ให้กับเจ้า ส่วนข้านั้นจะขอมุ่งหน้าแยกตัวตรงไปหาบ้านของอาจารย์ข้า”เทียนฮี่ เรินโม่ วางแผนทั้งหมดเอาไว้ “ขอบคุณมาก ถ้าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ท่านก็จงมาหาข้าที่นี่ อย่าลืมสิ่งที่ข้าได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ท่านจงมาหาข้าหลังจากที่ท่านทำภารกิจกับอาจารย์ของท่านเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าอาจจะช่วยเหลือท่านได้อีกเล็กน้อย”ชิงสุ่ยกล่าวเตือนอีกครั้ง “อืม ข้าไม่ลืมอย่างแน่นอน”เทียนฮี่ เรินโม่เรายังหนักแน่น ตั้งแต่ที่เขาได้ฟังชิงสุ่ยกล่าวเรื่องราวทั้งหมด เขาก็รู้สึกได้ว่าชิงสุ่ยจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่สามารถสนับสนุนเขาได้ แต่ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคือสิ่งใด เทียนฮี่ เรินโม่ได้กล่าวลาทั้งอี่หวงกูหวู่และหยวนสู่ก่อนจะออกเดินทางและจากไป เหล่าสาวรับใช้จำนวนมากกำลังเร่งรีบทำความสะอาดรวมถึงตัวของพ่อบ้านเช่นกัน พ่อบ้านหลังนี้เป็นชายที่มีอายุประมาณ 40 ปี เขามองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรมากนัก ในอดีตตระกูลเทียนฮี่จะส่งเงินมายังคฤหาสน์หลังนี้เพื่อใช้ในการบำรุงรักษา ซึ่งมันทำให้เขาและครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคนนอกเข้ามาและกลายเป็นเจ้าของของคฤหาสน์หลังนี้ มันคงจะเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับเขาที่จะอยู่ในสถานที่แห่งนี้และสามารถทำในสิ่งที่ตนต้องการได้ เขาเคยอยู่ที่นี่ด้วยความอิสระแต่เมื่อมีผู้อื่นเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมจะแตกต่างไป ชิงสุ่ยจ้องมองไปที่ชายคนนั้น ถึงแม้ว่าเขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อปกปิดสายตาไม่ให้เกิดข้อน่าสงสัย แต่ชิงสุ่ยก็ยังคงสามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ชิงสุ่ยจึงค่อยๆเผยรอยยิ้มขณะกล่าวถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?” ” จ้าว เหยาหวู่” ชายคนนี้ดูเหมือนจะยังไม่ได้ยินคำพูดที่ออกมาจากเทียนฮี่เรินโม่เรื่องที่ว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นของชิงสุ่ย ผนวกกับการที่เขาได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มาเป็นเวลายาวนานจนมันทำให้เขารู้สึกว่านี่คือคฤหาสน์ของเขาเอง และเขาเองก็มั่นใจว่าคนของตระกูลเทียนฮี่จะไม่มีวันมาที่นี่อย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ของตระกูลเทียนฮี่ได้รับความอับอาย พวกเขาก็กลัวว่าปัญหาจะบานปลายมากกว่านี้จึงไม่มีผู้ใดมาอาศัยอยู่ที่นี่ แล้วถ้าหากเป็นเรื่องการขายคฤหาสน์ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะทำหากว่าจนปัญญาจริง ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ต่อให้พื้นที่เหล่านี้จะกลายเป็นรกร้าง พวกเขาย่อมต้องไม่ยอมเสียหน้าที่จะปล่อยพื้นที่ดีๆเหล่านี้ไป พ่อบ้านผู้ชายคนนี้ไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นมีความสัมพันธ์ใดกับตระกูลเทียนฮี่ แต่เขาเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้จะต้องอยู่ที่นี่ไม่นานนัก พ่อบ้านจึงพยายามแสดงท่าทีที่ดีแม้ว่าภายในใจจะคิดร้ายก็ตาม แม้ภายนอกจะไม่แสดงให้เห็นแต่คนอย่างชิงสุ่ยย่อมรู้อยู่แล้วว่าคนรับใช้คนนี้เป็นคนที่คิดร้าย ซึ่งมันอาจเกิดจากความโลภที่มากเกินขอบเขต มากเกินกว่าจะจดจำที่ที่ตนควรจะยืนอยู่ “ไม่ทราบว่าเจ้าอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวถาม ” 30 ปี” ” เวลา 30 ปีถือว่าไม่ใช่เวลาที่สั้นๆเลย”ชิงสุ่ยยังคงยิ้มและกล่าวตอบ “ถูกต้อง ไม่มีใครคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดีเท่าข้า และไม่มีใครเหมาะสมกับสถานที่แห่งนี้ดีเท่าข้าเช่นกัน”จ้าว เหยาหวู่ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “แต่เจ้าก็เป็นเพียงแค่พ่อบ้านประจําคฤหาสน์หลังนี้ คำพูดของข้าเพียงแค่คำเดียวก็สามารถไล่เจ้าออกจากสถานที่แห่งนี้ไปได้ จำไว้”หลังจากกล่าวจบ ชิงสุ่ยก็มุ่งหน้าตรงไปยังศาลาที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับหญิงสาวทั้งสองคน จ้าว เหยาหวู่เจ้ามองไปยังหญิงสาวโฉมงามทั้งสองคน สายตาของเขานั้นเป็นไปด้วยราคะ และความปรารถนาขณะจ้องมองก้นอันงดงามของหญิงสาวทั้งสอง เพียงชั่วขณะ ชิงสุ่ยก็หันหลังกลับมาพร้อมกับสะบัดแขนของเขาเบาๆ จ้าว เหยาหวู่ถึงกับลอยกระเด็นออกไปพร้อมกับพ่นเลือดสดๆออกจากปาก “ออกไปซะ ถ้าหากเจ้ายังกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีก เจ้าคงจะรู้ผลลัพธ์ของมันดี”ชิงสุ่ยโกรธมาก หญิงสาวเหล่านี้คือคนของเขา แม้ว่าพ่อบ้านจะแสดงกิริยาที่แสนต่ำตมแต่เขาก็เลือกที่จะเตือน แต่เมื่อเขากล้าล้ำเส้นมันก็คงไม่คู่ควรกับสถานที่แห่งนี้อีกต่อไป จ้าว เหยาหวู่กระเด็นลอยออกไปข้างนอกคฤหาสน์อย่างรวดเร็วพร้อมกับสภาพที่ดูน่าสมเพช ชิงสุ่ยตั้งใจแสดงเพื่อเตือนจ้าว เหยาหวู่ว่าคนรับใช้อย่าได้ริอาจเอื้อมสิ่งที่ไม่ควรค่า
คอมเม้นต์