ราชันเร้นลับ 912 : ต้นกำเนิดของ ‘ช่างฝีมือ’
ราชันเร้นลับ 912 : ต้นกำเนิดของ ‘ช่างฝีมือ’
แคทลียาเข้าใจความนัยของแฮงแมน หากปัญหาร้ายแรงเกินไป พวกตนสามารถบอกให้ ‘เดอะมูน’ ดึงเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดเข้ามาเอี่ยว ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้น ทั้งสองสามารถฉกฉวยโอกาสและสร้างผลประโยชน์ให้ฝ่ายตัวเองเธอยิ้มทันทีและกล่าวต่อ“ถ้าหากสถานการณ์ร้ายแรงขนาดนั้น แค่ให้มิสเตอร์เวิร์ลช่วยก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือ? เรื่องราวจะดูง่ายลงทันที”อัลเจอร์เงียบไปสองสามวินาที“ผมต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความสามารถในการสะสางปัญหาด้วยตัวเอง… นั่นคือตัวเลือกสุดท้าย”ได้ยินคำตอบดังกล่าว ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาเริ่มเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกันแฮงแมนให้ความสำคัญกับทัศนคติของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์มาก… เพราะอีกฝ่ายคือข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล? นอกจากนั้น วิธีคิดของเขายังสอดคล้องเรื่องขบขันในแวดวงการเมืองที่ได้รับความนิยมในเบ็คลันด์ ทรีอาร์ และตามเมืองใหญ่อื่นๆ … หลังจากพบปัญหาหรือทำงานพลาด ท่าทีตอบสนองแรกคือการปกปิดปัญหาให้มิดชิด พยายามหาทางออกด้วยวิธีอื่น ไม่ปล่อยให้ ‘หัวหน้า’ หรือ ‘ผู้ตรวจสอบ’ รู้เข้า…นั่นหมายความว่า แฮงแมนเคยหรืออาจกำลังอยู่ในองค์กรใหญ่ที่มีการจัดการเป็นระบบ อำนาจบริหารเป็นแบบขั้นบันได ส่งผลให้เคยชินกับระบบดังกล่าว… โบสถ์วายุสลาตัน? น่าจะไม่ใช่ นิสัยของเขาแตกต่างเกินไปที่จะแฝงตัวอยู่กับคนเหล่านั้น… กองเรือของราชาห้าห้วงสมุทร?ท่ามกลางกระแสความคิด นายพลโจรสลัดหญิงผลักแว่นตาหนาเตอะของตนบนสันจมูก ชักนำหัวข้อสนทนากลับเข้าประเด็น“มาคุยกันเรื่องของช่างฝีมือกันต่อ”คล้ายกับอัลเจอร์เตรียมบทพูดไว้แล้ว มันพรั่งพรูออกมาโดยไม่ต้องหยุดอ่านหรือติดขัด น้ำเสียงสุขุมนุ่มนวลปราศจากอาการเร่งรีบ“เนื่องจากไม่ต้องการให้ใครเข้าถึงช่างฝีมือ ครั้งหนึ่งผมเคยปกปิดตัวตนของเขาด้วยการจัดฉากให้เป็นบุคคลวงในของโบสถ์จักรกลไอน้ำ แต่น่าเสียดายที่หมอนั่นชื่นชอบไวน์ดังๆ เสพติดหญิงงามและความฟุ่มเฟือย ทำให้แอบรับงานจากผู้วิเศษนอกกฎหมายบ่อยครั้งเพื่อหาเงินมาปรนเปรอตัวเอง สุดท้ายก็ต้องทรยศโบสถ์จักรกลไอน้ำและซ่อนตัวอยู่ในบายัม… ในพักหลัง หมอนั่นเริ่มป่วยด้วยอาการประหลาดๆ และถูกเฝ้าจับตามองโดยใครบางคน แต่จากนั้นก็ถูกควบคุมโดยกลุ่มผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสาวกดวงจันทร์บรรพกาล อีกฝ่ายอ้างว่าจะช่วยมอบชีวิตใหม่ให้”แคทลียาฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาสีม่วงอ่อนหลังกระจกแว่นเผยให้เห็นถึงสมาธิรอจนกระทั่งแฮงแมนเล่าจบ เธอครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม“ช่างฝีมือไม่เคยขาดแคลนของวิเศษ และอาชีพนี้ย่อมผสมผสานจุดเด่นและจุดด้อยของสมบัติวิเศษหลายๆ ชิ้นได้เก่งกาจกว่าใคร ฝีมือย่อมทัดเทียมกับผู้วิเศษลำดับ 5… แล้วสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลใช้วิธีการใดเพื่อควบคุมเขาโดยไม่ทำอันตรายกับร่างกาย? มีครึ่งเทพเข้ามาเกี่ยวข้องรึเปล่า?”อัลเจอร์ส่ายศีรษะเชื่องช้า“ตอนนี้ยังไม่มีเงื่อนงำในประเด็นดังกล่าว แต่จากการเฝ้าสังเกตของผม ช่างฝีมือค่อนข้างสมัครใจที่จะร่วมมือกับอีกฝ่าย… ผมสงสัยว่านอกจากคำข่มขู่ ทางนั้นอาจมีสิ่งล่อใจที่ช่างฝีมือแพ้ทาง”อัลเจอร์ปฏิเสธอ้อมๆ ว่าเกี่ยวกับทฤษฎีที่มีครึ่งเทพเข้ามาเอี่ยว‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาพยักหน้ารับ“แล้วสาวกดวงจันทร์บรรพกาลพบช่างฝีมือได้ยังไง? จากคำอธิบายของคุณ ช่างฝีมือคนนี้จะทำธุรกิจกับคนที่คุ้นเคยและเชื่อถือได้เท่านั้น ไม่ชอบการขยายช่องทางธุรกิจ อาจกล่าวได้ว่ามีความระมัดระวังสูงเป็นพิเศษ”อัลเจอร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง“ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่พอจะมีข้อสันนิษฐานอยู่… เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยช่วยมิสเตอร์เวิร์ลขายตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าให้ช่างฝีมือคนดังกล่าว โอสถมนุษย์หมาป่าเป็นของเส้นทาง ‘มนุษย์กลายพันธุ์’ ไม่ว่าจะสูตรโอสถหรือตะกอนพลังล้วนถูกผูกขาดโดยโรงเรียนกุหลาบอย่างเข้มงวด มีการเล็ดลอดออกมาเพียงจำนวนน้อย”ในทำนองเดียวกัน บรรดาสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลจากทวีปใต้ส่วนใหญ่มีพื้นเพเป็นสมาชิกของโรงเรียนกุหลาบ… แคทลียาเสริมในใจ พอจะคาดเดาได้ว่าข้อสันนิษฐานของแฮงแมนเป็นอย่างไรมันสงสัยว่าตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าอาจเป็นต้นตอของปัญหา ช่างฝีมือจึงตกเป็นเป้าหมายของโรงเรียนกุหลาบ!และนั่นคงเป็นเหตุผลที่โรงเรียนกุหลาบสามารถผูกขาดสูตรโอสถและตะกอนพลังของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ได้อย่างรัดกุม‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาซักถามอีกสองสามคำ เมื่อรับได้คำตอบที่น่าพึงพอใจ เธอถามคำถามสุดท้าย“ช่างฝีมือชื่อว่าอะไร เป็นคนของอาณาจักรไหน?”“มาจากอินทิส เรียกตัวเองว่าชาฟฟ์” อัลเจอร์ตอบหน้านิ่ง“ชาฟฟ์…” แคทลียาขมวดคิ้วเล็กๆ พลางทวนชื่อ ‘ช่างฝีมือ’ ด้วยเสียงต่ำมีอะไรผิดปรกติหรือไง? ได้เห็นเช่นนั้น อัลเจอร์ถามตรงๆ“เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนหรือ?”ตามความเห็นของ อัลเจอร์ พลเรือเอกดวงดาวคือผู้มากประสบการณ์ เบื้องหลังลึกลับและทรงพลัง และยังเป็นผู้วิเศษที่ควบคุมตัวเองได้ดี ถ้าไม่ต้องการพูดถึงชายที่ชื่อ ‘ชาฟฟ์’ จริง ก็ไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าฉงนพร้อมกับทวนชื่อซ้ำ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้อัลเจอร์กล้าถามออกไปตรงๆแคทลียาเงียบไปสักพัก“บุตรชายคนโตของจักรพรรดิโรซายล์ชื่อชิเอล… ออกเสียงใกล้เคียงกับชื่อนี้มาก”ไม่รอให้แฮงแมนกล่าวสิ่งใด เธอพึมพำกับตัวเอง“ไม่นานหลังจากจักรพรรดิถูกลอบสังหาร องค์ชายเสียชีวิตจากความกลัวและวิตกกังวล ในภายหลัง ตระกูลเซารอนหวังจะแขวนคอและเนรเทศลูกหลานของเขา แต่โบสถ์จักรกลไอน้ำเลือกที่จะยอมรับพวกเขาในฐานะนักบวช”อัลเจอร์พยักหน้ารับ“คุณกำลังสงสัยว่าเขาคือทายาทของชายคนนั้น?”ไม่ว่าจะอินทิสหรือฟุซัค อาณาจักรส่วนใหญ่ของทวีปเหนือมักนำชื่อบรรพบุรุษหรือชื่อที่คล้ายกันมาตั้งเป็นชื่อตัวเอง คล้ายกับเป็นตัวแทนของมรดกแห่งความรุ่งโรจน์ ดังนั้น ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่ก็ยิ่งได้เห็นใครหลายคนตั้งชื่อว่า ‘xxx ที่สอง’ หรือ ‘ที่สาม’แน่นอน เป็นเรื่องปรกติอย่างมากที่มนุษย์จะมีชื่อซ้ำกัน แต่ในกรณีของช่างฝีมือชาฟฟ์นั้นมิได้ซ้ำแค่ชื่อ มันยังเคยเป็นคนของโบสถ์จักรกลไอน้ำ แถมมาจากอินทิส และเป็นถึงลำดับ ‘ช่างฝีมือ’เมื่อได้ยินคำถามของแฮงแมน ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาพยักหน้าแผ่วเบา“ถ้าได้ตัวอย่างเลือดของเขา ฉันสามารถยืนยันได้ทันที”อัลเจอร์เข้าใจถึงเหตุผล จึงเปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น“จะลงมือเลยไหม? ผมช่วยสนับสนุนได้”ผิวกระจกแว่นตาแคทลียาสะท้อนแสงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง“ยังก่อน ฉันวางแผนจะสังเกตรอบๆ อีกสักพัก… อย่างน้อยเราก็ต้องหาเหตุผลให้ได้ว่า สาวกของดวงจันทร์บรรพกาลควบคุมตัวช่างฝีมือที่ชื่อชาฟฟ์ไปทำไม… ถ้าพวกมันเพียงต้องการให้ช่างฝีมือสร้างสมบัติวิเศษ เรื่องราวก็จะง่ายและสะดวกสบายขึ้นมาก แต่ถ้ามีจุดประสงค์อื่น ปัญหาอาจซับซ้อนกว่าที่เราคิดไว้ จำเป็นต้องเตรียมการเพิ่มเติม”สมเป็น พลเรือเอกดวงดาว… อัลเจอร์พยักหน้ารับ“ผมไม่สามารถแช่อยู่ที่บายัมได้นานเกินไป ไม่อย่างนั้นอาจถูกสงสัย ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือจากผม คงต้องเร่งมือหน่อย”หลังจากได้รับการยืนยันจากอีกฝ่าย แฮงแมนลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อน ดึงเสื้อคลุมศีรษะขึ้นและออกจากห้องแคทลียาซึ่งได้ทราบแหล่งกบดานปัจจุบันของ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ ถอดแว่นหนาๆ ออกพลางขมวดคิ้ว ประมือหนึ่งครั้งและออกคำสั่ง“ฮีธ เข้ามา”ณ เงามืดตรงรอยแยกใต้กรอบประตู ความมืดเริ่มยุบพองตัวก่อนจะงอกขึ้นจากพื้น กลายเป็นบุคคลรูปร่างสูง ผิวขาวซีดจมูกโด่งมาก ผิวหน้าเกือบโปร่งใสคล้ายกับคนป่วย ไม่ใช่ใครนอกจากผู้ช่วยกัปตันของอนาคตกาล ‘นักบวชกุหลาบ’ ฮีธ·ดอยล์แคทลียามองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับพูดว่า“เรื่องก็เป็นแบบนี้… ฝากจัดการบนเรือด้วย”“ครับ กัปตัน” ฮีธ·ดอยล์หดกลับเข้าไปในเงามืดหลังจากขานรับสั้นๆแคทลียารีบยกมือขวาขึ้น ยกค้างไว้สองสามวินาทีก่อนจะกล่าว“…อยู่ห่างจากแฟรงก์ไว้หน่อยก็ดี การทดลองเห็ดของเขาไม่คืบหน้ามาสักพักแล้ว ฉันกังวลว่าเขากำลังผุดแนวคิดแปลกๆ”…“ตำแหน่งปัจจุบันของหุ่นเชิดตัวที่สองของเรา”ไคลน์ในสภาพถือกิ่งไม้สองกิ่งด้วยมือทั้งสองข้าง พยายามท่องประโยคทำนายอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่พบว่าพวกมันขยับเขยื้อนกล่าวอีกนัยหนึ่ง การทำนายล้มเหลว หรือไม่ก็ เมืองเครนไม่มีหุ่นเชิดตัวที่สองซึ่งเหมาะกับตนศาสตร์เร้นลับดูเหมือนจะไม่มีความคืบหน้าใหม่ๆ … สงสัยพรุ่งนี้คงต้องเก็บของและย้ายออก… ไคลน์พึมพำพลางโยนกิ่งไม้ลงถังขยะแม้หุ่นเชิดเอ็นโซที่ยืนอยู่ข้างๆ จะไม่กล้ามองหน้าเจ้านายตรงๆ ทำได้เพียงก้มมองดิน แต่ก็ยังชงชาดำอย่างชำนาญและยื่นให้ไคลน์เมื่อเทียบกับแต่ก่อน สีผิวของ ‘ผู้ชนะ’ รายนี้แดงขึ้นจากเดิมมากด้วยฤทธิ์ของแสงแดด เรียกได้ว่าเกือบจะลอกออก ทิ้งไว้อีกสักพักจะกลายเป็นผิวคล้ำเพื่อแปลงโฉมให้หุ่นเชิดตัวใหม่ เพื่อไม่ให้คนของโรงเรียนกุหลาบจดจำได้ ไคลน์พาสุภาพบุรุษรายนี้ ‘ท่องเที่ยว’ ไปยังทะเลในเขตที่มีแสงแดดจ้าและให้ยืนตากแดดเป็นเวลานานขณะเดียวกันก็บังคับให้หุ่นเชิดโกนขนตัวเอง เหลือไว้เพียงตอขนบางๆ นอกจากนั้นยังกันคิ้ว ทาแป้งบนใบหน้าให้เกิดเป็นเส้นแสงและเงา รวมถึงการสวมแว่นกันแดด เอ็นโซดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม้แต่เพื่อนที่สนิทสนมก็ยังยากจะมองออก เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะเป็นผู้ไร้หน้านอกจากจะปลอมตัวในความเป็นจริงแล้ว ไคลน์ยังคงใช้ศาสตร์เร้นลับเข้าช่วย วิธีแรกคือการใช้อ้อมกอดของเทวทูตกระดาษ วิธีที่สองคือการให้ถือนกหวีดทองแดงอะซิกนอกจากนั้น ไคลน์ยังยืนยันว่าพลังติดตัวของ ‘ผู้ชนะ’ ที่เกี่ยวกับ ‘ดวงดี’ และ ‘ฉิบหาย’ นั้นมิได้แสดงผล แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอยู่ในสถานะหุ่นเชิด หรือเป็นเพราะอิทธิพลของหมอกสีเทาจิบชาดำหนึ่งคำ ไคลน์ละสายตาจากแผนที่ไบลัมตะวันออกและตะวันตกที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟเบื้องหน้า ภายในใจวิเคราะห์ว่าตนจะหาหุ่นเชิดตัวที่สองได้จากที่ไหนบ้างทันใดนั้น สีสันรอบตัวมันพลันคมเข้มกะทันหัน คล้ายกับถูกจิตรกรวาดฉากรอบๆ ใหม่ด้วยหมึกจากนั้น บุคคลหนึ่งปรากฏกายข้างหุ่นเชิดเอ็นโซ อีกฝ่ายสวมหมวกผ้าไหม สวมสูทสีดำ ร่างกายสันทัดสมส่วน ผิวสีแทน ความตาลุ่มลึก ใบหน้าอ่อนโยน มีไฝเล็กๆ ใต้หูขวา ไม่ใช่ใครนอกจากอะซิก·อายเกสในที่สุดมิสเตอร์อะซิกก็มา… ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้น ก่อนจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายปรากฏตัวข้างๆ หุ่นเชิดภาพอันขบขันพลันผุดขึ้นในใจของชายหนุ่ม:มิสเตอร์อะซิกที่อาศัยนกหวีดทองแดงเพื่อระบุตำแหน่ง ยังคงทำเหมือนทุกครั้ง หลังจากเดินทางมาถึง ชายคนนั้นก็คว้าไหล่ผู้ที่ถือนกหวีดทองแดงและหายกลับเข้าไปในโลกวิญญาณ ส่วนไคลน์ทำได้แค่ยืนมอง พยายามเอื้อมมือออกไปหยุด แต่ก็ช้าไปครึ่งจังหวะเทียบกับครั้งก่อน อะซิกเงียบขรึมกว่าปรกติ มันจ้องไคลน์ที่กำลังสวมใบหน้าใหม่พลางกล่าว“คุณพร้อมหรือยัง?”
คอมเม้นต์