ราชันเร้นลับ 397 : คำทำนายวันพิพากษา

อ่านนิยายจีนเรื่อง Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ตอนที่ 397 : คำทำนายวันพิพากษา 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

อาศัยความช่วยเหลือจากห้วงมิติสายหมอกเทา ไคลน์คืนสติตัวเองกลับมาได้ไวและเริ่มอ่านบทที่สองของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณต่อทันที
นักท่องเที่ยวของตระกูลอับราฮัม ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ อ้างตัวว่าขณะตนท่องเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ เขาได้พบกับชายชราสวมชุดคลุมสีเหลืองเปลือกเลมอน
ร่างกายของชายชราคนดังกล่าวมีลักษณะโปร่งแสงเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ท่าทีของเขากลับเป็นมิตรจนน่าเหลือเชื่อ
นักท่องเที่ยวจากตระกูลอับราฮัมสนทนากับอาวุโสสักพัก โดยในภายหลังมีอันต้องประหลาดใจเมื่อทราบว่า ชายชราคนดังกล่าวคือหนึ่งในเจ็ดริ้วแสงพิสุทธิ์ผู้ปกคลุมน่านฟ้าของโลกวิญญาณมาช้านาน
‘แสงเหลือง’ เวนิธาน
เวนิธานยังเล่าให้บรรพบุรุษของตระกูลอับราฮัมฟังด้วยว่า คุณลักษณะพิเศษของตนคือ ‘ตรรกะ’ และ ‘การปรับตัว’ พลังในขอบเขตคือโหราศาสตร์ และอัญมณีประจำตัวคือมรกต
ชายชรายังเล่าถึงผลการทำนายอนาคตของตนอย่างคร่าว :
“จงระวังดวงดาวจากอวกาศให้ดี มันจะพุ่งชนโลกจนทำให้ผืนดินถูกทำลาย ทุกสิ่งจะเข้าสู่ภาวะแตกดับ”
เวนิธานเชื่อว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นในอีกสองร้อยปีข้างหน้า และจะไม่มีสิ่งใดเหลือรอด
นักท่องเที่ยวจากตระกูลอับราฮัมมิได้แยแสคำทำนายดังกล่าวมากนัก เพียงเพ่งความสนใจไปยังวิธีรักษาคำสาปของสายเลือด
‘แสงเหลือง’ เวนิธาน ตอบกลับอย่างคลุมเครือว่า :
“เจ้าจะมองว่าเป็นคำสาปก็ไม่ผิด แต่สิ่งนี้ไม่ใช่คำสาปในทางศาสตร์เร้นลับ ส่วนวิธีหลุดพ้นจากหายนะดังกล่าว คือการพึ่งพาผู้ฝึกหัดคนหนึ่งซึ่งถูกช่วยไว้โดยบุคคลลึกลับ”
อย่างไรก็ตาม เวนิธานได้เตือนทิ้งท้ายไว้อย่างน่าขนลุกว่า หากคำสาปตระกูลอับราฮัมถูกขจัดเมื่อใด วินาทีดังกล่าวคือจุดเริ่มต้นของขุมนรกอันแท้จริงของตระกูลอับราฮัม
แต่ขุมนรกดังกล่าวมีลักษณะหรือหน้าตาเป็นเช่นไร เวนิธานเองก็ไม่มั่นใจนัก ระบุเพียงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลยิ่งใหญ่ระดับทวยเทพ
ผู้เขียนหนังสือยังกล่าวอีกว่า เวนิธานได้เล่าเรื่องน่าสนใจให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้นำแห่งภราดรภาพแสงพิสุทธิ์—เหล่าริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดเส้น พวกเขามักแฝงตัวเข้าไปในโลกมนุษย์ด้วยหลากหลายวิธีการ จำแลงกายเป็นมนุษย์และคอยถ่ายทอดความรู้ตามแต่ความถนัดของตน
นับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้าเป็นต้นมา บุคลากรระดับปรมาจารย์ของโลกในหลายสาขาอาชีพ มักเป็นร่างจำแลงของริ้วแสงพิสุทธิ์ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น สุดยอดนักโหราศาสตร์ของโลก ดิ·ฟอสมันน์ ผู้สร้างทฤษฎีโลกกลมและเชื่อว่าเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง แท้จริงแล้วคือร่างจำแลงของ ‘แสงเหลือง’ เวนิธาน
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนหนังสือจึงเริ่มตั้งประเด็นสงสัยว่า โรซายล์·กุสตาฟ คือร่างจำแลงของริ้วแสงพิสุทธิ์เส้นใดกัน เนื่องจากชายคนนั้นเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนงเสียเหลือเกิน
ต้องขอโทษด้วยคุณอับราฮัม แต่เขาไม่ใช่… หรือหากคิดแบบนั้นแล้วมีความสุข ผมก็ขอตอบว่าชายคนนั้นคือแสงเขียว…
ไคลน์ครุ่นคิดพลางเลื่อนมือขึ้นมาลูบขมับ
จากข้อมูลเมื่อครู่ มันได้ทราบว่าผู้เขียนหนังสือมิใช่ตัวตนเก่าแก่โบราณ ขณะเดียวกัน เมื่อประเมินว่าอีกฝ่ายมิได้เรียกโรซายล์ว่า ‘จักรพรรดิ’ หมายความว่าการท่องโลกวิญญาณในบันทึกเล่มนี้ อาจเกิดขึ้นขณะโรซายล์ยังเป็นเพียงกงสุล หรือไม่ก็เพิ่งเริ่มเรียกตัวเองว่าเป็นจักรพรรดิได้ไม่นาน จึงยังไม่แพร่หลายสู่สาธารณชนสักเท่าไร
แต่บางที อาจเป็นเพราะตระกูลอับราฮัมจะไม่เรียกราชวงศ์อื่นนอกจากทูดอร์ว่าจักรพรรดิก็เป็นได้…
นักท่องโลกวิญญาณ… คงเป็นผู้วิเศษระดับค่อนไปทางสูง แต่ต้องไม่สูงจนเกินไป ไม่อย่างนั้นคงช่วยเหลือมิสเตอร์ประตูออกมานานแล้ว และคำสาปตระกูลอับราฮัมก็จะไม่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน… ฉะนั้น ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คงมีลำดับประมาณ 5 หรือไม่ก็ลำดับ 6 ผู้ครอบครองสมบัติวิเศษ… ถึงแม้ว่าตระกูลอับราฮัมจะเสื่อมถอยลงในช่วงหลัง แต่พวกเขาก็มิได้อ่อนแอ…
หืม… แล้วทำไมคำทำนายด้านวันสิ้นโลกของ ‘แสงเหลือง’ เวนิธาน ถึงได้คล้ายคลึงกับคำทำนายของนิกายแม่มดและชุมนุมแสงเหนือนัก?
หรือวันพิพากษาจะมีอยู่จริง?
ถ้าอย่างนั้น หากคำนวณตามวันเวลาในบันทึกอย่างคราว วันพิพากษาจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า…
ไคลน์ขมวดคิ้วขบคิด
โรซายล์ขึ้นเป็นกงสุลในช่วงปี 1173… โดยปัจจุบันคือปี 1349 หมายความว่าเขาเป็นกงสุลเมื่อประมาณ 179 ปีก่อน… ในช่วงเวลาดังกล่าว เวนิธานได้ทำนายว่าอีกสองร้อยปี โลกจะถึงวันพิพากษา…
เมื่อนำหลายข้อมูลประกอบกัน ไคลน์กลั่นกรองได้ตัวเลขออกมาเป็น : วันพิพากษาจะเกิดขึ้นในอีกประมาณยี่สิบสี่ถึงห้าสิบปีข้างหน้าถ้านับจากเวลาปัจจุบัน (โรซายล์ตั้งตนเป็นจักรพรรดิในปี 1192 และถูกลอบสังหารในปี 1198)
แม้ว่าสองบทแรกในหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณจะไม่มีเขียนถึงพิธีกรรมซับซ้อนหรือความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับมากนัก แต่ข้อมูลดังกล่าวได้เปิดโลกทัศน์ไคลน์พอสมควร
อย่างน้อยก็ช่วยให้ทราบสถานการณ์ของโลกวิญญาณได้ดีระดับหนึ่ง รวมถึงความเข้าใจในตัวตนของริ้วแสงพิสุทธิ์ และองค์กรลับภราดรภาพแสงพิสุทธิ์
เข้าใจแล้ว… ริ้วแสงด้านบนสุดขณะประกอบพิธีกรรม หรือขณะอยู่ในสภาพร่างวิญญาณหลังจากเลื่อนลำดับ ความจริงแล้วคือแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณนี่เอง… เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาล้วนมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง… มหัศจรรย์ชะมัด…
อีกอย่าง สองบทแรกของหนังสือประสบการณ์โลกวิญญาณ มิได้ปราศจากข้อมูลทางศาสตร์เร้นลับโดยสิ้นเชิง อย่างน้อย เราก็ได้ทราบว่าแสงเหลืองชื่อเวนิธาน และอัญมณีประจำตัวคือมรกต ข้อมูลในคราวนี้อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียด จนมากพอจะทำไปประกอบพิธีกรรมระบุตัวถึงตัวตนของแสงเหลืองได้แม่นยำ… แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ข้อมูลข้างต้นคงไม่มีประโยชน์สักเท่าไร…
ไคลน์นั่งไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะปิดปึกกระดาษฉบับคัดลอกและส่งตัวเองกลับโลก
ปัจจุบัน มันมีสิ่งสำคัญให้ต้องสนใจมากกว่าการติดต่อกับ ‘แสงเหลือง’ เวนิธาน
ไคลน์หยิบแผ่นกระดาษออกมาวาง ตามด้วยการจับปากกาเขียนจดหมายหานักประดิษฐ์อัจฉริยะ เลพเพิร์ด เพื่อสอบถามว่าสิทธิบัตรจักรยานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ทำไมถึงยังไม่เสร็จเสียที และต้องการให้ช่วยหาทนายหรือไม่
หลังจากตั้งกฎเหล็กของนักมายากลสำเร็จ ความเร็วในการย่อยโอสถไคลน์ก็คืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด อีกไม่เกินสองเดือนก็คงย่อยเสร็จสมบูรณ์ ถึงตอนนั้น มันต้องรีบออมเงินเพื่อซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’
สำหรับหนึ่งในวัตถุดิบหลัก เดอะซันคงตอบแทนเดอะเวิร์ลหลังจากยืมใช้งานดวงตาดำล้วนเสร็จ แต่ไคลน์ก็ยังเหลือวัตถุดิบหลักอีกหนึ่งชนิดให้ต้องควักเงินซื้อด้วยตัวเอง
หากอ้างอิงตามราคาตลาด วัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 6 จะมีราคาสูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยปอนด์ต่อชิ้น แถมยังค่อนข้างผันผวนขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการ
นอกเหนือจากวัตถุดิบหลัก วัตถุดิบรองยังประกอบด้วยเลือดของนักล่าพันหน้า และเส้นผมของนากาทะเลลึก วัตถุทั้งสองชนิดนับว่ามีพลังวิญญาณเจือปนในปริมาณเข้มข้น ราคาจึงไม่เล็กน้อยเลยสักนิด
การออมเงินช่างยากลำบาก แต่การใช้จ่ายกลับง่ายดายเหมือนเททิ้ง… ต่อให้เราขายตะกอนพลังของมนุษย์หมาป่าและนักสอบสวนได้หลังจากนี้ ก็คงมิอาจใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้อยู่ดี…
ไคลน์รำพันพลางผนึกซองจดหมายและติดตราไปรษณียากร
มันทราบจำนวนทรัพย์สินในปัจจุบันของตนโดยไม่ต้องเสียเวลานั่งนับ
624 ปอนด์ในรูปแบบธนบัตร เหรียญหนึ่งทองปอนด์อีกห้าเหรียญ ธนบัตรเจ็ดซูลและเศษเหรียญเพนนีอีกจำนวนหนึ่ง
ใช่แล้ว เรายังจะมีรายได้อีกหกร้อยปอนด์จากมิสเมจิกเชี่ยนในการขายตะกอนพลังเจ้าพนักงานให้มิสซิล หวังว่าทั้งสองสาวจะหาเงินมาจ่ายได้ในเร็ววัน…
ไคลน์ให้กำลังใจพวกเธอจากก้นบึ้ง

“เธอกำลังจะบอกว่า ชุมนุมผู้วิเศษใหม่ล่าสุดมีวัตถุดิบหลักโอสถของเจ้าพนักงานทั้งสองชนิดขาย แถมราคายังสมเหตุสมผล โดยสองชิ้นรวมกันเพียงหกร้อยปอนด์?”
ดวงตาซิลพลันลุกวาวขณะรัวยิงคำถามใส่เพื่อนสนิทไม่หยุดพัก
เธอเพิ่งกลับจากเขตตะวันออกหลังจากพยายามหาว่ามีใครปองร้ายกับคาพินในระยะหลังบ้าง
“ถูกต้อง และเขายังเป็นคนดัง รับประกันเรื่องความถูกต้องได้แน่นอน ติดปัญหาตรง ชุมนุมนี้มีกฎระเบียบการเข้าร่วมเข้มงวดมาก ฉันคงยังพาเธอไปด้วยในได้ในช่วงนี้”
ฟอร์สเล่าความจริงทุกประการ
“เจ๋งเป้ง!” ซิลไม่เคลือบแคลงถ้อยคำเพื่อนสนิท เพียงเดินเข้าหาอีกฝ่ายสองก้าวพร้อมกับทำสีหน้าตื่นเต้น
ทว่า เพียงไม่นานก็กลับไปหดหู่
“แค่ฉันมีเงินไม่พอ…”
มุมปากฟอร์สเริ่มกระตุกเล็กๆ :
“แล้วตอนนี้เธอมีเท่าไร?”
“เมื่อรวมกับค่าจ้างของงานล่าสุดจำนวนสามสิบปอนด์ ฉันจะมีเงินออมทั้งหมดสามร้อยสิบปอนด์ ขาดอีกตั้งครึ่ง!” ซิลสางผมสีทองสั้นอันยุ่งเหยิง “ฉันขอคิดก่อน… อีกสามร้อยปอนด์สามารถหยิบยืมจากใครได้บ้าง… ธนาคารไม่มีวันปล่อยกู้ให้นักล่าค่าหัวอยู่แล้ว และเงินกู้นอกระบบก็มีดอกเบี้ยสูงเกินไป…
“หรือว่า… มิสออเดรย์?”
ซิลได้ยินว่าเพื่อนสนิทของตนเพิ่งซื้อสูตรโอสถนักตุกติกมาในราคาสี่ร้อยห้าสิบปอนด์ จึงไม่คิดจะยืมเงินจากหล่อน
“ทำไมพวกเราถึงได้ขัดสนนักนะ…” ฟอร์สรำพันห่อเหี่ยว “ช่วงนี้มิสออรเดย์แทบไม่ออกจากคฤหาสน์ คล้ายกับกำลังสนุกอยู่กับบางสิ่ง และการยืมเงินเธอก็ยังไม่ค่อยเหมาะสมนัก… บางที พวกเราควรเริ่มจากไวเคาต์กายลินก่อน แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ฉันจะช่วยออกเงินให้เธอซื้อวัตถุดิบหลักไปก่อน เพราะในปัจจุบัน ฉันยังเหลือเงินออมอยู่สี่ร้อยสิบปอนด์ นั่นคงพอจะช่วยเธอจ่ายได้”
ซิลกะพริบตาถี่พลางเปล่งเสียงตื่นเต้น
“ฟอร์ส ฉันคงหาเพื่อนสนิทคนใดดีกว่าเธอไม่ได้อีกแล้ว! ถ้าได้เป็นเจ้าพนักงานเมื่อไร ฉันจะทำเงินได้มากกว่าเดิมแน่!”
ฟอร์สอมยิ้มพลางส่ายหัว
“ถ้าซาบซึ้งขนาดนั้น วันนี้ช่วยทำความสะอาดแทนเวรของฉันได้ไหม? หืม?”

เมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริคตรงกลับบ้านทันทีหลังจากแวะไปเยี่ยมลานฝึกของเมือง
มันได้ถามผู้คุมแล้วว่า ทีมสำรวจชุดนี้จะถูกปล่อยจากการกักกันตอนไหน และคำตอบออกมาเป็น :
“เมื่อสายฟ้าสงบรอบถัดไป”
บนเก้าอี้หลังโต๊ะไม้โบราณ เดอร์ริคกำลังนั่งไตร่ตรองแผนการของตัวเองอย่างถี่ถ้วน มันยังจดจำคำของแฮงแมนได้แม่นยำ :
“ถ้าไม่มีชาวเมืองช่วยเป็นพยานให้ จงใช้คนของสภาอาวุโส ผู้ได้รับมอบหมายให้คอยสะกดรอยตามคุณทุกฝีก้าว ช่วยเป็นพยานในเหตุการณ์ดังกล่าวแทน”
แต่เราจะทราบได้ว่า ปัจจุบันกำลังถูกคนของสภาอาวุโสจับตามองอยู่… มิสเตอร์แฮงแมนอธิบายแผนการให้เราฟังอย่างฉะฉานก็จริง แต่เขาไม่ได้ระบุว่าต้องใช้วิธีใดตรวจสอบ…
คำถามมากมายกำลังถาโถมใส่เด็กหนุ่ม และมันก็ไม่สามารถหาคำตอบเองได้
แม้จะรู้สึกอับอาย ถ้าต้องรบกวนให้ตัวตนอย่างมิสเตอร์ฟูลช่วยตอบคำถามโง่เขลาเช่นนี้ แต่เพื่อความอยู่รอดของเมืองเงินพิสุทธิ์ เด็กหนุ่มกัดฟันบากหน้าซักถามตัวตนระดับเทพ
มันสวดภาวนาถึงเดอะฟูลด้วยเสียงแผ่ว พร้อมกับอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันอย่างคร่าว
เพียงไม่นาน เดอร์ริคได้เห็นภาพของเดอะฟูลท่ามกลางสายหมอกไร้จุดสิ้นสุด ตามด้วยคำตอบสั้นกระชับ :
“จงสัมผัสกับวัตถุในกล่องเหล็กโดยตรง แต่ห้ามนานกว่าสามวินาทีเด็ดขาด ก่อนจะสัมผัสให้เตรียมใจอย่างมั่นคง สิ่งสำคัญก็คือ พยายามมองหาเส้นด้ายสีดำให้พบ”
ง่ายแค่นี้เองหรือ?
เดอร์ริคแสดงความขอบคุณเดอะฟูลด้วยท่าทีนอบน้อมแกมคาดหวัง
เด็กหนุ่มรีบปรับท่าทางร่างกายเล็กน้อย พลางเลื่อนมือเข้าไปยังช่องลับของกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวนอก
หลังจากกำแพงวิญญาณสลายไป เดอร์ริคใช้ปลายนิ้วบรรจงเปิดกล่องและลูบคลำหาตำแหน่งวัตถุข้างในอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น ปลายนิ้วชนเข้ากับวัตถุเย็นเฉียบและน่าขยะแขยง ภาพการมองเห็นของเด็กหนุ่มพลันดำมืดกะทันหัน
สมองเริ่มวิงเวียนประหนึ่งถูกค้อนเหล็กทุบใส่ท้ายทอยเต็มแรง โสตประสาทถูกทะลุทะลวงด้วยเสียงคำรามมายาแสบแก้วหู
ร่างกายเดอร์ริคเกิดอาการชักกระตุก น้ำหูน้ำตาไหลเต็มใบหน้าเนื่องด้วยความเจ็บปวดฉับพลันซึ่งกำลังแล่นไปทั่วร่าง
มันเกือบลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ของตนคือสิ่งใด แต่โชคยังดี ภายในขอบเขตของสายตาเบื้องหน้า เดอร์ริคได้พบกับเส้นด้ายสีดำจำนวนมากกำลังลอยเข้าไปในห้วงมิติอันว่างเปล่า
ตรงมุมห้อง คล้ายกับเงาดำบริเวณนั้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิต!
เด็กหนุ่มรีบชักมือกลับอย่างลนลานราวกับสัมผัสโดนเหล็กร้อนโดยไม่ได้สวมเครื่องป้องกัน
เดอร์ริคล้มฟุบลงกับพื้นห้องและนอนชักกระตุกเป็นเวลานาน อากัปกิริยาคล้ายกับคนถูกฟ้าผ่ากลางศีรษะ ริมฝีปากอ้ากว้าง น้ำลายสีใสไหลหยดย้อยเป็นทางยาว
ใช้เวลานานเกือบนาทีกว่าจะกลับสู่ภาพปรกติได้ หลังจากคืนสติกลับมา เดอร์ริครีบปิดฝากล่องโลหะในช่องลับและผนึกกำแพงวิญญาณทับอีกชั้น
มันรีบจิบน้ำเพื่อคลายความตึงเครียด สำหรับวินาทีนี้ เด็กหนุ่มไม่เคลือบแคลงอีกแล้วว่าตนกำลังถูกจับตามองหรือไม่
จนกระทั่ง ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ประตูบ้านของเดอร์ริคมีเสียงคนเคาะ
“ใคร?” เด็กหนุ่มซักถามอย่างไม่คาดหวัง
เสียงยินดีปรีดาดังมาจากหลังประตู
“ฉันเองเพื่อน ดาร์กไง ตอนนี้ทีมสำรวจถูกปล่อยตัวจากการกักกันแล้ว นายอยากฟังไหม ว่าฉันได้พบเรื่องสุดยอดแบบไหนมาบ้าง?”
……………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด