ราชันเร้นลับ 921 : สุภาพไว้ก่อน
เมื่อกล่าวถึงความเข้าใจเกี่ยวกับเทพบรรพกาล ไคลน์มีความรู้ทัดเทียมผู้วิเศษลำดับสูงส่วนใหญ่ เพราะท้ายที่สุด เบื้องหลังของชายหนุ่มมีเมืองเงินพิสุทธิ์ที่รอดมาจากยุคสมัยที่สองคอยสนับสนุนด้านข้อมูลเกี่ยวกับตำนานโบราณเท่าที่มันทราบ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารีเป็นเทพธิดาบรรพกาลในขอบเขตของความตาย แต่หลังจากพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ลืมตาตื่นและไล่ทวงคืน ‘อำนาจ’ เกรจารีได้ถูกสร้างความเสียหายอย่างหนัก จนกระทั่งร่วงหล่นลงในช่วงปลายยุคสมัยที่สองอย่างไรก็ตาม อิทธิพลของเธอยังไม่ได้หายไปไหน ยังมีร่องรอยหลงเหลือจวบจนยุคสมัยปัจจุบัน อย่างน้อยก็ในฐานะผู้สร้างโลกแห่งความตาย!เมืองแห่งความตาย… วิญญาณนิรนาม… เทพธิดาบรรพกาล… ฟังดูอันตรายมาก… ไคลน์มองไปยังเครื่องรับโทรเลขที่อยู่ตรงหน้า ดำดิ่งไปกับความคิดของตนกุกกุกกุก! กระดาษมายาสีขาวถูกพ่นออกมาเพิ่ม“แต่นอกจากนั้น ข้าไม่ค่อยมั่นใจ… นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามีข้อเสนอแนะ ท่านอยากได้ยินไหม?”ถามได้ดี… ไคลน์สลัดความคิดพลางพยักหน้า“ว่ามา”เสียงของเครื่องรับโทรเลขเริ่มเบาลงและถี่ขึ้น ถ้อยคำหนึ่งบรรทัดของปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนกระดาษมายาสีขาว“เกี่ยวกับเมืองกัลเดรอน ท่านสามารถถาม ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรียได้โดยตรง”สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งพา ‘แสงแดง’ … ไคลน์พยักหน้ากับตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็ถาม“การเปิดหน้ากาก ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ จะทำให้เกิดอันตรายไหม?”“ไม่!” คำตอบที่แน่วแน่ปรากฏขึ้นในดวงตาไคลน์เยี่ยม… ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ“วันนี้พอแค่นี้”“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่และปราดเปรื่อง ภายในหนึ่งหนึ่งถึงสองนาทีข้างหน้า สายตาคู่หนึ่งจะจ้องมาทางนี้! อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน เฝ้ารอการเรียกหาครั้งถัดไปเสมอ ลาก่อน~” เสียงของเครื่องรับโทรเลขดังอย่างฉะฉานภายในอีกหนึ่งถึงสองนาที? แล้วทำไมถึงไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้? ไคลน์ออกท่าทางลนลาน คล้ายกับเห็นการนับถอยหลังของระเบิดเวลา มันรีบใช้วัสดุเดิมของแท่นบูชาที่ยังไม่ถูกเก็บกวาด ประกอบพิธีกรรมสังเวย โยนเครื่องรับโทรเลขเข้าไปยังมิติเหนือสายหมอกจัดการทั้งหมดเสร็จ หลังจากยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติรอบตัว ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดลูเธอร์ไวล์เดินฉากไปทางด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องมองโดยตรง จากนั้นก็ถอดหน้ากากสีเงินสว่างออกแสงสีซีดเข้มพลันสว่างวาบ แต่มิไม่ได้เจิดจ้าเท่ากับที่ไคลน์เคยเห็นขณะต่อสู้กับลูเธอร์ไวล์ครั้งล่าสุด แสงสว่างเพียงปกคลุมพื้นที่ขนาดเล็กโดยรอบ คล้ายกับเทียนไขที่ใกล้ดับมอดขณะเดียวกัน ความรู้สึกเย็นชาและมืดมนของสภาพแวดล้อมรอบๆ เลือนหายไปพร้อมกับเครื่องรับโทรเลขไร้สาย แปรเปลี่ยนเป็นบรรยากาศเจือความสยองขวัญอย่างคลุมเครือภาพดังกล่าวทำไคลน์นึกถึงสุสาน นึกถึงโลกแห่งความตายในตำนานผ่านไปไม่กี่วินาที เมื่อไม่พบความผิดปกติเพิ่มเติม มันสั่งให้หุ่นเชิดอีกตัวหนึ่ง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเดินไปหยุดหน้า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เพื่อสังเกตใบหน้าใต้หน้ากากอย่างระมัดระวังใบหน้าดังกล่าวแทบไม่มีเลือดเนื้อ ผิวหนังสีซีดแนบติดกับกระดูก โปร่งใสคล้ายผลึกแก้วภายใต้ ‘ผลึกแก้ว’ เงาโปร่งใสที่ยากจะอธิบายกำลังเวียนว่ายไปมาด้วยความเร็วสูง บางครั้งก็โผล่บนกะโหลกศีรษะ บางครั้งก็หดตัวลงในช่องว่างและโผล่บนฟันหากเป็นหนึ่งถึงสองเดือนก่อนสมัยที่เพิ่งเดินทางข้ามโลกได้ไม่นาน ไคลน์คงหวาดผวากับรูปลักษณ์ของพลเรือเอกขุมนรกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปัจจุบัน มันเคยเห็นการกลายพันธุ์มากมาย รวมไปถึงภาวะคลุ้มคลั่งของผู้วิเศษ รูปลักษณ์เพียงแค่นี้มิอาจทำให้จิตใจหวั่นไหวหลังจาก ‘วิจัย’ อย่างละเอียด ไคลน์เริ่มเข้าใจสภาพปัจจุบันของลูเธอร์ไวล์ทั้งหมดเกิดจากคุณสมบัติพิเศษของ ‘ผู้เฝ้าประตู’หลังจากกลายเป็นลำดับ 5 ผู้เฝ้าประตู ผู้วิเศษสามารถใช้บางส่วนร่างกายทำหน้าที่เหมือน ‘กรง’ โดยกรงดังกล่าวคือประตูที่เชื่อมกับ ‘โลกแห่งความตาย’ สามารถกักเก็บวิญญาณคนตายและวิญญาณเร่ร่อนได้จำนวนหนึ่ง ด้วยวิธีนี้ พวกมันจะได้รับพลังพิเศษหลากหลายชนิด มีตัวช่วยทรงพลังที่พร้อมรบตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องพกกองทัพอันเดดติดตัวไปไหนมาไหนให้สะดุดตาสิ่งนี้คือต้นตอของตำนานพื้นบ้านมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ‘วิญญาณอยู่ข้างหลังคุณ’ อันโด่งดัง‘ผู้เฝ้าประตู’ ยังมีอีกหนึ่งนิยามที่เป็นความหมายเก่าแก่นั่นคือการคอย ‘เฝ้า’ โลกแห่งความตายที่กักเก็บไว้ในร่าง ห้ามมิให้วิญญาณที่ถูกกักขังหลบหนี และสามารถใช้งานพวกมันเพื่อทำประโยชน์ สอดคล้องกับสัญลักษณ์ที่เป็นบานประตูมายาและหลังจาก ‘มรณาโบราณ’ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารีทำการเปิดโลกแห่งความตาย พระองค์ได้มอบเศษเสี้ยว ‘อำนาจ’ ในขอบเขตความตายให้กับผู้เฝ้าประตูทุกคน ส่งผลให้ผู้วิเศษในลำดับนี้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเหตุผลที่ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ต้องสวมหน้ากากไว้เสมอ เพราะมันทำการกักขังสิ่งมีชีวิตของโลกแห่งความตายที่ทรงพลัง ในแง่หนึ่ง สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ถูกมันใช้งาน แต่ในทางกลับกัน สิ่งดังกล่าวก็กัดกร่อนร่างกายอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนให้ลูเธอร์ไวล์กลายเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งคนตาย โดยในเวลาเดียวกัน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังคงเชื่อมต่อกับโลกแห่งความตายตลอดเวลา พยายามเปิดประตูเพื่อกลับไปที่นั่นนี่คือพลังที่เกิดจากการรวมความแข็งแกร่งของผู้เฝ้าประตูและอำนาจในขอบเขตความตายไว้ด้วยกัน ยิ่งสวมแหวนมรณาเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพ ลูเธอร์ไวล์สามารถขยายขนาด ‘ประตูของโลกแห่งความตาย’ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจนทิวลิปดำสามารถแล่นผ่านเข้าไปครึ่งคนครึ่งคนตาย… ไม่น่าแปลกใจที่ลูเธอร์ไวล์กล้าเข้าสู่โลกแห่งความตายโดยตรง มนุษย์ทั่วไปคงมิอาจอาศัยอยู่ในนั้นได้แม้แต่วินาทีเดียว… อา… สิ่งมีชีวิตจากโลกแห่งความตายที่มันกักขังไว้ ช่วยเปลี่ยนให้ร่างกายลูเธอร์ไวล์มีคุณสมบัติแบบเดียวกับวิญญาณ จึงสามารถดึงร่างวิญญาณของผู้อื่นออกจากร่างเนื้อได้โดยตรง เราเคยโดนกับตัวมาแล้ว… ทันใดนั้น ไคลน์บังคับให้พลเรือเอกขุมนรกสวมหน้ากากสีเงินสว่างกลับไปหน้ากากมีหน้าที่ปลอบวิญญาณ ช่วยให้สิ่งมีชีวิตจากโลกแห่งความตายในตัวลูเธอร์ไวล์อยู่ในภาวะสงบนิ่ง…เมื่อกระจ่าง ไคลน์หันเหความสนใจกลับไปยังแท่นบูชาอีกครั้งมันเตรียม ‘ติดต่อ’ กับเจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณสำหรับเรื่องนี้ ไคลน์มีสองตัวเลือก หนึ่งคือการประกอบพิธีกรรม ‘พันธสัญญาลับ’ และพิธีกรรม ‘สื่อวิญญาณ’ หลังจากพิจารณาสักพัก ไคลน์เลือกอย่างหลัง เนื่องจากพิธีกรรมพันธสัญญาลับจะต้องปลดปล่อยร่างวิญญาณให้เป็นอิสระเพื่อติดต่อกับสิ่งมีชีวิตปลายทาง จากนั้นก็ ‘รับ’ ความรู้ พลัง ความช่วยเหลือ หรือประสบการณ์ทางวิญญาณปริมาณหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความคิดและความลับของตนก็ต้องถูกเปิดเผยต่ออีกฝ่ายด้วยส่วนพิธีกรรมสื่อวิญญาณก็ยังมีสองประเภทให้เลือก หนึ่งคือการสื่อสารโดยตรง และสองคือพิธีกรรม ‘วิญญาณสถิต’ อย่างไรก็ตาม แสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณนั้นขึ้นชื่อในด้านความสูงส่ง หากร้องขอการสื่อสารโดยตรง ไคลน์ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะตอบสนอง ดังนั้น มันต้องเตรียมตัวเผื่อไว้ในกรณีที่อีกฝ่ายเลือกสนทนาแบบ ‘วิญญาณสถิต’ ถือเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจจุดเทียนสามเล่มเสร็จ มันหยดของเหลวจำพวกน้ำมันสกัดมินต์ ตามด้วยการหยิบ ‘กระดาษคน’ วางไว้บนแท่นบูชาเพื่อเป็นภาชนะของ ‘วิญญาณสถิต’ – หากไม่มีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน เป้าหมายของพิธีกรรม ‘วิญญาณสถิต’ จะกลายเป็นตนแทน เหมือนกับที่เดนิสทำกับ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า และเมื่อประกอบพิธีกรรมไปยัง ยังมีอีกสองสถานการณ์รออยู่ หนึ่งคือการที่ผู้ประกอบพิธีกรรมถูกครอบงำจนหมดสติ ถูกอีกฝ่ายควบคุมร่างเพื่อสนทนาถามตอบกับ ‘บุคคลที่สาม’ ส่วนแบบที่สอง ผู้ถูกครอบงำยังมีสติรู้ตัว โดยที่ผู้ครอบงำจะควบคุมบางส่วนของร่างกายเพื่อสนทนา ยกตัวอย่างเช่น การพูดด้วยปากหรือเขียนด้วยมือหลังจากไคลน์เตรียมพิธีกรรมขั้นต้นเสร็จในเวลาอันสั้น มันก้าวถอยหลังและเปิดปาก ท่องคาถาภาษาเฮอร์มิสโบราณ“ตัวข้า! ขอวิงวอนในนามของตัวข้า! ขอภาวนาการสื่อสารกับแสงสว่างแห่งโลกวิญญาณที่ไม่เคยจางหาย ศูนย์รวมของความรู้อันไร้ก้นบึ้ง ‘สีแดง’ ผู้ถือครองอำนาจและเจตจำนง…”ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างพิธีกรรมสื่อวิญญาณกับพิธีกรรมปรกติก็คือ ผู้ประกอบพิธีมิอาจสวดวิงวอนถึงเทพได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเทพธิดารัตติกาลหรือเทพปัญญาความรู้ แต่หากพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพถูกเอ่ยในพิธีกรรม จุดจบเดียวคงหนีไม่พ้นความล้มเหลวจากมุมมองของศาสตร์เร้นลับ สิ่งนี้หมายความว่า เจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณมิได้เข้าฝ่ายหรือเป็นข้ารับใช้ของเทพตนใดหลังจากร้องขอการสนทนากับวิญญาณธรรมชาติเสร็จ ไคลน์เห็นแสงเทียนสามดวงพลันขยายตัวอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวจนดูคล้ายกับบานประตูที่เปิดออกรอบแท่นบูชาถูกความเงียบงันและมืดมิดปกคลุมทันที ดวงตาที่ยากจะอธิบายกำลังมองมาจากทิศทางต่างๆ กันลมหนาวพัดกระโชก นอกจากเทียนสามเล่ม วัตถุทั้งหมดบนแท่นบูชาพลันลอยขึ้นไปในอากาศ จากบรรดาพวกมัน กระดาษคนค่อยๆ พยุงตัวยืนตรง ผิวกระดาษถูกย้อมด้วยสีแดงสว่างคมชัด ดูไม่เหมือนเลือดเลยสักนิด“สวัสดีครับ” ไคลน์นึกทบทวนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือศาสตร์เร้นลับบางเล่ม ตามด้วยการทักทายตามมารยาทที่ถูกต้องอากัปกิริยาของมันคล้ายกับกำลังเผชิญหน้าอาจารย์กระดาษคนสีแดงสว่างผงกศีรษะแผ่วเบา จากนั้นก็เปล่งเสียงมายาอันสง่างาม“สวัสดี”ค่อนข้างสุภาพ… เป็นอย่างที่คิด… พิธีกรรมสื่อวิญญาณกลายเป็นสถิตวิญญาณ โชคดีที่เตรียมตัวล่วงหน้า… หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ไคลน์กล่าวด้วยท่าทีจริงใจและให้เกียรติ“ท่านไอร์·โมเรีย ผมมีบางสิ่งอยากจะถาม”“เรียกไอร์·โมเรียเฉยๆ เถอะ… เชิญถาม” กระดาษคนที่ลอยอยู่ในอากาศ กล่าวกับไคลน์อย่างสุภาพยิ่งกว่า“ผมต้องการทราบข้อมูลของเมืองกัลเดรอน” ไคลน์ยังคงไม่เปลี่ยนทัศนคติ เพราะในจักรวรรดิแห่งอาหารมีคำกล่าวอันโด่งดังว่า: ไม่เคยมีใครตำหนิผู้ที่สุภาพเกินไปกระดาษคนสีแดงที่เกือบจะโปร่งใส ไตร่ตรองราวสองวินาทีและตอบ“ขอทราบจุดประสงค์ได้ไหม”ไคลน์ไม่ปิดบัง ตอบตรงไปตรงมา“ล่าหัวขโมยโลกวิญญาณ”ศีรษะของกระดาษคนขยับเล็กน้อย“นั่นก็จริง เป็นเรื่องง่ายที่จะหาหัวขโมยโลกวิญญาณในเมืองกัลเดรอน สำหรับสถานที่อื่น หัวขโมยโลกวิญญาณเปรียบดังหยดน้ำในทะเล แถมยังจำแนกได้ยากมาก แม้แต่ข้าก็พบพวกมันไม่บ่อยครั้ง แถมยังมิอาจล็อกเป้าได้เป็นเวลานาน… พวกมันจะอาศัยอย่างชุกชุมในพื้นที่หลักของกัลเดรอน มีเพียงจำนวนน้อยที่กระจัดกระจายรอบนอก ตราบใดที่เจ้าไม่พยายามสำรวจเข้าไปลึก อันตรายก็คงไม่มากนัก น่าเสียดาย ด้วยเหตุผลบางประการ ที่นั่นห้ามมิให้เจ็ดแสงพิสุทธิ์อย่างเราเข้าไป ไม่อย่างนั้น พวกเราอาจให้ความช่วยเหลือเจ้าได้”“ที่นั่นเคยเป็นอาณาจักรของเทพธิดาบรรพกาล เกรจารี?” ไคลน์ที่เริ่มวางใจ ซักถามเพื่อยืนยันกระดาษคนกล่าว“ถูกต้อง เทพมรณาโบราณหวังจะใช้ ‘เมืองแห่งความตาย’ ในการคืนชีพ แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ‘อำนาจ’ ถูกยึดครองไปโดยเทพมรณาของไบลัม… ทว่า นั่นยิ่งทำให้เมืองกัลเดรอนทวีความอันตราย เพราะสิ่งที่เทพธิดาบรรพกาลเตรียมการเอาไว้ เกิดกลายพันธุ์หลังจากแผนการล้มเหลว ส่วนจะกลายพันธุ์เป็นอะไรนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”งั้นหรือ… ไคลน์พยักหน้าเล็กๆ จากนั้นก็ยิงอีกหลายคำถามจากหลายแง่มุม จนกระทั่งได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ…บายัม ด้านนอกบ้านหลังที่ใกล้กับเขตท่าเรืออัลเจอร์และ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียากำลังรอให้คนข้างในรับประทานอาหารเย็นด้วยความอดทน………………………………………………….
คอมเม้นต์