ราชันเร้นลับ 926 : เมืองที่ดำดิ่ง
เริ่มใจร้อนขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดขนาดนั้น… ไคลน์ที่กำลังสวมมงกุฎสันตะปาปา ชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้ม และคทาเทพสมุทร ตรวจสอบสภาพปัจจุบันของตัวเองด้วยความระมัดระวังกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไพ่ทรราชสามารถระงับผลด้านลบของคทาเทพสมุทรได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็มิได้ถูกลบออกอย่างสมบูรณ์ไคลน์สงบอารมณ์ด้วยการเข้าฌาน จากนั้นก็หันไปมองกองขยะตรงมุมห้องการเดินทางของกรอซาย… อุปกรณ์ป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเราในตอนนี้ แถมยังมีวิธีใช้ประโยชน์ด้านอื่นที่ยอดเยี่ยม แต่ปัญหาคือ มันถูกสร้างเทพบรรพกาลอีกตนหนึ่ง ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล… ตามคำบอกเล่าของเดอะซันน้อย ราชามังกรตนนี้เคยเป็นพันธมิตรกับเจ้าของเมืองกัลเดรอน – ‘เทพมรณาบรรพกาล’ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี… ไม่มีใครรู้ว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ จะไปกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่จำเป็นหรือไม่… กันไว้ดีกว่าแก้…ในทำนองเดียวกับนกหวีดทองแดงของอะซิก มนุษย์กระดาษกลายพันธุ์ก็คงนำติดตัวไปไม่ได้เช่นกัน สิ่งนั้นมีเศษเสี้ยวมรณาเทียมหลงเหลือ… อาจช่วยสยบสิ่งมีชีวิตภายในเมืองกัลเดรอนได้ก็จริง แต่ก็มีอันตรายซ่อนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน…ตะกอนพลังของนักบวชแสง… สิ่งนี้สามารถสยบอันเดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นศัตรูโดยธรรมชาติกับชาวเมืองแห่งความตาย แต่มันยังเป็นแค่วัตถุดิบหลัก มิได้ถูกสร้างขึ้นในฐานะสมบัติวิเศษ การใช้งานจึงค่อนข้างจำกัด และผลกระทบด้านลบนั้นรุนแรงมาก คงไม่มีประโยชน์กับตัวเราในสภาพปัจจุบันมากนัก… นอกจากนั้น สายฟ้าเองก็สามารถ ‘ชำระล้าง’ เหล่าคนตายได้เช่นกัน เมื่อถือคทาเทพสมุทรและวาจาสมุทร เราก็ไม่จำเป็นต้องนำตะกอนพลังของนักบวชแสงติดตัวไปด้วย… ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์ค่อยๆ ตัดตัวเลือกที่เหลืออยู่ในกองเศษซากออกทีละหนึ่งในสภาพสวมถุงมือหนังมนุษย์ไว้ในมือซ้ายและถือคทาเทพสมุทร มันยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย เสกให้ไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ ลอยมาตกลงบนฝ่ามือถัดมา ไคลน์ที่กำลังสวมชุดสันตะปาปา ทำการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของร่างวิญญาณ เก็บซ่อนใบหน้าไว้ในเงาของมงกุฎมันค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มพลิ้วไหวแผ่วเบาไปตามแรงลม ขณะที่คทากระดูกกำลังส่องแสงพร่างพรายเพียงก้าวไปข้างหน้า ‘ทรราช’ ไคลน์ผ่าน ‘ประตูอัญเชิญ’ ออกจากแสงเทียน เข้าสู่โลกแห่งความจริงและพบว่าตนกำลังอยู่ในห้องน้ำที่ค่อนข้างกว้างหลังจากสอดยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ และลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ เข้าไปในร่างวิญญาณ มันเปิดประตูห้องน้ำและกลับไปยังห้องนั่งเล่น บังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเดินเข้ามาหยิบวาจาสมุทรครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ดึงปืนพกลางมรณะออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็ส่งให้กับ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มจับไหล่หุ่นเชิดสองตัวพร้อมกับอาศัยพลัง ‘นักท่องเที่ยว’ ตรงไปยังพิกัดทางวิญญาณที่มิสเมจิกเชี่ยนมอบให้การเดินทางค่อนข้างราบรื่น ออร่าของ ‘ทรราช’ ทำให้สัตว์วิญญาณกลัวที่จะเข้าใกล้ ไม่กล้าแม้แต่จะมองตรงๆ ผ่านไปไม่นานก็มาถึงจุดหมายฉากตรงหน้าไคลน์มิได้แตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของโลกวิญญาณ บล็อกสีสันที่ฉูดฉาดและสดใสกำลังทับซ้อน มีหมอกบางๆ แพร่กระจายไปทุกจุด ในส่วนลึกเข้าไปมีดวงตาหลายคู่กำลังมองกวาดไปมาผ้าคลุมที่ติดกับชุดสันตะปาปาพลิ้วไหวเล็กน้อย ไคลน์สำรวจสักพักก่อนจะสั่งให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซและ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เข้าไปในกลุ่มหมอกบางๆ ที่ดูธรรมดาทันใดนั้น ทัศนียภาพจากหุ่นเชิดทั้งสองพลันปรากฏสู่สายตาไคลน์อย่างแจ่มชัด ด้านในเป็นเมืองที่งดงามซึ่งมักถูกบรรยายไว้ในตำนานปรัมปราเมืองแห่งนี้แตกต่างจากปกติ มิได้สร้างเรียงขึ้นไปด้านบน แต่เป็นวังวนที่ค่อยๆ ขดตัวม้วนลงด้านล่างรอบหลุมมืด มอบความรู้สึกคล้ายกับอนุสาวรีย์บรรจุศพที่กลับหัวอาคารภายในมีหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดล้วนแปลกตา บางหลังสร้างขึ้นบนยอดเสาหินสีซีดสูงตระหง่าน บางหลังเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีประตูด้านบนหลังคา ไม่มีหน้าต่าง บางหลังสร้างลึกลงไปใต้ดิน มีป้ายหลุมศพเป็นทางเข้า บางหลังสร้างด้วยกระดูกสีขาว ทั้งยุ่งเหยิงและกระจัดกระจายยิ่งลึกลงไปมากเท่าใด บ้านเรือนก็ยิ่งมีสภาพดีเท่านั้น และยิ่งอยู่ด้านบนมากแค่ไหน สภาพบ้านเรือนก็ยิ่งเสื่อมโทรม พังพินาศไปตามกาลเวลาไคลน์หยุดหุ่นเชิดทั้งสองไว้บนขอบของเมือง ก้มลงมองสำรวจทุกสิ่ง แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่าสิ่งก่อสร้างด้านล่างหน้าตาเป็นเช่นไร ที่นั่นมีเพียงความมืดมิด คล้ายกับไม่ได้รับแสงสว่างมานับพันปีหลังจากตรวจสอบสักพัก ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเริ่มก้มศีรษะลงพลางเปล่งถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณเสียงแหบ“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย… ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา… ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”ทันทีที่กล่าวจบ ไคลน์ซึ่งอยู่ด้านนอกเมืองกัลเดรอนพลันได้ยินคำสวดวิงวอนมายาและพร่ามัว เป็นเสียงที่จงใจเปล่งให้แหบพร่า“เป็นคำสวดวิงวอนจากหุ่นเชิดเมื่อครู่…” ไคลน์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พึมพำกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว “หมายความว่ากัลเดรอนมิได้กีดขวางพลังของสายหมอก อย่างน้อยบริเวณชายขอบ… เราสามารถเข้าไปได้”แม้จะพูดเช่นนั้น แต่มันก็ไม่รีบร้อน เลือกจะใช้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ให้เข้าไปสำรวจแทน บังคับให้ยกแขนซ้ายพร้อมกับแบมือแสงมายาพลันสว่างวาบ จากนั้น แสงจุดหนึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของวงกลมที่ค่อยๆ ยุบเข้าด้านใน ก่อตัวเป็นบานประตูทองแดงในสภาพหน้าออกบานประตูค่อนข้างพร่ามัวและขาดความคมชัด พื้นผิวถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกลับนับไม่ถ้วน มอบความรู้สึกเงียบสงัดและลุ่มลึกที่ยากจะบรรยายท่ามกลางเสียงเปิดประตู บานประตูทองแดงลึกลับถูกดึงเข้ามาหาพร้อมกับเผยช่องว่างจากช่องว่างดังกล่าว ไคลน์เห็นความมืดสุดลึกล้ำท่ามกลางความมืด แสงสีซีดกำลังสั่นไหวในลักษณะม้วนขึ้นสลับกับพุ่งลง คล้ายกับสายน้ำที่ไหลผ่านค่ำคืนอับแสงสองฝั่งข้างทางเต็มไปด้วยเสาหินขนาดใหญ่ที่ไม่ชัดเจน ลักษณะคล้ายกับสิ่งก่อสร้างภายในเมืองกัลเดรอน แต่ดูสมจริงและหรูหรากว่าทันใดนั้น ดวงตาคู่ใสและใบหน้าที่ยากจะพรรณนาพลันโผล่ขึ้นพร้อมกับพยายามแทรกผ่านช่องว่างของบานประตูทองแดงดวงตาของไคลน์เจ็บแปลบเล็กๆ คล้ายกับถูกแทง จึงรีบบังคับให้หุ่นเชิดลูเธอร์ไวล์กำหมัดซ้ายแน่นโครม!ประตูมายาที่เต็มไปด้วยลวดลายลึกลับ ถูกผลักโดยพลังที่มองไม่เห็นจนปิดสนิทในคราวเดียว จนกระทั่งเลือนหายไปจากการมองเห็นของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซบานประตูที่แบ่งแยกชีวิตและความตาย บานประตูลึกลับที่เคยมีปลายทางเป็นโลกแห่งความตาย ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อใช้งานที่นี่ ด้านหลังประตูไม่ใช่โลกแห่งความตายอีกต่อไป แต่เป็นเขตพื้นที่หลักของเมืองกัลเดรอนส่วนที่ลึกที่สุดของหลุมดำ? ไคลน์ในสภาพสวมมงกุฎสันตะปาปา สวมชุดคลุมยาว และถือคทาเทพสมุทร พยักหน้าอย่างครุ่นคิดพิจารณาจากสิ่งนี้ พลังในขอบเขต ‘ความตาย’ จะเกิดความผันผวนเมื่อถูกใช้ในเมืองกัลเดรอนอาศัยข้อมูลดังกล่าว เป็นอีกครั้งที่ไคลน์บังคับให้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ยกแขนซ้ายขึ้นครึ่งซ้ายของหุ่นเชิดกลายเป็นภาพมายาทันที เปล่งแสงสีเขียวสว่างจนดูคล้ายกับจะกลายเป็นวิญญาณอาฆาตหรือภูตผีท่อนแขนของลูเธอร์ไวล์ไม่เชื่อฟังกฎแห่งความเป็นจริงอีกต่อไป แขนซ้ายของมันยืดออกไปเป็นทางยาว กึ่งกลางฝ่ามือปรากฏแสงสีขาวซีด เป็นใบหน้ามายาที่กำลังยื่นออกใบหน้าดังกล่าวอ้าปากค้างครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นลิ้นที่แหลมยาวเหมือนงู ปกคลุมไปด้วยขนสีขาวลิ้นดังกล่าวยืดยาวออกไปไกลมากอย่างไม่สมจริง คล้ายกับสามารถเจาะเข้าไปในร่างกายมนุษย์ได้โดยตรงและสูบวิญญาณออกมาเป็นอย่างที่คิด… พลัง ‘ทูตมรณา’ ของลูเธอร์ไวล์ที่ได้รับจากสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งความตาย เกิดการกลายพันธุ์… ไม่เพียงจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ยังสามารถดึงร่างวิญญาณจากระยะไกลและสูบเข้ามาได้โดยตรง… ขณะยืนอยู่หน้าทางเข้าเมืองกัลเดรอน ไคลน์บังคับให้พลเรือเอกขุมนรกสำแดงพลังพิเศษชนิดต่างๆ ในขอบเขต ‘ความตาย’ จนเริ่มเข้าใจความแตกต่างระหว่างภาวะปรกติกับการใช้ภายในกัลเดรอนจากบรรดาพลังทุกชนิด จุดร่วมหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ประสิทธิภาพของพลังล้วนแข็งแกร่งขึ้น!ถัดมา ไคลน์บังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซทดลองใช้แหวนบุปผาโลหิตและไม้เท้าวาจาสมุทร หาข้อสรุปทีละอย่างพลังในขอบเขตโชคชะตาไม่ได้รับผลกระทบ…การโจมตีด้วยสายฟ้าถูกสยบ… อ่อนแอลงมาก…ไม่สามารถบินสูงเกินไป…พลังลมเฉือน เสียงเพลง เกล็ดมายา สมดุลร่างกาย และเยื่อน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ …เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ไคลน์บังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซและ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เดินไปตามขั้นบันไดสีซีดตรงทางเข้า บรรจงลงไปทีละขั้น เข้าใกล้พื้นที่ชายขอบด้านในของเมืองกัลเดรอนที่อาคารเริ่มพังทลายห่างออกไปราวสองร้อยเมตร ไคลน์ยกมือขวาขึ้น กดใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงาของมงกุฎสันตะปาปาพลางเดินเข้าสู่สายหมอกพร้อมกับถือคทาเทพสมุทรหลังจากเวียนหัวเล็กน้อย ฉากตรงหน้าชายหนุ่มแปรเปลี่ยนกะทันหัน เป็นการเข้าสู่ ‘เมืองแห่งความตาย’ กัลเดรอนโดยสมบูรณ์ต่อสู้กับความฉุนเฉียวในใจสักพัก ไคลน์เปลี่ยนให้ถุงมือข้างซ้ายกลายเป็นสีเข้มร่างของวิญญาณมันเริ่มเลือนราง เปลี่ยนจากสีปรกติกลายเป็นสีเข้ม และจากสีเข้มกลายเป็นเงาดำ มีเพียงคทาเทพสมุทรในมือเท่านั้นที่ยังเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนหรือน้ำเงินหลังจากใช้พลัง ‘อำพรางร่างวิญญาณ’ และพลังการ ‘สยบ’ ของทรราชเพื่อสยบแสงสว่าง ไคลน์ลอยตรงเข้าไปในแนวเฉียง ผสานเป็นเนื้อเดียวกับเงาของซากอาคาร แอบตามหลังหุ่นเชิดทั้งสองอย่างลับๆ เริ่มการลาดตระเวนเบื้องต้นในเขตรอบนอกของกัลเดรอนผ่านไปสักพัก ไคลน์ค่อยๆ สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่นี่เงียบมาก!มันเงียบเกินไป ราวกับคนทั้งเมืองตายไปหมดแล้ว แม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่รอด!จากคำบอกเล่าของ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสและ ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรีย เกรจารี ต้นตระกูลฟีนิกซ์ ได้ถอนรากถอนโคนกัลเดรอนและโยนลงไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ ไม่อนุญาตให้ชาวเมืองออกไปไหน นานๆ ครั้งจะมีวิญญาณตนอื่นเข้ามาข้างในแต่ในปัจจุบัน ไม่เพียงจะไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตภายในเขตรอบนอกของเมือง แต่กระทั่งโครงกระดูก ศพ หรือเศษกระดูกที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรม ก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย!หัวใจไคลน์พลันเต้นแรง อาศัยการมองเห็นของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ และ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ ชายหนุ่มสำรวจรอบๆ ด้วยความระมัดระวังเป็นเท่าตัวระหว่างนั้น สายตา ‘ของมัน’ พลันกวาดไปบนต้นเสายักษ์สีซีดที่หักโค่น มองเห็นแผ่นจานทองคำขัดเงาด้านบนซากปรักหักพังของอาคารโบราณร่างหนึ่งกำลังสะท้อนบนพื้นผิวเรียบของแผ่นจาน แต่นั่นไม่ใช่ร่างของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ แต่เป็นตัวไคลน์ที่กำลังสวมมงกุฎสันตะปาปาและชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม!ภาพสะท้อนของไคลน์ดูมืดมนสุดขีด ใบหน้าขาวซีด ดวงตาอับแสง ประหนึ่งเสียชีวิตมานานแล้ว……………………………………………………..
คอมเม้นต์