ราชันเร้นลับ 837 : ถูกแขวน
ราชันเร้นลับ 837 : ถูกแขวน
เมื่อแสงจันทร์สีแดงหรี่ลง ไคลน์ผุดความคิดหนึ่งในใจพระจันทร์สีแดงกำลังจะถูกหมอกปกคลุมอีกครั้ง!ขณะฉุกคิด ร่างเลือนรางด้านนอกที่กำลังเดินผ่านไปมา หายไปกับความว่างเปล่าประหนึ่งไอน้ำระเหย เสียงคำรามต่ำของสัตว์ป่าหยุดชะงักทันทีสภาพแวดล้อมกำลังจะกลับไปเป็นปรกติ… แม่มดสิ้นหวัง พานาเทียจะออกอาละวาดอีกครั้ง… มิสเตอร์ A ไม่จำเป็นต้องกังวลอันตรายจากภายนอก สามารถเปิดฉากกระหน่ำโจมตีใส่เหยื่อได้อย่างอิสระ… หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์ ไคลน์ตัดสินใจยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้ว เผาไหม้ใบไม้ที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรชายหนุ่มต้องการสร้างระยะห่างจากมิสเตอร์ A เพื่อหลีกเลี่ยงการป่วย ขณะเดียวกันก็เตรียมประเมินสถานการณ์ ตรวจสอบว่าควรเข้าไปเสี่ยงภายในวิหารหรือไม่สำหรับตัวปัญหาทั้งสอง ไคลน์มีแผนในใจแล้ว นั่นคือการใช้มิสเตอร์ A ดึงดูดความสนใจจากแม่มดพานาเทีย เพราะในสายตาของหล่อน คนเลี้ยงแกะและนักเชิดหุ่นแทบไม่ต่างกันในเชิงคุณอาหาร ขอเพียงอิ่มท้อง จับใครได้ง่ายกว่าก็เล็งคนนั้นหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันอย่างดุเดือด และไคลน์จะมองหาโอกาส ‘ซุ่มยิง’ พานาเทีย!ขณะเปลวไฟสีแดงลุกท่วมร่าง ไคลน์เห็นมิสเตอร์ A เปลี่ยนกลับไปเป็นเงาดำอีกครั้ง กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ มิอาจทราบได้ว่าซ่อนตัวอยู่ตรงไหนหนี… หมอนั่นหนีไปแล้ว… นี่ใช่มิสเตอร์ A ผู้เสียสติจริงหรือ? ทำไมถึงไม่ไล่ล่าเหยื่อ? ทำไมถึงเลือกที่จะหนี… ดวงตาไคลน์ชะงักเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มร่างกายชายหนุ่มหายไปพร้อมกับเปลวไฟ โผล่ขึ้นอีกครั้งในจุดห่างออกไปหลายสิบเมตรในวินาทีที่กระโจนออกจากเพลิง หน้าผากไคลน์ร้อนผ่าวทันที ปอดเริ่มติดขัด การหายใจทำได้ยากลำบากโรคระบาด!‘แม่มดสิ้นหวัง’ พานาเทียแพร่โรคระบาดอีกครั้ง!ในการมองเห็นของไคลน์ สตรีในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์กำลังเดินบนอากาศ ค่อยๆ ย่างกรายเข้าหาตนใต้ฝ่าเท้าพานาเทียมีด้ายบางๆ จำนวนมากซึ่งถักสานกันเป็นใยแมงมุม ใยเชื่อมต่อกับต้นไม้และบ้านเรือนโดยรอบ กินพื้นที่ราวครึ่งหนึ่งของถนนในดวงตาของแม่มดครึ่งเทพรายนี้ ความหิวกระหายบรรเทาลงจากตอนแรกมาก มิได้แดงก่ำเหมือนเมื่อครู่ เพียงจ้องมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยสีหน้าเย้ายวน คล้ายกับต้องการทำให้อีกฝ่ายค่อยๆ สิ้นหวังกับการดิ้นรนไปทีละนิด ลิ้มรสความเจ็บปวดจากก้นบึ้งหัวใจไคลน์ข่มอาการไอ รีบดีดนิ้วเพื่อเผาต้นไม้ที่อยู่ใกล้กับยอดวิหารให้ลุกโชนร่างกายชายหนุ่มมีเปลวไฟลุกท่วม ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วและโผล่อีกครั้งบนต้นไม้ดังกล่าวราวกับดอกไม้ไฟถัดมา ไคลน์กระโดดลงพื้น รีบกลิ้งไปทางวิหารเก่าแก่อย่างรวดเร็วทันใดนั้น มันพบว่าร่างกายของตนกำลังเย็บเฉียบ พร้อมกับเหลือบไปเห็นชั้นน้ำแข็งหนาที่ข้อเท้า ต้นขา เอว และท้อง อากาศโดยรอบหนาวลงกะทันหันไคลน์ขบกรามแน่น ข่มความตื่นตระหนกในใจ ลงมือตามแผนการที่วางไว้ล่วงหน้า เหยียดแขนออกอย่างใจเย็นและทาบลงบนผนังของวิหารยุบพองหิวโหยในมือซ้ายเปลี่ยนเป็นสีโปร่งใส!ไคลน์เดินผ่านกำแพงหนาสีดำอย่างเงียบงัน เข้ามายังด้านในวิหารที่มียอดแหลมในจุดเดิมที่เคยยืน ลูกบอลไฟสีดำพุ่งกระแทกกำแพง แต่ช้าไปครึ่งก้าว จึงระเบิดออกในลักษณะคลื่นน้ำกระเพื่อม แผดเผาน้ำแข็งและวัชพืชในบริเวณใกล้เคียงทันใดนั้น รอบๆ ยอดหอคอยแหลมของวิหารหลังเก่า อีกาบินที่บินวนไปมาอ้าปากกว้างและส่งเสียง“ก๊า!”“ก๊า!”“ก๊า!”พานาเทียชะงักทันที ทำได้เพียงมองตรงไปยังวิหารสีดำ สายตาเผยความหวาดกลัวเล็กๆ…ภายในวิหาร ไคลน์ที่เข้ามาทางกำแพงมองไม่เห็นอะไรเลย เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายในมืดยิ่งกว่าข้างนอก รอจนกระทั่งน้ำแข็งละลายและสายตาเริ่มปรับสภาพ จึงมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจนร่างจำนวนมากกำลังถูกแขวนอยู่ในอากาศทั้งหมดคือมนุษย์!บ้างสวมเสื้อคลุมสีดำทรงโบราณ บ้างสวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาล บ้างสวมกระโปรงฟูฟ่อง บ้างสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นประหนึ่งขอทานบ้างมีใบหน้าหยาบกร้าน บ้างร่างท้วม บ้างหล่อเหลา บ้างสง่างาม บ้างเป็นเด็กตัวเล็กน่ารัก แทบไม่มีใครเหมือนกันเลยไม่สิ ทุกคนมีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือการถูกปฏิบัติราวกับเนื้อตากแห้ง แขวนไว้จากที่สูงในสภาพโยกคลอนแผ่วเบา คอตก ดวงตาเหลือกขึ้นไคลน์เย็นวาบไปถึงหนังหัว ไม่เคลือบแคลงอีกแล้วว่า สิ่งที่พานาเทียและมิสเตอร์ A หวาดกลัวเป็นความจริงชายหนุ่มนำหลังพิงกำแพง เตรียม ‘เปิดประตู’ หนีทันทีที่พบอันตราย ยืนรอด้านนอกจนกว่าจะถูกแม่มดสิ้นหวังพบตัว จึงค่อยเปิดประตูกลับเข้ามาด้านในอีกครั้ง ทำซ้ำไปเรื่อยๆ เพื่อให้มีชีวิตรอดฟ้าว!ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาในวิหาร ส่งผลให้คนที่ถูกแขวนไว้ด้านบน หันหน้ามาทางไคลน์คล้ายกับปลอกคอคนเหล่านี้เชื่อมต่อกับเชือก ส่งผลให้คอพับลงมาไคลน์แทบหยุดหายใจ รีบกดฝ่ามือซ้ายลงบนผนังทันใดนั้น ร่างกายแต่ละคนเริ่มสั่นระริก ปากอ้ากว้างพร้อมกับเปล่งเสียง“โฮนาซิส… เฟรเกีย…”“โฮนาซิส… เฟรเกีย…”“โฮนาซิส… เฟรเกียร์…”เสียงเหล่านี้ดังซ้อนทับหลายชั้น เมื่อตั้งใจฟังรวมเป็นหนึ่ง ไคลน์เกิดความคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก!นี่คือเสียงที่ได้ยินในเกือบทุกการเลือนลำดับก่อนหน้า!ต้นตนมาจากที่นี่ หมู่บ้านแห่งสายหมอก จากศพที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศภายในวิหาร!ทันใดนั้น ไม่เพียงไคลน์จะชาไปทั้งหนังหัว แม้แต่ร่างกายก็ยังสั่นสะท้านหรือว่าหมู่บ้านสายหมอกจะตั้งอยู่บนยอดเขาโฮนาซิส? ประเทศรัตติกาลที่หายไป? นี่เราขึ้นเขามาจริงๆ? แล้วทำไมถึงต้องถูกแขวนในวิหาร… ทำไมการได้ยินเสียงตรงๆ ถึงไม่ทำให้เราวิงเวียนศีรษะหรือกระตุ้นให้เกิดภาวะคลุ้มคลั่ง? ไคลน์ซี้ดปาก กำปั้นคลายออกสลับกำแน่น ข่มความอยากที่จะ ‘เปิดประตู’ หนีออกไปข้างนอกในเมื่อเข้ามาที่นี่และได้เห็นต้นตอของเสียงเพรียก ชายหนุ่มเชื่อว่าการหนีไม่ใช่ทางออกไม่ว่าอย่างไร เราต้องสำรวจหาเบาะแสรอบๆ ก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้สักทีว่าทำไมร่างกายเราถึงผิดปรกติ!หลังจากใช้เหรียญทองทำนายด้วยการถามพลังวิญญาณตัวเอง ไคลน์กระทบกรามเพื่อเปิดเนตรวิญญาณ แหงนมองไปยังศพที่ถูกแขวนกลางอากาศ พบว่าทั้งหมดถูกควบคุมด้วยพลังวิญญาณ สีออร่าอาจดูธรรมดา แต่ให้ความรู้สึกด้านชาสีออร่าแบบนี้… พวกเขายังไม่ตาย? ไคลน์ขมวดคิ้วชนกัน ตัดสินใจปิดเนตรวิญญาณถัดมา ชายหนุ่มใช้หัวแม่มือซ้ายกดข้อต่อแรกของนิ้วชี้ เตรียมเปิดเนตรด้ายวิญญาณเมื่อมองไปรอบๆ รูม่านตาไคลน์พลันขยายตัว เนื่องจากร่างที่กำลังโงนเงนด้านบนมี ‘ด้ายวิญญาณ’ ที่พิเศษมากด้ายมายาสีดำของทุกคนยื่นออกจากร่างกายในทิศทางเดียวกันทั้งหมด นั่นคือจุดสูงสุดของยอดวิหาร ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่คนเดียว!ในสายตาไคลน์ ทั้งหมดราวกับเป็นศพที่ถูกแขวนไว้ด้วยด้ายวิญญาณ!ก่อนที่ไคลน์จะพบคำตอบว่าฉากนี้หมายถึงสิ่งใด หางตาชำเลืองเห็นฉากหนึ่งด้ายวิญญาณของตนค่อยๆ ลอยขึ้นไปยังยอดวิหารด้วยตัวเอง ตรงไปยังจุดเดียวกับศพที่ถูกแขวน!นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริง ที่ไคลน์เคยเห็นด้ายวิญญาณขยับด้วยตัวเอง!ลักษณะคล้ายโลหะที่ถูกแม่เหล็กดูด ด้ายวิญญาณลอยขึ้นอย่างมิอาจควบคุม เส้นที่เร็วที่สุดลอยไปถึงเป้าหมายแล้ว!ไคลน์ไม่อยากจินตนาการถึงชะตากรรมของตัวเองเมื่อด้ายวิญญาณทั้งหมดรวมตัวในจุดดังกล่าว เชื่อว่าคงไม่แคล้วกลายเป็น ‘เนื้อตากแห้ง’ ที่แขวนในอากาศและเอาแต่ส่งเสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’สำหรับผู้วิเศษเส้นทางอื่น ทางรอดเดียวคือการรีบหนีออกจากวิหาร แข่งกับเวลาก่อนที่ด้ายวิญญาณจะถูกแขวนโดยสมบูรณ์ แต่สำหรับไคลน์นั้นค่อนข้างพิเศษ มันคือนักเชิดหุ่น สามารถควบคุมด้ายวิญญาณของตนได้โดยตรง บรรจงดึงพวกมันกลับมาทีละเส้นผ่านไปเกือบสามสิบวินาที ในที่สุดไคลน์ก็เก็บกลับมาหมด แต่ด้ายวิญญาณยังคงถูกดูดขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ต้องคอยเพ่งสมาธิเพื่อดึงกลับตลอดเวลานี่คือหนึ่งในอันตรายภายในวิหาร? ไคลน์หน้าใจออกเชื่องช้า เลิกพิงผนัง ตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในวิหารกลางอากาศเหนือศีรษะ ศพเหล่านั้นหันหน้าเล็กน้อย ราวกับกำลังจ้องมองมาทางชายหนุ่มหลังจากเดินตรงไปได้ยี่สิบถึงสามสิบเมตร ในที่สุดไคลน์ก็มองเห็นบางสิ่ง เป็นแทนบูชาสีดำของวิหารเหนือแท่นบูชามีรูปปั้นหินแกะสลักตั้งเด่นตระหง่านเดินไปได้สักพัก ไคลน์มองเห็นใบหน้าของรูปปั้นชัดเจนรูปร่างโดยรวมคล้ายมนุษย์เพศหญิง แต่มีขาสัตว์สองคู่งอกออกจากซี่โครงและเอว แต่ละข้างปกคลุมด้วยขนสัตว์สั้นๆ สีดำ ลักษณะค่อนข้างหน้าและแข็งนอกจากนั้น รอบๆ รูปปั้นหินยังมีริบบิ้นสีดำ ดูคล้ายกับหนวดรยางค์ที่ยื่นยาวออกมาฐานรูปปั้นหินมีวิญญาณกำลังหลับใหล ดูคล้ายกับรายล้อมด้วยมวลหมู่ดวงดาวไคลน์เงยหน้ามองส่วนศีรษะของรูปปั้น พบกับใบหน้าอันงดงามนี่มัน… ดวงตาไคลน์พลันแข็งทื่อมันไม่มีทางลืมใบหน้านี้เด็ดขาด เพราะอีกฝ่ายคือคนที่ ‘ส่ง’ ตนมาที่นี่!ใบหน้าของรูปปั้นหินเหมือนกับเทวทูต ‘นักลบ’ หลังประตูยานิสของวิหารนักบุญแซมมวลทุกประการ!ท่านเกี่ยวข้องกับที่นี่… นั่นสินะ ในเมื่อเป็นคนส่งมนุษย์มายังหมู่บ้านแห่งนี้ ถ้าไม่เกี่ยวข้องเลยคงจะแปลกกว่า… ถ้าอย่างนั้น ท่านเกี่ยวข้องอย่างไรกับประเทศรัตติกาลบนเทือกเขาโฮนาซิสในยุคสมัยที่สี่? มารดาแห่งผืนนภา? ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมท่านถึงต้องทำงานให้กับศาสนจักร? นอกจากนั้น รูปลักษณ์เช่นนี้คล้ายคลึงกับหมาป่าอสูรที่เดอะซันน้อยบรรยายให้ฟัง… คำถามมากมายผุดขึ้นในใจไคลน์ระหว่างนั้น ชายหนุ่มกวาดสายตาไปทางอื่น หวังจะได้พบเบาะแสที่มีค่าไม่กี่วินาทีถัดมา ไคลน์ได้พบกับร่างหนึ่ง มิได้ถูกแขวนไว้กลางอากาศ แต่กำลังนั่งหันหลังให้รูปปั้น
คอมเม้นต์