ราชันเร้นลับ 835 : ผ่านไปผ่านมา
ราชันเร้นลับ 835 : ผ่านไปผ่านมา
หลังจากรีบเข้ามาในบ้านและปิดประตู ไคลน์พบว่าผ้าม่านหน้าต่างถูกปิดมิดชิด มีเพียงแสงจันทร์สีแดงที่ลอดผ่านเข้ามาได้อย่างเลือนรางชายหนุ่มไม่สนใจสำรวจเพิ่มเติม เมื่อหันไปเห็นเก้าอี้ไม้ จึงเดินไปนั่งและส่งตัวเองเข้าฌาน ระงับความผิดปรกติของร่างกายที่เกิดขึ้นจนถึงเมื่อครู่ต้องไม่ลืมว่า เมื่อครู่เพิ่งได้เผชิญหน้ากับร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ แถมยังเป็นระดับนักบุญ มีหรือที่จะรอดกลับมาง่ายๆ โดยไม่ได้รับผลข้างเคียงใดเลย? ที่นี่ไม่ใช่มิติเหนือสายหมอกที่มีพลังฟื้นฟูสักหน่อย!จริงอยู่ ไคลน์มีความต้านทานค่อนข้างสูง จึงตั้งสติได้เร็วและรอดพ้นจากอาการคลุ้มคลั่ง แต่ไม่ได้แปลว่าปัญหาซ่อนเร้นทั้งหมดจะได้รับการแก้ไขชายหนุ่มนั่งนิ่ง อาศัยการเข้าฌานต่อสู้กับคลื่นความคิดอันบ้าคลั่งที่หลั่งไหล ระหว่างนี้ ไคลน์ได้ยินเสียงกระดูกโหนกแก้มลั่น มองเห็นเส้นผมสีดำของตนงอกยาวอย่างมิอาจควบคุม หน้าอกยื่นออกมาพร้อมเสื้อผ้า ผิวหนังกลายเป็นตุ่มเนื้อเม็ดเล็กๆผ่านไปเกือบสามสิบวินาที ในที่สุดไคลน์ก็ถอนหายใจผ่อนคลายชายหนุ่มขจัดผลข้างเคียงจากร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ของพานาเทียออกอย่างหมดจด นอกจากนั้นยังได้รับความรู้เพิ่มเติมเล็กน้อย นั่นก็คือ พลังพิเศษของอีกฝ่ายมี ‘ความสิ้นหวัง’ เป็นแกนหลัง เก่งกาจในการสร้างและแพร่เชื้อโรคอิทธิพลจากการได้เห็นร่างสัตว์ในตำนาน ไม่เพียงจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง แต่ยังมอบข้อมูลของลำดับอีกฝ่าย… เราเคยเกือบถูกเทพสุริยันบรรพกาลย่างสด และเมื่อครู่ก็เกือบต้องกลายเป็นแม่มด… ไคลน์ก้มมองร่างกายตัวเอง ยืนยันว่าผิวหนังและหน้าอกกลับคืนสู่สภาพเดิมหากไม่ได้ ‘ผู้ไร้หน้า’ ถ้าไม่นับเรื่องหน้าอกที่ยื่นออกมา ปัญหาอื่นๆ ไคลน์ต้องแก้ไขด้วยพลังจากภายนอกโดยไม่มัวตัดพ้อหรือวิเคราะห์นานนัก ไคลน์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องไปยังผ้าม่านสีเข้มที่ปิดสนิท พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบันสีหน้าชายหนุ่มแปรเปลี่ยนกะทันหัน เนื่องจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากถนนด้านนอก!ในวินาทีนี้ ไคลน์พบว่านอกจากตัวมันและ ‘ท่านหญิงสิ้นหวัง’ พานาเทีย หมู่บ้านร้างแห่งนี้มีประชากรเพิ่มขึ้นกะทันหัน แต่ละคนออกมาเดินตามท้องถนน บ้างทักทายกันและกัน สนทนาเกี่ยวกับขนมปังที่ซื้อ หากหรูหราหน่อยก็คุยเรื่องเนื้อวัวหนักหนึ่งปอนด์หมู่บ้านสายหมอกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด!อย่างไรก็ตาม ร่างดังกล่าวมิได้พยายามเข้าไปในบ้านริมถนนทั้งสองฝั่ง มีเพียงเดินสวนกันไปมา พร้อมกับส่งเสียงที่ยากจะให้เชื่อว่าเป็นคำพูด แต่ใกล้เคียงกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายไคลน์จินตนาการฉากด้านนอกไม่ออก ทราบเพียงว่าแม้แต่แม่มดระดับครึ่งเทพก็ยังต้องซ่อนตัวจากมันชายหนุ่มถอนสายตากลับ ครุ่นคิดสองสามวินาที พึมพำกับตัวเองเงียบงันเราออกไปไม่ได้… แต่ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้เช่นกัน… ไม่มีทางรู้เลยว่าดวงจันทร์สีแดงจะถูกหมอกบดบังอีกตอนไหน หากรอให้เกิดขึ้น พานาเทียก็จะกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และเราที่อยู่ใกล้กับหล่อนมากก็จะหมดสิทธิ์หนี!แต่จะย้ายตำแหน่งยังไงถ้าไม่ออกไป?ท่ามกลางความเงียบ ไคลน์ค่อยๆ หมุนตัวไปทางวิหารสีดำที่มียอดแหลมอ้างอิงจากคำพูดของ ‘ท่านหญิงสิ้นหวัง’ พานาเทีย วิหารดังกล่าวคือจุดเดียวที่เธอยังไม่ได้สำรวจ และไม่กล้าจะสำรวจ อาจมีเพียงการเข้าไปหลบในวิหารเท่านั้น จึงจะหนีพ้นจาก ‘การล่า’ ของเธอแน่นอน พานาเทียซึ่งเป็นแม่มัด อาจไม่ได้เล่าความจริง แต่ไคลน์ก็เชื่อว่า อีกฝ่ายไม่น่าจะเสียเวลาโกหก เพราะในสายตาหล่อน ตนคือเหยื่อ เป็นได้เพียงอาหารที่รอถูกกินนอกจากนั้น พานาเทียยังพยายามหว่านล้อมด้วยคำพูดและเสน่ห์ ออกแบบกับดักอย่างละเอียดเพื่อจับเหยื่อ พิจารณาจากความมั่นใจในตัวเองของครึ่งเทพ เธอไม่มีความจำเป็นต้องโกหกเหยื่อที่กำลังจะตาย การเล่าความจริงคือสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุดเว้นแต่สภาวะกึ่งเสียสติจะทำให้เธอโกหกจนเป็นนิสัย ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ปัจจัยด้านอื่นก็คงไม่มีปัญหา… ไคลน์ที่มีทางเลือกไม่มากนัก ตัดสินใจอย่างรวดเร็วชายหนุ่มลดมือซ้ายลง เปลี่ยนให้ยุบพองหิวโหยกลายเป็นสีโปร่งใสแม้จะทราบว่าพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ไม่มีประโยชน์ที่นี่ แต่ไคลน์ก็ยังแอบหวัง เพราะปัจจุบันเป็นช่วงเวลาจันทร์แดงกระจ่าง ไม่ถูกสายหมอกบดบัง กลมดิกราวกับถาดเงิน ในกรณีที่คล้ายคลึงกัน มิสเตอร์ประตูเคยส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือมายังโสตประสาทลูกหลานทุกคนในคืนจันทร์เต็มดวงผ่านช่องทางพิเศษ ดังนั้น การแสดงผลของ ‘ท่องเที่ยว’ อาจไม่ล้มเหลวเสียทีเดียวร่างของไคลน์เลือนหายไป แต่ไม่กี่วินาทีถัดมา มันโผล่ในจุดเดิม“เราเข้าสู่โลกวิญญาณไม่ได้ กระทั่งการมีอยู่ของมันก็สัมผัสไม่ถึง… สำหรับพลังพิเศษชนิดนี้ การ ‘ท่องเที่ยว’ เป็นเพียงส่วนเดียวจากทั้งหมดสามส่วน ยังสามารถใช้ล่องหนสั้นๆ ได้ด้วย” ไคลน์พึมพำกับตัวเอง สรุปประสบการณ์และบทเรียนในใจ ก่อนจะผุดข้อสงสัยใหม่ “ถ้าอย่างนั้น ร่างล่องหนมิได้เป็นผลจากโลกวิญญาณหรอกหรือ? ทำไมเราถึงยังหายตัวได้?”ไคลน์ครุ่นคิดราวสิบวินาที คาดเดาบางสิ่งอย่างคลุมเครือมนุษย์ทุกคนต้องเชื่อมโยงกับโลกวิญญาณ เพราะวิญญาณดาราของทุกคนอยู่ที่นั่น… ช่วยให้รับข้อมูลในเชิงนามธรรมได้ทุกประเภท และเป็นเหตุผลว่าทำไม พลังทำนายถึงได้รับวิวรณ์ตอบกลับมาดังนั้น เมื่อตัวเราถูกเปลี่ยนให้อยู่ในสถานะ ‘ถูกปกปิด’ การวิญญาณดาราของเราจึง ‘ถูกปกปิด’ ไปด้วย?นี่คือเหตุผลว่าทำไมโลกวิญญาณยังคงให้ยืมพลัง ‘ล่องหน’ แต่ไม่ยอมให้เราเข้าไป เพราะวิญญาณดาราของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของสภาพถูกปกปิด! อา… ลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิท ในตอนที่เราใช้ ‘กระโจนไฟ’ มันออกมาประสบความสำเร็จ ทั้งที่พลังนี้ก็ต้องพึ่งพาโลกวิญญาณเช่นกัน…เมื่อเริ่มมั่นใจ ไคลน์ยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว พยายามจุดเทียนไขที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งในบ้านหลังข้างเคียงชายหนุ่มต้องการใช้กระโจนเพลิงเพื่อค่อยๆ ขยับไปในบ้านหลังติดกัน จนกระทั่งถึงวิหาร รอให้ดวงจันทร์สีแดงถูกหมอกปกคลุม จึงค่อยวิเคราะห์สถานการณ์ว่าควรจะเสี่ยงซ่อนตัวด้านในหรือไม่ผ่านไปสักพัก เชิงเทียนในบ้านหลังถัดไปมีไฟสีส้มลุกโชน มอบแสงสว่างแก่สภาพแวดล้อมโดยรอบทันใดนั้น ถนนด้านนอกพลันเงียบสงัดเสียงคำรามคล้ายสัตว์ร้ายเงียบลงทันที!สิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่กำลังเดินไปมาบนถนน คล้ายกับพยายามหันไปมองเปลวไฟเทียนไข พยายามเพ่งมองผ่านบานประตูหรือหน้าต่าง!เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผากไคลน์ ทำเอาไม่กล้า ‘กระโจน’ ข้ามไป สัญชาตญาณบอกให้รีบดีดนิ้วอีกครั้ง ดับเทียนไขเล่มดังกล่าวลงหลังจากเงียบงันไปอีกสักพัก เสียงพูดคุยดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงเท้าที่ย่ำเดินไปมาเมื่อไคลน์มั่นใจว่าปลอดภัย ชายหนุ่มยกมือขวาปาดเหงื่อออกจากหน้าผากชายหนุ่มพบว่า หลังจากเข้าไปในหมู่บ้านสายหมอก ตนทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่รู้ตัวหลายครั้ง ไม่แม้กระทั่งทำนายยืนยันว่าการจุดเทียนในบ้านหลังข้างๆ อันตรายหรือไม่!สัมผัสวิญญาณควรกระตุ้นเตือนเรา แต่มันกลับไม่… ดูเหมือนว่า หลังจากพลังของมิติหมอกถูกปิดกั้น สัมผัสวิญญาณและลางสังหรณ์ของเราไม่ถูกยกระดับ กลายเป็นนักเชิดหุ่นที่เก่งกว่าปรกติเล็กน้อย ห่างไกลจากความแข็งแกร่งแบบสุดโต่ง… และนั่นคงเป็นเหตุผลที่เราถูกพานาเทียล่อลวงให้มองบาดแผลด้วยพลัง ‘กระตุ้น’ โดยเชื่อไปเองว่า การมองผ่านดวงตาของหุ่นเชิดไม่น่าจะก่อปัญหาร้ายแรง… ไคลน์ไม่มีเวลามัวทบทวนความผิดพลาด สมาธิไตร่ตรองเกี่ยวกับวิธีเข้าใกล้วิหารยอดแหลมหลังจากตรวจสอบตัวเอง พลังพิเศษ และสมบัติวิเศษทีละชิ้น ชายหนุ่มฉุกคิดบางสิ่งได้สิ่งนี้คือพลัง ‘เปิดประตู’ ของเส้นทางผู้ฝึกหัด ที่ไคลน์คิดว่าไร้ประโยชน์มาตลอด!ภายใต้สถานการณ์ปรกติ พลังนี้ห่วยกว่า ‘ท่องเที่ยว’ ในทุกด้าน แต่สำหรับหมู่บ้านสายหมอกที่ลึกลับและพิสดาร มันมีประโยชน์มากเนื่องจากพึ่งพาเพียงธรรมชาติของโลกวิญญาณ ไม่ต้องใช้วิญญาณดาราเพื่อระบุตำแหน่ง!ไคลน์ไม่รีบร้อนลงมือ หยิบเหรียญทองที่เซนอลเคยอาศัยออกมาถือ อาศัยการถามจากพลังวิญญาณของตัวเอง ได้รับคำตอบว่าตนควร ‘ทะลุผ่านกำแพง’ ออกไปและในเมื่อมิอาจทำนายเพื่อรับวิวรณ์จากโลกวิญญาณ ไคลน์มีแต่ต้องเชื่อใจคำตอบจากพลังวิญญาณของตน ตัดสินใจเดินไปยังกำแพงที่บ้านสองหลังใช้ร่วมกัน ทาบฝ่ามือลงไปไคลน์ทะลุผ่านกำแพงหินอย่างเงียบงัน ตรงเข้าไปในบ้านหลังข้างเคียงชายหนุ่มเดินต่อไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีนี้ จนกระทั่งถึงหลังสุดท้าย และจากแผนที่ในความทรงจำ ไคลน์เชื่อว่าตนอยู่ใกล้วิหารเต็มที กระโจนไฟอีกเพียงสองครั้งก็น่าจะถึงในเวลาเดียวกัน แสงจันทร์สีแดงเข้มด้านนอกยังไม่บรรเทาลง ร่างเลือนรางด้านนอกยังคงเดินผ่านไปผ่านมาตามปรกติเนื่องจากไม่มีอะไรให้ทำ ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้ใกล้กับหน้าต่าง จุดดังกล่าวเป็นมุมอับที่ปกคลุมด้วยเงาสีดำเข้มข้นจนถึงตอนนี้ มันเพิ่งมีเวลาพักหายใจหายคอ นึกทบทวนรายละเอียดขณะเผชิญหน้ากับแม่มดพานาเทียไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หล่อนคือฆาตกรที่สร้างโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ผู้คนหลายหมื่นต้องตายไปเพราะเธอ และอีกมากที่ต้องทุกข์ทรมานจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก…เฒ่าโคห์เลอร์พยายามดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด… มาดามไลฟ์พยายามเลี้ยงบุตรสาวทั้งสองอย่างยากลำบาก… ไคลน์หลับตาลง ยกศีรษะพร้อมกับสูดลมหายใจชายหนุ่มข่มโทสะที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันอย่างใจเย็นน่าเสียดาย เราไม่ได้ให้เซนอลสวมแหวน ‘บุปผาโลหิต’ ไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นคงพอจะยื้อได้อีกสักนิด… แต่ก็ไม่มีทางเลือก ในเมื่อเราต้องให้เซนอลสิงร่างตัวเองเพื่อดำเนินแผน การสวมแหวนที่มีพลังของ ‘นักบวชกุหลาบ’ ผ่านเข้าประตูยานิส คงไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย…ปัจจุบัน สมบัติวิเศษที่เราสามารถใช้งานได้มีเพียงยุบพองหิวโหย ประกอบไปด้วยพลังซอมบี้ บารอนแห่งความเน่าเปื่อย ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย และนักท่องเที่ยว…อา… คงต้องลองติดต่อกับมิติหมอกในตอนที่พระจันทร์สีแดงกำลังกระจ่าง…ไม่สำเร็จ…อีกหนึ่งเรื่องที่ยืนยันได้ก็คือ ต่อให้มีหุ่นเชิดคั่นกลาง แต่เราก็ยังคงได้รับอิทธิพลจากเสน่ห์และแรงเย้ายวนจากแม่มด…ในเมื่อพานาเทียสามารถแพร่โรคได้เป็นวงกว้าง แล้วทำไมไม่แอบโจมตีเราอย่างลับๆ? ทำไมต้องโน้มน้าวให้เราดูร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์จนเกิดคลุ้มคลั่งและเปิดเผยตำแหน่ง?อา… เธอทำได้แน่ โศกนาฏกรรมมหาหมอกควันคือเครื่องพิสูจน์… มีสองคำอธิบายในเรื่องนี้ ข้อแรก เป็นเพราะเราถูกเทวทูตตนดังกล่าว ‘ส่ง’ เข้ามา พานาเทียจึงมองว่าเราไม่ธรรมดา การแพร่โรคอาจถูกตรวจพบได้ง่าย.. ข้อที่สอง เธอหวาดกลัวบางสิ่ง จึงไม่กล้าแพร่โรคเป็นวงกว้าง… ถ้าเป็นอย่างหลัง แปลว่าที่นี่ยังมีอันตรายอื่นซ่อนอยู่…ขณะไคลน์ใช้ความคิด สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้น ความหนาวเย็นแล่นไปถึงแผ่นหลังในพริบตาแทบจะในเวลาเดียวกัน มันเห็นเงาดำที่ปกคลุมร่างกายและสภาพแวดล้อมของตน ค่อยๆ ไหลซึมเข้ามาตามรูจมูกและปาก!
คอมเม้นต์