ราชันเร้นลับ 810 : วิหารของใคร
บางส่วนของวิหาร… ตรงกับที่เราคิด… ไคลน์มองไปยังซากปรักหักพังด้านหน้า พึมพำสองสามคำในตอนนี้ ดวงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องผ่านกลุ่มหมอก กำลังฉาบไปทั่วซากอาคารโบราณ เทียบกับในตอนแรก สีแดงของแสงจันทร์เข้มขึ้นมาก ดูราวกับเป็นเลือดสดไคลน์รักษามาดเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ กล่าวเสียงเรียบ“คุณเคยสำรวจตรงไหนบ้าง”ขณะพูด ไคลน์เหลือบมองตะเกียงในมือแฮงแมนที่ยังรอดมาถึงตอนนี้แม้จะผ่านอะไรมามาก แสงสะท้อนจากเปลวไฟทำให้กล้ามเนื้อชายหนุ่มหดเกร็งโดยไม่รู้ตัวแม้ว่าไฟจะถูกคั่นด้วยกระจกหนาและโครงเหล็ก แต่ก็มากพอจะทำให้มันหวาดกลัวอัลเจอร์มิได้ใส่ใจกับการท่าทีผิดปรกติของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยกมือขวาข้างที่ถือมีดสั้น ชี้ไปทางอาคารขนาดใหญ่ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดด้านใน“ตรงนั้น”ปัจจุบันเหลือเพียงโครงหลักของอาคาร จึงแทบเดาไม่ออกว่าหน้าตาเดิมเป็นอย่างไร พิจารณาจากส่วนที่เหลือ สามารถยืนยันได้แค่ว่าผนังหนา วิจิตรงดงาม หน้าต่างแคบ และครั้งหนึ่งเคยมีหอคอยสูงและหอนาฬิกา รูปลักษณ์เก่าแก่เรียบง่าย“สถาปัตยกรรมแบบนี้เคยได้รับความนิยมในช่วงต้นของยุคสมัยที่สี่ จากบันทึกของโบสถ์วายุสลาตัน ทางศาสนจักรเคยสร้างวิหารที่คล้ายคลึงกันมาก่อนในอดีต รวมถึงโบสถ์หลักแห่งอื่นในยุคเดียวกัน” อัลเจอร์ประทับใจกับซากปรักหักพังแห่งนี้มาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์และปูมหลังอย่างชัดเจน “จุดเด่นคือการมีวิหารอยู่ด้านบนและสุสานอยู่ด้านล่าง อาศัยหลักการชีวิตและความตายรวมเป็นหนึ่ง แต่ผมไม่มั่นใจว่าการตกแต่งภายในของวิหารเก่าหลังนี้จะตรงตามคำอธิบายหรือไม่ เพราะยังไม่เคยสำรวจเข้าไปลึก”บางที ที่นี่อาจเป็นสถาปัตยกรรมจากยุคสมัยที่สาม… ไคลน์คาดเดาพลางเดินไปทางซากอาคารที่สูงผิดปกติ เมื่อลองนำตะเกียงไว้ด้านหลัง ชายหนุ่มสามารถเพลิดเพลินไปกับแสงสว่างโดยไม่ต้องเห็นเปลวไฟทั้งสองเดินขึ้นบันไดหินสีเทาขาวจนกระทั่งถึงทางเข้า พบเสาหินเก่าแก่และโดมหลังคนที่โค้งเข้าหาจุดศูนย์กลางไคลน์ไม่รีบร้อนเข้าไป นำมือซ้ายล้วงกระเป๋า หยิบเหรียญทองออกมาพลิกเล่นระหว่างนิ้ว พึมพำบางสิ่งในปากทันใดนั้น มันดีดเหรียญทองเสียงดัง แบมือและหันไปถามแฮงแมน“อะไรที่ทำให้คุณเชื่อว่า วิหารแห่งนี้ซ่อนสมบัติซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่าไพ่เย้ยเทพ?”กล่าวจบ มันมองเหรียญทองที่ตกลงบนฝ่ามือ ก่อนจะเก็บกลับอัลเจอร์ชี้เข้าไปด้านใน“อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นผมยังแข็งแกร่งไม่เท่าคีลิงเกอร์ ประสาทสัมผัสในการตรวจสอบไม่เฉียบแหลมเท่าหมอนั่น ไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายเห็นอะไร ทำได้เพียงเดาจากคำพูดในทำนองว่า ภายในนั้นมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ และต้องมีลำดับไม่ต่ำกว่า 5 ในการสำรวจ… ส่วนสมบัติจะเป็นอะไรขั้น ผมเชื่อว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังใกล้กับทางเข้า รวมถึงร่องรอยบนพื้น อาจตอบคำถามบางอย่างได้”ไคลน์พยักหน้า เดินผ่านทางเข้าที่แสงจันทร์สีแดงส่องไม่ถึง เสื้อกันลมสีดำบนร่างกายพัดกระพือแผ่วเบา ส่วนอัลเจอร์ถือตะเกียงและมีดสั้นเดินตามผ่านทางเข้าประตู ไคลน์อาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากช่องว่างบนหลังคาโดม มองเห็นห้องโถงลึกด้านหน้า รวมถึงเสาหินเก่าแก่ที่เหลือเพียงครึ่งท่อนสุดปลายทางไม่ใช่แท่นบูชา ไม่มีบันไดพาขึ้นไปชั้นบน มีเพียงความดำมืดที่ยากจะหาคำตอบ อาจเป็นทางที่นำไปสู่ชั้นใต้ดินไม่ใช่โครงสร้างแบบวิหารด้านบน หลุมศพด้านล่าง… แต่ทั้งวิหารและสุสานล้วนอยู่ใต้ดิน? อย่าเพิ่งด่วนสรุป ต้องลงไปดูให้แน่ใจ… ไคลน์เหลียวซ้ายแลขวาตามสัญชาตญาณ พบประตูด้านข้างฝั่งละหนึ่งบาน แต่ข้างในถูกซากวิหารถล่มลงมาปิด ไม่สามารถใช้การได้ภาพจิตรกรรมฝาผนังและร่องรอยบนพื้นใกล้กับทางเข้า… ชายหนุ่มทบทวนคำพูดของแฮงแมน เดินเฉียงหน้าสองก้าวและปล่อย ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลในสภาพล่องหน อาศัยเนตรมองกลางคืน พิจารณาภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เหลืออยู่บนผนังพื้นหลังของจิตรกรรมฝาผนังเป็นภูเขางดงาม ด้านบนสุดมีไม้กางเขนขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยแสงระยิบระยับด้านหน้าไม้กางเขน กลุ่มคนรูปร่างแปลกตากำลังยืนเด่นสง่า ประกอบด้วยเทวทูตสองปีก สี่ปีก และหกปีกนี่มัน… เพียงไคลน์ชำเลืองเห็น ความรู้สึกคุ้นเคยผุดขึ้นในใจทันทีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่คล้ายคลึงกัน มันเคยเห็นในอนุสาวรีย์บรรจุศพของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!เพ่งสายตาอีกครั้ง ไคลน์พบความแตกต่างอย่างรวดเร็ว ไม่มีทารกสองคนที่เป็นตัวแทนของอามุนด์และอาดัม ไม่มีเทวทูตสิบสองปีก บุคคลสง่างามซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ด้านหน้ากางเขน กำลังยกมือทั้งสองข้างระดับอก ถือแผ่นศิลาเรียบง่ายแปลกตาแผ่นศิลาถูกวาดอย่างคลุมเครือ แต่ก็มอบความรู้สึกเก่าแก่และร่วมสมัย ศักดิ์สิทธิ์และความชั่วร้าย ขัดแย้งในตัวเองเป็นอย่างยิ่งแผ่นศิลา… รูม่านตาไคลน์ขยายขนาด ชื่อที่สอดคล้องแล่นเข้ามาในหัวศิลาเย้ยเทพ!นี่คงเป็นเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ… นึกแล้วเชียว ‘ศิลาเย้ยเทพ’ เกี่ยวข้องกับท่านจริงๆ … แต่ไม่รู้ว่าเป็นศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกหรือแผ่นที่สอง… ไคลน์เริ่มเข้าใจผิวเผินว่าวิหารแห่งนี้เป็นของใคร ขณะเดียวกันก็เริ่มเชื่อว่า อาจมีสิ่งล้ำค่าและสำคัญซ่อนอยู่ในส่วนลึกของซากปรักหักพังชายหนุ่มบังคับให้เซนอลถอนสายตากลับ นำ ‘หุ่นเชิด’ ก้มมองที่พื้นทางเดินนอกจากรอยแตกบนแผ่นหิน ยังมีรอยแปลกๆ สีแดงเข้ม ขนาดใกล้เคียงหน้าผากมนุษย์ เรียงรายเป็นทางยาวจนสุดโถงทางเดินไคลน์จินตนาการฉากหนึ่งขึ้นในใจสาวกเคร่งศาสนากำลังหมอบกราบบนพื้น ค่อยๆ คลานไปข้างหน้า และนำหน้าผากโขกพื้นจนเลือดออกเมื่อสังเกตเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถอนสายตากลับ ไม่สำรวจต่อ อัลเจอร์ถามด้วยความลังเล“เทพสุริยันบรรพกาล?”ขณะเดียวกัน มันรู้สึกคล้ายกับมีลมหนาวพัดมาจากด้านข้างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สงสัยว่าอาจมีเงาดำหรือวิญญาณอาฆาตซ่อนอยู่ในละแวกใกล้เคียงแต่พอนึกถึงการเหตุการณ์ที่ลิงบาบูนกลายพันธุ์ถูกควบคุมร่างด้วยวิธีการแปลกประหลาด อัลเจอร์พอจะคาดเดาบางสิ่ง แต่ไม่ได้พูดออกมาได้ยินคำถามจากแฮงแมน ไคลน์อยากหัวเราะและตอบกลับไปว่า “หรืออีกชื่อหนึ่งคือ พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง” แต่เมื่อพบว่าน้ำเสียงและถ้อยคำใกล้เคียงกับเดอะฟูลมากเกินไป ไม่คล้ายกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงหักห้ามใจตัวเองและทำเพียงพยักหน้า“เดาได้ไม่ยาก”อัลเจอร์ถอนหายใจเงียบ มองไปข้างหน้าและคาดหวังเกี่ยวกับสมบัติที่ฝังลึกอยู่ในวิหารทั้งสองตัดสินใจพร้อมกัน เดินตรงไปยังสุดทางของห้องโถงจนกระทั่งเข้าใกล้ ไคลน์พบบันไดสำหรับเดินลง“ห้องใต้ดิน?” มันถามห้วนอัลเจอร์ส่ายหน้า“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมยังไม่เคยลงไป… แม้ว่าคีลิงเกอร์จะพยายามเข้าไปสำรวจ แต่ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที มันก็กลับมาด้วยลมหายใจกระเส่า”ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด กล่าวเสียงค่อย“คุณกับเจ้านั่น… สนิทกันสินะ”หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูด อัลเจอร์คงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ตอบข้อสงสัย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล คำถามของชายคนนี้อาจหมายถึงเจตนารมณ์ของบุคคลเบื้องหลัง จึงต้องตอบสนองอย่างรอบคอบพิจารณาสักพัก อัลเจอร์ตอบเสียงเรียบ“มันกับผมเคยเป็นเพื่อนร่วมเมือง ทำงานเป็นคนรับใช้ในวิหารเดียวกัน… นักบวชที่นั่นขี้โมโหและชอบลงโทษคนรับใช้ คีลิงเกอร์จึงทนไม่ไหว แอบหลบหนีออกมาเป็นโจรสลัด”มีเรื่องแบบนี้ด้วย… มิสเตอร์แฮงแมนเองก็มีปูมหลังไม่ธรรมดา… ไคลน์ไม่ได้สอบถามเชิงลึก ท่ามกลางซากปรักหักพังของวิหารที่เงียบสงบ เดินลงบันไดทีละขั้นแม้จะเดินด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบามาก แต่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เสียงยังคงดังสะท้อนไปไกลใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย พบประตูหลังคาโค้งบานหนึ่งหน้าทางเข้าทั้งสองฝั่งของประตู ไคลน์เห็นเงาดำสองจุดยืนห่างกัน ไม่ขยับเขยื้อนมันและอัลเจอร์รีบชะงักฝีเท้า เพ่งมองเงาดำทั้งสอง พบว่าเป็นรูปปั้นหินรูปปั้นทั้งสองเป็นเพศชาย สีขาวนวลถ้วนทั่ว คนหนึ่งสวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกที่ดูคล้ายถังเหล็ก อีกคนสวมแจ็คเก็ตทันสมัย สีหน้าเปี่ยมด้วยความเจ็บปวด ดวงตาถลึงออกมา ราวกับกำลังเพ่งมองบางสิ่งได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์หวนนึกถึงประสบการณ์ที่เพิ่งได้เผชิญก่อนหน้านี้ มันและอัลเจอร์มีอาการคล้ายกับถูกสาปให้เป็นหิน โชคดีที่ขจัดผลกระทบได้ทันเวลา จึงไม่กลายเป็นรูปปั้นไปจริงๆ !นี่มัน… มนุษย์ที่โดนแบบเดียวกับเรา? ถ้าตอนนั้นเรากลายเป็นหิน จะถูก ‘ย้าย’ ลงมายังห้องใต้ดินของวิหารโบราณแห่งนี้ด้วยไหม? คอยทำหน้าที่เฝ้าประตูตลอดหลายร้อยหลายพันปี? สรุปแล้ว เจ้าของพลังสาปหินมิได้หวาดกลัววิหารแห่งนี้หรอกหรือ? ไคลน์ผุดความกลัวที่ยากจะพรรณนา หนังศีรษะเริ่มออกอาการชามันรีบควบคุมสีหน้า หันไปมองแฮงแมนด้านข้างและพบว่า รูม่านตาของชาวทะเลหยาบกร้านรายนี้กำลังขยายใหญ่ มีดสั้นในมือถูกบีบแน่นมิสเตอร์แฮงแมนคงคิดเหมือนเรา ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร… ไคลน์ชี้ไปทางประตู“ข้างในอาจมีรูปปั้นหินมากกว่านี้”อัลเจอร์พยักหน้า ตอบกึ่งกังวลกึ่งติดตลก“ภาวนาให้มันไม่เห็นพวกเรา”หลังจากคิดว่าตัวเองรอดพ้นจากคำสาปกลายเป็นหิน กลับต้องมาเห็นรูปปั้นในห้องใต้ดินของวิหาร… สยองขวัญฉิบ… ไคลน์ใคร่ครวญสักพัก กล่าวกับแฮงแมน“มีเนตรมองกลางคืนไหม”ความหมายที่แท้จริงก็คือ แสงของโคมไฟจะเด่นชัดมากในห้องใต้ดินที่มืดสนิท ง่ายต่อการตกเป็นเหยื่อ ดังนั้น หากมีเนตรมองกลางคืนก็ควรดับไฟและชายหนุ่มเชื่อว่า มิสเตอร์แฮงแมนฉลาดพอจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอัลเจอร์ตอบเยือกเย็น“มี”เส้นทาง ‘นักเดินเรือ’ ที่สามารถดำน้ำลึก ย่อมมีพลังในการ ‘มองเห็นในที่มืด’ไคลน์ชำเลืองด้วยหางตา ไม่กล่าวสิ่งใด แต่ความหมายค่อนข้างชัดเจนแล้วทำไมเอ็งยังต้องใช้ตะเกียง?อัลเจอร์ตอบเสียงขรึม“ประการแรก ทำให้ศัตรูเข้าใจผิด เมื่อพวกมันเห็นผมถือตะเกียง สัญชาตญาณจะบอกว่าผมมองไม่เห็นในที่มืด รอจนกระทั่งพวกมันทำลายตะเกียงสำเร็จและตายใจว่าผมมองไม่เห็น ถึงตอนนั้นจะเป็นโอกาสสร้างความประหลาดใจ”ร้ายกาจ… ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปสักพักอัลเจอร์พูดต่อ“ประการที่สอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบเดียวกับเมืองเงินพิสุทธิ์ อาจมีอันตรายอย่างยิ่งยวดในความมืด”สมเหตุสมผล… ไคลน์มิได้ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายดับตะเกียง เพียงเดินผ่านรูปปั้นหินทั้งสองที่มีสายตาแฝงความเจ็บปวด ก้าวเข้าไปในประตูเนื่องจากยังไม่ทราบว่ารูปปั้นหินเหล่านี้สื่อถึงอะไร และเหยื่อที่กลายเป็นหินเสียชีวิตแล้วหรือไม่ ไคลน์จึงไม่คิดทำลายรูปปั้นทิ้งเพื่อรวบรวมตะกอนพลังและสมบัติวิเศษที่อาจหลงเหลือในตัวเหยื่อ…………………………………………………..
คอมเม้นต์