ราชันเร้นลับ 931 : แนวทางใหม่ในการสืบข่าว
ชำเลืองไปทางสีหน้าเดนิส แอนเดอร์สันกล่าวต่อทันทีราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แต่ว่า สมองของพวกมันคล้ายกับถูกซอมบี้กัดกิน แต่ละคนโง่จนไม่เข้ากับความสง่างามของฉัน… ฉันจึงตัดสินใจโกหกในบางเรื่องและถอนตัวออกมา… หืม… ทำไมถึงหน้าซีดขนาดนั้น? เหงื่อออกเยอะไปหน่อยไหม? เป็นโรคลมแดดหรือ? ในฐานะนักล่า นายต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมนะ จำเอาไว้”เดนิสยกมือขวาขึ้นปาดเหงื่อ ภายในใจสาปแช่งคำสองสามคำ ก่อนจะฝืนยิ้มและกล่าว“ฉันเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า หากใครเคยศรัทธาเทพมารไปแล้ว คนผู้นั้นจะไม่มีวันถอนตัวได้”ขณะกล่าว มันยกคางขึ้นพร้อมกับทำท่าทางบอกใบ้ว่าอีกฝ่ายจะมีจุดจบแบบไหน โดยที่เรื่องของเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้อยู่ในหัวอีกแล้ว ไม่สนว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรกับชุมนุมแสงเหนือ และไม่ได้คิดว่าต้นตนของความยุ่งเหยิงมาจากเทพมารที่ชื่อ ‘เดอะฟูล’“ที่พูดมาก็ไม่ผิด” แอนเดอร์สันตอบด้วยรอยยิ้มปราศจากความขุ่นเคือง “แต่ในตอนนั้น ฉันมิได้ศรัทธาเทพมารดังกล่าวจากก้นบึ้ง บทสวดทั้งหมดที่ท่อง ฉันแอบเปลี่ยนชื่อเป็นเทพปัญญาความรู้… หึหึ พวกมันไม่ชอบใช้สมองอยู่แล้ว ไม่สิ… พวกมันไม่มีของแบบนั้นด้วยซ้ำ เมื่อนายอยู่ท่ามกลางคนโง่พวกนี้ ขอเพียงแสร้งทำตัวศรัทธาอย่างสุดโต่ง พวกมันก็พร้อมจะเชื่อคำโกหกงี่เง่าทุกรูปแบบ”โดยไม่รอให้เดนิสพูด มันชิงถาม“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงถามเกี่ยวกับชุมนุมแสงเหนือ?”เดนิสกัดบาร์บีคิว เคี้ยว และกลืนอย่างเชื่องช้า หลังจากผ่านไปราวยี่สิบวินาที มันเรียบเรียงคำพูดและถาม“ฉันนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้พอดี… ด้วยเหตุผลบางอย่าง เกอร์มัน·สแปร์โรว์กลายเป็นเป้าหมายหลักที่ชุมนุมแสงเหนือหมายหัว รวมถึงนิกายวิญญาณก็ด้วย… ต้องไม่ลืมว่า นายกับฉันเป็นคนรู้จักของหมอนั่น”“ให้ฉันคอยระวังตัวจากคนของชุมนุมแสงเหนือและนิกายวิญญาณใช่ไหม?” แอนเดอร์สันพยักหน้ารับพลางหัวเราะ “ดูเหมือนว่านายจะเพิ่งบอกอะไรที่คล้ายๆ กันเมื่อไม่นานมานี้ มีทั้งโรงเรียนกุหลาบ โบสถ์วายุสลาตัน กองทัพโลเอ็น… ฟู่ว… บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์เหมาะที่จะเป็นนักล่ามากกว่าฉันเสียอีก”เดนิสเถียงไม่ออก ทำได้เพียงถอนหายใจในฐานะผู้ร่วมชะตากรรมแอนเดอร์สันครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย“แล้วนายมาทำอะไรที่ไบลัมตะวันตก? ช่วยเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำงาน?”ได้ยินคำถามดังกล่าว เดนิสเงียบไปครู่หนึ่ง วางสิ่งของในมือลงพลางจัดเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน“สำรวจศาสนาของคนทุกชนชั้นในไบลัมตะวันตก”นี่คือเป้าหมายแบบ ‘สวยหรู’ ที่คิดชื่อขึ้นมาหลังจากปรึกษากับ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า แต่ความจริงแล้วเป็นการตรวจสอบขอบเขตของอิทธิพลขององค์กรลับที่สำคัญในไบลัมตะวันตกแน่นอน หนึ่งในวัตถุประสงค์ก็คือ การเข้าไปเจรจาครั้งแรกกับกองกำลังปกครองท้องถิ่น สอบถามว่าอีกฝ่ายต้องการซื้อเครื่องกระสุนและอาวุธปืนหรือไม่“สำรวจศาสนาของคนทุกชนชั้นในไบลัมตะวันตก…” แอนเดอร์สันทวนคำพูดของเดนิส ยกมือขวาขึ้นลูบหน้าผากคล้ายกับกำลังปวดหัว…หลังจากจบชุมนุมทาโรต์พร้อมกับตักเตือน ‘พลเรือเอกดวงดาว’ ให้ใส่ใจ ‘การสอบสวน’ ของชุมนุมแสงเหนือและนิกายวิญญาณให้ดี โดยแนะนำว่าเป็นการดีที่สุดที่จะขอความช่วยเหลือจากนิกายมอสส์ ไคลน์ก็ต้องมาวุ่นวายกับธุรกรรมสามทางของเดอะเวิร์ล เดอะมูน และเดอะซัน ก่อนจะรับเงินห้าพันปอนด์จนกระทั่งเสร็จมื้อค่ำ มันหยิบหนังสือพิมพ์พร้อมกับคาบกล้องยาสูบปลอมที่ไม่ได้จุดไฟ พลางอ่านหนังสือพิมพ์ จนกระทั่งเห็นผู้ส่งสารเดินออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับจดหมายของเลียวนาร์ดสินะ… ไคลน์เอื้อมมือไปรับพลางสังเกตว่าไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์จะหยุดรอหรือไม่ และพบว่ามิสผู้ส่งสารเดินกลับเข้าไปในโลกวิญญาณอย่างรวดเร็วสิ่งนี้หมายความว่า เลียวนาร์ด·มิเชลทำการชำระเงินค่าไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว ไคลน์จึงใช้มืออีกข้างคลี่กระดาษออกมาอ่าน“อินซ์·แซงวิลล์ปรากฏตัวในไบลัมตะวันออก ต้องสงสัยว่าจะนัดพบกับปาลังเก้·ทัสซิบแห่งนิกายวิญญาณสังกัดฝ่ายที่สนับสนุนโครงการมรณาเทียม…”อินซ์·แซงวิลล์… ไคลน์เคี้ยวชื่อพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่รีบร้อนในจดหมาย เลียวนาร์ดระบุว่ามันต้องการแอบสืบสวนอย่างลับๆ เพื่อค้นหาจุดประสงค์ของอินซ์แซงวิลล์แต่ปัญหาก็คือ ตามที่หมอนั่นบอกใบ้เมื่อครั้งก่อน ‘0-08’ จะมีคุณสมบัติพิเศษในทำนองว่า ‘ทุกการเอ่ยถึงจะถูกล่วงรู้’ หลังจากนั้นมันจะสร้างชุดความบังเอิญและชักนำผู้คนโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว… ในสถานการณ์ปัจจุบัน การตรวจสอบอินซ์·แซงวิลล์โดยที่ 0-08 ไม่รู้ตัวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงจะล้มเหลว ยังทำให้ตัวตนของเราถูกเปิดเผยได้ง่าย… ไคลน์ครุ่นคิดพลางสั่งให้เอ็นโซยืนนวดไหล่จากด้านหลังมันอ่านทบทวนจดหมายของเลียวนาร์ด·มิเชลใหม่ตั้งแต่ต้น โดยหวังว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติม หรือไม่ก็จุดตั้งต้นของการสืบสวนภายในประโยคเหล่านี้ไบลัมตะวันออก… นิกายวิญญาณ… มรณาเทียม… ปาลังเก้·ทัสซิบ… อินซ์แซงวิลล์อยากได้อะไรจากพวกมัน? พยายามหาพันธมิตรให้กับฝ่ายราชวงศ์ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์?มรณาเทียม… นิกายวิญญาณ…ขณะกำลังใช้สมอง ไคลน์เริ่มฉุกคิดถึงบางสิ่ง เป็นเรื่องไม่มีใครรู้นอกจากตนกับมิสเตอร์อะซิกเทพธิดารัตติกาลได้ครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง ‘มรณา’ เรียบร้อยแล้ว สิ่งนั่นก็คือ ‘เทพมรณาเทียม’ โดยที่ปัจจุบัน พระองค์กำลังพยายาม ‘ย่อย’ ‘แย่งชิง’ และ ‘ยึดครอง’ อำนาจดังกล่าวมาเป็นของตัวเอง!กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป้าหมายการสวดวิงวอนของฝ่ายสนับสนุนเทพมรณาเทียมแห่งนิกายวิญญาณในปัจจุบัน จะถูกส่งผ่านไปถึงเทพธิดารัตติกาลในที่สุด รอจนกระทั่งพระองค์สามารถกุม ‘อำนาจ’ เบ็ดเสร็จ พวกมันจะถูกล้างสมองในระดับหนึ่งและค่อยๆ กลายเป็นผู้ศรัทธาแห่งโบสถ์รัตติกาล หรือไม่ก็ พวกมันจะถูกใช้งานเพื่อการติดต่อกับนิกายวิญญาณอีกฝั่งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็แอบร่วมมือกับเหยี่ยวราตรีอย่างลับๆสำหรับไคลน์ สิ่งนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก สาระสำคัญที่แท้จริงก็คือ ในเอกสารโบราณที่มันเคยอ่าน มีข้อความหนึ่งเขียนไว้ว่า:ในการจะสร้างเทพมรณาเทียม สมาชิกนิกายวิญญาณต้องสวดวิงวอนถึง ‘เอกลักษณ์’ ทุกวันประหนึ่งอีกฝ่ายคือเทพแท้จริง พยายามกระตุ้นสติปัญญาของมันขึ้นไปทีละขั้นแน่นอน นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการ แถมยังไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุดถ้าอย่างนั้น… จะเป็นไปได้ไหมว่า ในตอนที่ปาลังเก้·ทัสซิบสวดวิงวอนถึง ‘เทพมรณาเทียม’ ตามกิจวัตรปรกติ มันจะเล่าถึงจุดประสงค์ของอินซ์·แซงวิลล์ด้วย เพื่อแลกกับคำอวยพรจากอีกฝ่าย?แต่มันคงไม่คาดไม่ถึงว่า ‘เทพมรณาเทียม’ ที่อยู่อีกฝั่ง ปัจจุบันได้ถูก ‘เทพธิดารัตติกาล’ ควบคุมขั้นต้นเรียบร้อยแล้ว แม้จะยังครอบครองได้ไม่สมบูรณ์ แต่ทุกความเคลื่อนไหวก็ตกอยู่ในกำมือของพระองค์…จากมุมมองดังกล่าว หากเราสวมวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาลโดยตรง บางทีอาจได้ทราบถึงจุดประสงค์ของอินซ์·แซงวิลล์… ฟังดูเป็นไปได้มากทีเดียว! ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ ไคลน์ก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนการที่ฟังดูเหมือนจะไร้สาระ มีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะประสบความสำเร็จและเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นจริงได้ก็คือ:‘ผู้นำ’ ของศัตรูคือ ‘สายลับ’ ของเรา!หลังจากบังคับให้หุ่นเชิดเอ็นโซหยุดนวด ไคลน์ลุกขึ้นและเดินวนเวียนไปมา ครุ่นคิดหาวิธีทดสอบเนื่องจากอินซ์·แซงวีลล์เป็นคนทรยศต่อศาสนจักร เป็นความอัปยศของเหยี่ยวราตรี หากมีโอกาสกำจัดมันให้สิ้นซาก เทพธิดาก็ควรจะมีความสุขกับเรื่องนี้ ไม่ถือสาที่จะส่งความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ …แต่ตอนนี้คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการเข้าช่วงชิง ‘อำนาจ’ ในขอบเขตความตาย พระองค์อาจไม่สะดวกที่จะตอบสนองพิธีกรรมไปอีกสักพัก มีเพียงการตอบรับอัตโนมัติในพิธีกรรมทั่วไป… และนอกจากนั้น เรายังขาดวัสดุที่เกี่ยวข้องกับพระองค์…เหนือสิ่งอื่นใด เราคอยเตือนตัวเองเสมอว่าห้ามประมาทเทพธิดา อย่าได้ไว้ใจพระองค์มากเกินไป… เมื่อลองมาคิดดูอีกที การสวดวิงวอนตรงๆ เพื่อขอวิวรณ์ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เราต้องรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย… กระแสความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์จนเกิดความลังเลหลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน มันพยายามค้นหาวิธีที่พอจะยอมรับได้ทันใดนั้น มันผุดแนวคิดที่บ้าบิ่นออกมาสวดวิงวอนโดยตรงถึง ‘มรณาเทียม’ !ด้วยวิธีนี้ ความเสี่ยงจะมีต่ำมาก เพราะ ‘เทพมรณาเทียม’ ตัวจริงจะไม่ตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนและพิธีกรรมทุกชนิด หากเราได้รับการตอบสนอง หมายความว่าแก่นแท้ของอีกฝ่ายคือเทพธิดารัตติกาล ในทางกลับกัน ไคลน์ยังมีขนนกจาก ‘ผลผลิตที่ล้มเหลว’ ในโครงการมรณาเทียม และยังมีนกหวีดทองแดงของอะซิก ง่ายต่อการรวบรวมวัสดุสำหรับประกอบพิธีกรรมเพื่อขอวิวรณ์!นอกจากนั้น นี่ไม่ใช่การ ‘เชื่อมต่อ’ กับพระองค์โดยตรง แต่มีบางสิ่งคั่นกลาง… และวิธีนี้อาจจะช่วยให้พระองค์เข้าใจหลักการทำงานของมรณาเทียมมากขึ้น ยึดครองอำนาจในเส้นทางความตายได้ง่ายขึ้น… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอกอันดับแรก มันเตรียมประกอบพิธีกรรม ‘สังเวยและรับมอบ’ เริ่มจากการนำหนึ่งในสองขนนกที่ยังเหลือ พร้อมกันกับน้ำมันสกัดจันทร์เต็มดวง ผงวานิลลารัตติกาล และวัตถุดิบอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานาน ออกจากมิติหมอกกลับมายังโลกแห่งความจริง จากนั้นก็ดัดแปลงแท่นบูชาเล็กน้อย เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นแรกของพิธีกรรม เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เป้าหมายที่มันสวดวิงวอนถึงคือเทพธิดารัตติกาล จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมวัตถุดิบยิบย่อยในเส้นทางมรณาแก่นแท้ของพิธีกรรมในทุกศาสนานั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน อาศัยความชำนาญ ไคลน์จุดเทียนและหยดน้ำมันสกัดสมุนไพร ตามด้วยการวาดสัญลักษณ์ของ ‘มนุษย์’ และ ‘การปกปิด’ ลงบนกระดาษหนัง ท่ามกลางหมอกควันจางๆ ไคลน์ปิดท้ายด้วยการวางนกหวีดทองแดงของอะซิกลงไปโดยไม่มัวรีรอ มันใส่ขนนกสีขาวที่เปื้อนน้ำมันบางๆ ลงในหม้อเงินที่มีผงสมุนไพรถูกเผา จากนั้นก็เฝ้ามองขนนกที่บิดงอแต่ไม่ปรากฏรอยไหม้หายใจออกเชื่องช้า ไคลน์ก้าวถอยหลังพร้อมกับท่องเป็นภาษาเฮอร์มิส“พระองค์ผู้เป็นแก่นแท้ของความตาย”“พระองค์ผู้ปกครองเหนือความตายทั้งปวง”“พระองค์ผู้เป็นจุดหมายสุดท้ายของทุกสิ่งมีชีวิต”“ข้าขอสวดวิงวอน ขอให้พระองค์ช่วยบอกจุดประสงค์ที่อินซ์·แซงวีลล์แอบติดต่อกับนิกายวิญญาณ”“…”ทันทีที่กล่าวจบ แสงเทียนทั้งสามขยายขนาดด้วยสีสันสว่างสดใส แต่เพียงไม่นานก็ถูกฉาบด้วยแสงสีเขียวเข้ม เปลี่ยนให้บรรยากาศเย็นยะเยือกและน่าขนลุกไคลน์หลับตาลงด้วยความประหม่า เข้าฌานนานสามสิบวินาที ก่อนจะเดินไปที่หน้าแท่นบูชาและหยิบน้ำมันสกัดจันทร์เต็มดวง หยดลงบนเทียนไขทั้งสามอย่างละหนึ่งหยดจัดการเสร็จ มันเก็บนกหวีดทองแดงอะซิก จากนั้นก็นำกระดาษหนังไปจ่อเทียนไขที่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวเอง ลนไฟให้ไหม้แล้วโยนลงในหม้อเงินท่ามกลางเสียงสายลม ขนนกสีขาวที่ไม่ยอมไหม้ในตอนแรก พลันลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีซีดจนท่วมท้นหม้อเงิน บดบังการมองเห็นของไคลน์สองสามวินาทีถัดมา เปลวไฟดับลงโดยสมบูรณ์ เหลือเพียงเศษผงในหม้อเงินโดยไม่มีลมพัด เศษผงเหล่านั้นเรียงตัวเป็นประโยค:“ถูกวิญญาณมารสิงร่าง กำลังมองหาวิธีปัดเป่า”…………………………………………………..
คอมเม้นต์