ราชันเร้นลับ 896 : การหยั่งเชิงของดาลีย์
ราชันเร้นลับ 896 : การหยั่งเชิงของดาลีย์
ออกไปซื้อพจนานุกรมตอนกลางคืน ท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย แถมยังมีรูปลักษณ์ของชาวอินทิส นี่มันอันตรายสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือ… ไม่มีทาง ไม่สามารถสวมถุงมือนี้ได้ตลอดเวลา… เดนิสตกตะลึงไปสองสามวินาที รีบยกมือขึ้น พยายามปลดถุงมือออกขณะกำลังถอด มันชะงักความเคลื่อนไหวกะทันหัน แหงนหน้ามองแอนเดอร์สันฝั่งตรงข้าม สำรวจถุงมือสีดำบนมือซ้ายของอีกฝ่าย ก่อนจะสวมถุงมือตัวเองกลับเข้าไปและยิ้มแห้ง“ฉันคิดว่า… ในสถานที่อันตรายอย่างทวีปใต้ ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ถึงจะต้องแลกมากับผลเสียสักเรื่องสองเรื่อง” เดนิสยิ้มจางๆ จนแทบมองไม่เห็นแอนเดอร์สันไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังคงถูคางของมันและกล่าว“แล้วนายคิดจะทำอะไรต่อ?”เดนิสชี้ไปทางบันได“ไปหาเจ้าของโรงแรมและยืมพจนานุกรมของมัน ฉันคิดว่ามันคงสอนให้ลูกๆ พูดตูทานเป็น”“เป็นไอเดียที่ดี แต่ถึงแม้จะมีพจนานุกรม นายก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาอันสั้น แค่การเรียนศัพท์พื้นฐานยังค่อนข้างยาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว ระบบภาษาของที่นี่แตกต่างจากภาษาทวีปเหนือ” แอนเดอร์สันเล่าต่อ “ฉันขอเสนออีกหนึ่งวิธี… กัปตันของนายน่าจะสอนพิธีกรรมในขอบเขตของ ‘เทพปัญญาความรู้’ มาแล้วใช่ไหม?”“ใช่” เดนิสพยักหน้าโดยไม่คิดเยอะแอนเดอร์สันปรบมือเบาๆ“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะพิธีกรรมใหม่ให้นาย… หากสวดวิงวอนต่อ ‘เทพปัญญาความรู้’ นายจะฟังและเขียนภาษาตูทานได้ภายในหนึ่งสัปดาห์”เดนิสส่ายหน้าโดยไม่ลังเล“ฉันเชื่อใน ‘เทพวายุสลาตัน’ ไม่ใช่ ‘เทพปัญญาความรู้’ การที่พิธีกรรมก่อนๆ ได้รับการตอบสนอง ทั้งหมดเป็นเพราะกัปตัน”กล่าวจบ มันมองหน้าแอนเดอร์สัน“แล้วนายล่ะ? ไม่ใช่ว่าเกิดในเซกัล เติบโตในลุนเบิร์ก และเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับกัปตันหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรเป็นสาวกของ ‘เทพปัญญาความรู้’ และสามารถประกอบพิธีกรรมดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ… ไม่ใช่รึไง?”แอนเดอร์สันส่ายหน้าพลางยิ้ม“สาวกทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่จะได้รับการตอบสนอง”มันครุ่นคิดสักพัก“วิธีที่ดีที่สุดคือการขอความช่วยเหลือจากนักบวชและบิชอปของศาสนจักรปัญญาความรู้ ให้พวกเขาช่วยสร้างคาถาที่เกี่ยวข้อง… อา ฉันจำได้แล้ว มีผู้เผยแผ่ศาสนาบางคนจากลุนเบิร์กอาศัยอยู่ที่ท่าเรือเบห์เรนส์ พรุ่งนี้ลองไปเยี่ยมดูไหม?”ขณะเดนิสเตรียมตอบว่า ‘ใช่’ แต่ทันใดนั้นพลันแสดงสีหน้าคลางแคลง“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า… นายกำลังบางแผนอะไรอยู่?”สีหน้าแอนเดอร์สันพลันแข็งทื่อ…บนเรือเหาะ ไคลน์คาดเข็มขัดนิรภัย ซุกตัวใต้ผ้าห่ม เอนหลังพิงพนักเก้าอี้และนอนหลับณ ปัจจุบัน กลางคืนด้านนอกหน้าต่างค่อนข้างมืด มีแสงสว่างประปรายไม่กี่จุดจากพื้นดิน ทิวทัศน์ดูเหมือนจะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ทั้งที่เรือเหาะแล่นด้วยความเร็วสูง มอบความรู้สึกสงบสุขผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์ตื่นขึ้นอย่างกะทันหันเป็นเพราะพก ‘ลางมรณะ’ ติดตัว มันจึงดื่มน้ำบ่อยมาก ถูกปลุกด้วยปัญหาด้านกระเพาะปัสสาวะหลายหนยกผ้าห่มขึ้น ปลดเข็มขัดนิรภัย ไคลน์นำมือปิดปากและหาว เดินออกไปนอกห้องพัก ตรงไปทางห้องน้ำมุมห้องโถงจัดการปัญหาส่วนตัวเสร็จ ชายหนุ่มล้างมือ หมุนตัวและเดินออกจากห้องน้ำ เตรียมกลับไปที่ห้องพัก ระหว่างทางมองเห็นคนคนหนึ่งบุคคลดังกล่าวยืนอยู่ในจุดที่มีแสงสลัว สวมเสื้อคลุมสีดำ ทาขอบตาและแก้มด้วยสีฟ้าอ่อน มองเผินๆ จะเหมือนกับผีที่ลอยออกจากห้องเก็บศพมาดามดาลีย์… ไคลน์รู้จักอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย เผยสีหน้าตกใจทันทีดาลีย์ขยับสองสามก้าว เงยหน้ามองดอน·ดันเตส ประสานสายตาสักพักก่อนยิ้มและพูด“สายตาและบุคลิกของคุณเหมือนเพื่อนคนหนึ่งของฉัน โดยเฉพาะดวงตา”ไคลน์แสร้งทำเป็นโล่งใจ ตอบด้วยรอยยิ้ม“มาดาม ถ้าเราสลับเพศกัน นี่คือเบสิกการจีบสาว”ดาลีย์ยังไม่ถอนสายตากลับ เพียง ‘หึหึ’ ในลำคอและกล่าว“ไม่เห็นต้องสลับเพศ… พฤติกรรมนี้เป็นของทุกคน ไม่จำกัดเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง… ถ้าเป็นโอกาสอื่น การที่ฉันเข้ามาพูดกับคุณแบบนี้คงมีเจตนาเพื่อล่อลวงคุณไปทำบางสิ่งจริงๆ … แต่ปัจจุบัน ฉันยังไม่มีอารมณ์นั้น ที่เข้ามาคุยก็เพราะดวงตาของคุณทำให้ฉันนึกถึงเขาจริงๆ”มาดามดาลีย์เป็นคนที่คุยด้วยยากชะมัด… จะปล่อยให้เธอเป็นฝ่ายชักนำบทสนทนาไม่ได้ ไม่อย่างนั้น มาดามดาลีย์อาจคิดว่าดอน·ดันเตสไม่ใช่เศรษฐีเจ้าเสน่ห์ แต่เป็นไก่อ่อนไร้ประสบการณ์ที่ทำตัวกระอักกระอ่วนต่อหน้าสาวงาม… ต้องเป็นฝ่ายชักนำหัวข้อสนทนาให้ได้… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ก่อนจะถามตรงๆ ด้วยท่าทางติดตลก“มาดาม คุณชอบเพื่อนคนนั้นใช่ไหม?”ดาลีย์ผงะหลายวินาที ก่อนจะเลิกคิ้ว ก้มศีรษะลงและยิ้ม“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง… คงดีกว่านี้ถ้าเขาเป็นเหมือนคุณ เป็นคนที่เปิดใจคุยกับผู้หญิงอย่างกล้าหาญ รู้จักสร้างบรรยากาศด้วยบทสนทนาที่โรแมนติก… ถ้าเป็นแบบนั้น เราคงมีลูกด้วยกันแล้ว… แต่น่าเสียดาย เขาเป็นคนหัวโบราณ บทสนทนาระหว่างเราจึงมีเพียงหัวข้อเกี่ยวกับงาน… หากพยายามชักนำบางสิ่งหรือพูดจาติดตลกเกินขอบเขต เขาจะแสดงความอึดอัดออกมาและหาข้ออ้างไปทำอย่างอื่น… เป็นคนหน้าแก่ แถมยังไม่ดูแลเส้นผมของตัวเอง ความจำก็ไม่ดี ลืมแม้กระทั่งวันเกิดตัวเอง… ยิ่งคิดถึงเขาฉันก็ยิ่งโมโห อยากจะผลักลงบนเตียงและมัดมือไว้หัวเตียง…”ไคลน์จ้องหน้าดาลีย์ด้วยสายตาบึ้งตึง ถอนหายใจและพูดขัดอีกฝ่าย“มาดาม คุณเล่ามากไปแล้ว”ดาลีย์เงยหน้า รอยยิ้มยังไม่จางหาย“ฉันคิดว่าคุณจะชอบเรื่องแบบนี้เสียอีก”ไคลน์ยิ้ม“ถ้าอย่างนั้น เรามาเปลี่ยนคำพูดเป็นการปฏิบัติจริงดูไหม? ผมสามารถบอกได้ว่า คุณไม่ใช่ผู้หญิงที่เก่งแต่พูด”ดาลีย์ ‘หึหึ’ และกล่าว“ลองเดาดูสิ”จากนั้น เธอพยักหน้า“ขอบคุณที่ไม่พูดว่าฉันกำลังคุกคามทางเพศ”กล่าวจบ เธอถอนสายตากลับ เดินกลับไปที่ห้องพักรับรองขนาดใหญ่ซึ่งมี ‘ถุงมือแดง’ รวมตัว ได้เห็นภาพดังกล่าว มุมปากของไคลน์กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าและเดินกลับไปยังห้องของตัวเองเมื่อถึงทางเข้าห้องพักรับรองขนาดใหญ่ ดาลีย์ซึ่งกำลังก้มมองพื้นห้องตรงหน้า พลันพบกับรองเท้าหนังที่ไม่มีสายคู่หนึ่งเมื่อเลื่อนสายตาขึ้น ภาพของเลียวนาร์ด·มิเชลเจ้าของเส้นผมสีดำและดวงตาสีเขียว สะท้อนอยู่บนกระจกตาของเธอเลียวนาร์ดเหลือบมองไปทางห้องพักที่ดอน·ดันเตสเดินเข้าไป ลดเสียงลงและพูด“เขาเต็มไปด้วยความลับ… ไม่ใช่คนธรรมดาแน่”ดาลีย์หัวเราะแผ่วเบาพร้อมกับพยักหน้า“ฉันรู้”กล่าวจบ เธอเดินผ่านเลียวนาร์ด·มิเชลเข้าไปในห้องพักรับรองขนาดใหญ่ผ่านไปไม่กี่ก้าว เธอลดความเร็ว ก้มศีรษะมองพื้นอีกครั้งเลียวนาร์ดยังคงยืนอยู่ที่ประตู เฝ้ามองเงามืดที่เกิดจากแสงสว่างด้านนอก ถอนหายใจเชื่องช้าและเงียบงันภายในห้องพักขนาดเล็ก ไคลน์ที่กำลังยืนพิงประตู ยกมือขวาขึ้นลูบขมับทั้งสองข้าง แน่นิ่งราวกับรูปปั้นเป็นเวลานาน…เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์เดอร์ริคนั่งบนเก้าอี้พลางกัดขนมปังที่อบด้วยผงหญ้าผิวดำ ภายในใจนึกทบทวนสิ่งที่ตนต้องทำแต่ยังไม่ได้ทำเราไม่ได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ ‘มารพิสดาร’ ที่มิสเตอร์เวิร์ลต้องการ… รวมถึงยังไม่มีคะแนนผลงานไปแลกตะกอนพลังลำดับ 5 ของแวมไพร์เทียม… เพื่อนยังมีแค่สามคน… ยังไม่พอ… เบาะแสของอนุสาวรีย์บรรจุศพอดีตเจ้าเมืองก็ยังมีไม่มากความคิดแล่นผ่านไปทีละหนึ่ง หลังจากเติมเต็มความหิว เดอร์ริคถอดเสื้อผ้าท่อนบน เปิดฝาภาชนะที่ทำจากหินขัด นำของเหลวหนืดๆ สีดำด้านในออกมาทารอยฟกช้ำทั้งหมดที่มองเห็นด้วยตาเปล่าแม้ว่าจะพืชที่กินได้รอบๆ เมืองเงินพิสุทธิ์จะมีเพียงหญ้าผิวดำ แต่พืชชนิดอื่นก็ยังมีอีกมาก เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด พืชเหล่านี้สามารถเพาะปลูกให้เติบโตในสภาพแวดล้อมปราศจากแสงแดด มีเพียงสายฟ้าและความมืด เป็นหนึ่งในธรรมเนียมของเมืองเงินพิสุทธิ์ที่จะจับคู่พืชกับอวัยวะของสัตว์ประหลาด นำมาผสมกันทำเป็นยาทาสรรพคุณต่างๆ สามารถรักษาอาการบาดเจ็บและโรคภัยได้ดี ช่วยให้ชาวเมืองไม่ตายไปด้วยปัญหาเล็กๆ น้อยๆทั้งหมดคือสูตรยาที่ลดความซับซ้อนลงจากกรรมวิธีการสร้างขี้ผึ้ง น้ำมันสกัด และยาวิเศษ ซึ่งเป็นความรู้ที่ ‘นักล่าปีศาจ’ ได้รับหลังจากดื่มโอสถเข้าไป ในภายหลัง ตัวยาง่ายๆ เหล่านี้ได้กลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวเมืองไปโดยปริยาย กลายเป็นสินค้าระดับล่างที่มีประโยชน์หลังจากทายา กลิ่นคาวเริ่มคละคลุ้งเล็กน้อย ขณะเดอร์ริคเตรียมใส่เสื้อ ทันใดนั้นมันก็ได้ยินเสียงเคาะประตูความตึงเครียดเข้าครอบงำในทันที เด็กหนุ่มเดินไปหยิบ ‘เทพสายฟ้าคำราม’ – ค้อนยักษ์สีน้ำเงินที่มีประกายไฟรายล้อม จากนั้นก็เดินไปทางประตูด้วยความระมัดระวัง เตรียมฆ่าสัตว์ประหลาดที่อาจโผล่ออกจากความมืด“ใคร?” เดอร์ริคถามเสียงเข้มเสียงหยาบกระด้างดังมาจากข้างนอก“วาเลีย”พร้อมกันนั้น แสงสว่างเริ่มส่องผ่านรอยแยกตรงประตูและหน้าต่างเข้ามาข้างใน นี่คือพลังของ ‘อัศวินรุ่งอรุณ’เดอร์ริคผ่อนคลายลงทันที จากนั้นก็เปิดประตู“วาเลีย ไม่ใช่ว่าคุณต้องไปเป็นผู้นำหน่วยลาดตระเวนหรือ?”วาเลีย เจ้าของความสูงสองเมตรกว่า คือเพื่อนใหม่ของเดอร์ริค ขณะเดียวกันยังเป็นเพื่อนที่เดอร์ริคประทับใจมากที่สุด เพราะไม่เพียงจะมีความแข็งแกร่งท่วมท้น แต่ยังคอยดูแลเพื่อนร่วมทีมเป็นอย่างดีนอกจากนั้น ทีมของวาเลียเพิ่งลาดตระเวนในเขตอนุสาวรีย์บรรจุศพอดีตเจ้าเมืองวาเลียมีผมสีน้ำตาลคล้ายเดอร์ริค มีเคราดกหนา กิจกรรมที่ชอบทำคือการต่อสู้ หลังจากได้ยินคำถาม มันตอบด้วยรอยยิ้ม“หกสภาอาวุโสเพิ่งสั่งให้ทีมของผมไม่ต้องลาดตระเวนในเขตที่ตั้งอนุสาวรีย์บรรจุศพจองอดีตเจ้าเมือง และเขตดังกล่าวก็เป็นจุดลาดตระเวนสุดท้ายของหน่วย… ไปกันเถอะ ไปที่ลานฝึก ออกกำลังกาย!”หกสภาอาวุโสจงใจบอกให้ทีมลาดตระเวนไม่ต้องสำรวจพื้นที่? พวกเขามีแผนจะเปิดประตูเข้าไปวันนี้? จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ… หวังว่าจะไม่ใช่แผนของอาวุโสโลเฟียร์… เดอร์ริคเผยสีหน้าประหลาดใจหลังจากเชื่อมต่อข้อมูล แต่ไม่รู้ว่าตนควรทำสิ่งใดขณะมันลังเลที่จะใส่เสื้อผ้าและออกไปข้างนอกเพื่อ ‘ออกกำลังกาย’ กับวาเลีย เงาดำค่อยๆ ยืดขึ้นจากความมืดบนถนน อ้าปากและกล่าวกับเด็กหนุ่ม“เดอร์ริค·เบเกอร์ ท่านเจ้าเมืองเรียกคุณไปพบที่หอคอย”
คอมเม้นต์