ราชันเร้นลับ 808 : เสียงร้องสุดห่วย
ได้ยินคำพูดจากปากแฮงแมน หัวใจไคลน์หยุดเต้นไปครู่หนึ่งเนื่องจากสัมผัสถึงลางร้าย มันไม่รักษาภาพพจน์อีกต่อไป รีบวางตะเกียงลง หยิบเศษกระดาษสองแผ่นออกจากกระเป๋า ขยำให้เป็นทรงกลมและยัดใส่ไว้ในหูซ้ายและขวาเมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่คัดค้านและยอมทำตามคำแนะนำแต่โดยดี อัลเจอร์เกิดความโล่งใจและคิดว่า การร่วมมือกับคนมีประสบการณ์ช่างสะดวกสบาย แม้อีกฝ่ายจะมีฉายาว่า ‘ชายเสียสติ’ แต่ถ้าถูกเตือนอย่างมีเหตุมีผล ก็ยอมรับฟังและเข้าใจสถานการณ์ขณะเตรียมโยนหนูสีเทาที่ร่างกายเย็นเฉียบใส่ต้นไม้ซึ่งมีอำนาจสะกดจิตเพื่อหวังหันเหความสนใจ ทันใดนั้น อัลเจอร์พบว่าพุ่มไม้และวัชพืชด้านข้างมีการเคลื่อนไหว ไม่นานก็มีเสือโคร่งสีเหลืองแถบดำตัวหนึ่งเดินออกมาท่ามกลางเสียงกระดิ่งลม เสือโคร่งย่างกรายเข้าหาต้นไม้ประหลาดที่มอบความรู้สึกชั่วร้ายทีละก้าวได้เห็นฉากตรงหน้า อัลเจอร์ลดแขนลงพลางล้มเลิกความคิดที่จะขว้างหนูตาย ยอมอดทนต่ออาการปวดหัว เฝ้ามองเสือโคร่งค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้กับต้นกระดิ่งลมหลอนประสาทจากนั้น เสือโคร่งตัวดังกล่าวนั่งลงและตบเล็บแหลมๆ ใส่ลำคอตัวเองเลือดสีแดงพุ่งกระฉูด ราวกับเสือตัวนี้ไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป มันตะปบอุ้งเท้าใส่คอตัวเองจนเกิดเป็นแผลฉีกขาดหลายแห่ง เปลี่ยนผิวหนังอันเปลือยเปล่าให้ชุ่มเลือดเสียงกระดิ่งลมค่อยๆ จางลง หลายกิ่งก้านเริ่มยืดยาวราวกับมีชีวิต ก่อนจะทิ่มลงพื้น ทะลวงเข้าไปในร่างเสือโคร่งที่น่าสมเพชอัลเจอร์ซึ่งกำลังรอจังหวะนี้ รีบชักมืดสั้นพร้อมกับอ้าปากและร้องเพลง“ซ่า! ซ่า! ซ่า!”“โอ้คลื่นทะเล! สาดซัดก้อนหินสีเทา!”“ซ่า! ซ่า! ซ่า!”“โอ้คลื่นทะเล! ทำลายก้อนหินสีเทา!”เสียงเพลงของมันทั้งหยาบกร้านและหนักแน่น แต่ไม่ตรงคีย์เลยสักนิดเดียว แหกกฎการร้องเพลงทุกชนิดของมนุษย์และสัตว์โดยสิ้นเชิง มีเพียงความหงุดหงิด คลื่นไส้ และชวนให้ปวดหัวกิ่งก้านของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาทหดกลับในทันที การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้กระดิ่งที่ห้อยตรงปลายขยับจนเกิดเสียงดังสำหรับไคลน์ที่อยู่ข้างๆ อัลเจอร์ แม้จะกำลังอุดหูด้วยลูกบอลกระดาษและรวบรวมสมาธิจดจ่อถึงขีดสุด แต่ก็อดไม่ได้ที่เส้นเลือดบนหน้าผากจะปูดโปน เกิดความรู้สึกอยากจะฆ่าคนร้องเพลงและทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้านอกจากนั้น สติของชายหนุ่มยังค่อยๆ เตลิด กล้ามเนื้อและเส้นเลือดใต้ผิวหนังกำลังยุบพองแผ่วเบาคนปรกติร้องเพลงเพราะอยากรวย… แต่มิสเตอร์แฮงแมนร้องเพลงเพราะอยากถูกกระทืบตาย! ไคลน์ที่กำลังเผชิญความหงุดหงิดเหนือพรรณนา สบถภายในใจอย่างหัวเสีย“ซ่า! ซ่า! ซ่า!”ทุกคำพูดที่อัลเจอร์กระแทกกระทั้นออกมา ฟังดูคล้ายกับเสียงคลื่นทะเลสาดกระทบก้อนหิน มีอำนาจในการอัญเชิญสายฟ้าจากความว่างเปล่าแสงสีเงินวิบวับทำให้ทั่วทั้งบริเวณสว่างไสว สายฟ้าหลายเส้นเริ่มผ่าลงมายังต้นกระดิ่งลมหลอนประสาทจนออกอาการสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง กิ่งก้านที่เคยกวัดแกว่งเริ่มแข็งทื่อ มิอาจก่อให้เกิดสุ้มเสียงสะกดจิตอัลเจอร์ไม่ปล่อยโอกาสหลุดลอย ทิ้งหนูตายไว้ด้านหลังพร้อมกับแทงมีดสั้นในมือไปข้างหน้าท่ามกลางเสียงลมหวีด ใบมีดสายลมอันแหลมคมถูกกระหน่ำยิงใส่กิ่งไม้ที่ใกล้กับลำต้นมากที่สุดปึด!ผลไม้โปร่งแสง ไร้สี ขนาดเท่ากำปั้น หลุดร่วงจากต้นและถูกสายลมพัดลอยมาตกบนฝ่ามืออัลเจอร์ เปลือกไม้ที่เต็มไปด้วยรอยแยกคล้ายดวงตาพลันแข็งตัว กิ่งไม้ร่วงโรย สูญเสียชีวิตชีวาไปในทันทีคิดไว้ไม่มีผิด… ถ้ามีข้อมูลของเป้าหมายล่วงหน้าและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พืชวิเศษจะรับมือได้ง่ายกว่าสัตว์วิเศษมาก เนื่องจากพวกมันมีสติปัญญาต่ำกว่า… อัลเจอร์ล้วงหยิบกล่องโลหะที่เตรียมไว้ เก็บผลของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาทเข้าไปจากนั้น มันหันมามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์“ไปต่อกัน…”ขณะสิ้นเสียง ‘กัน’ อัลเจอร์ชะงักคำพูดกะทันหันเนื่องจากเห็นว่าใบหน้าอันเย็นชาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังบิดเบี้ยว ตาขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยที่พร้อมระเบิดออก ประหนึ่งเตรียมพุ่งเข้ามาทำร้ายมันทุกเมื่อหัวใจอัลเจอร์พลันเต้นระรัว รีบสูดลมหายใจเข้าและพูดชัดถ้อยชัดคำ“ไปต่อกันเถอะ”“…อา” เกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบเสียงทุ้ม เดินนำหน้าไปโดยการอ้อมซากของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท ตรงไปยังส่วนลึกของป่าสีดำมันไม่สนใจจะเก็บวัตถุดิบวิญญาณจำพวกเปลือกไม้ กิ่งไม้ และอื่นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้สัตว์ร้ายได้กลิ่นและเข้ามารุมล้อม นอกจากนั้น ไคลน์ไม่มีสมบัติวิเศษสำหรับเก็บของ ทุกช่องที่พอจะเก็บได้ก็ถูกเติมเต็มด้วยสิ่งที่สำคัญอยู่แล้วต้องไม่ลืมว่า การพกสัมภาระติดตัวมากเกินไป จะทำให้สูญเสียความคล่องแคล่วอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวตลกน่าเสียดายที่วัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้ไม่มีเลือด จึงนำไปเก็บในการเดินทางของกรอซายไม่ได้… จริงอยู่ที่เราสามารถให้หุ่นเชิดช่วยถือแทน แต่การทำแบบนั้นค่อนข้างวุ่นวายและอาจไม่ส่งผลดีต่อการสำรวจในระยะยาว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ พยายามขจัดอิทธิพลจากเสียงร้องของมิสเตอร์แฮงแมนที่ยังหลงเหลือเมื่อครู่คือเสียงร้องที่บัดซบและน่าหงุดหงิดที่สุดในสองชีวิตที่มันเกิดมา!หากแฮงแมนยังร้องต่อไปอีกสักสองสามนาที ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าไคลน์จะไม่ลงมือกระทืบอีกฝ่ายการใช้ลูกบอลกระดาษและเพ่งสมาธิช่วยบรรเทาได้แค่เล็กน้อย ไม่มีทางขจัดได้สมบูรณ์… แม้แต่คนหูหนวกก็น่าจะได้ยิน เพราะเสียงร้องเมื่อครู่สร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงวิญญาณ… นี่คือการโจมตีที่รับมือได้ยากที่สุดของลำดับ 5 ผู้ขับขานสมุทร แทบไม่มีทางหลบได้ โชคยังดีที่ยังพอจะรับมือกับสายฟ้าหลังจากนั้นไหว… สมกับเป็นลำดับ 5 บนเส้นทางที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง… ว่าแต่ ทำไมเสียงร้องของมิสเตอร์แฮงแมนถึงแตกต่างจาก ‘ผู้ขับขานเอลฟ์’ เซียธาสนัก? ขณะไคลน์วิเคราะห์และสรุปเหตุการณ์ คำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจขณะเดียวกัน อัลเจอร์ด้านข้างที่กำลังถือตะเกียง ผุดคำถามใหม่เช่นเดียวกันแม้แต่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ยังทนกับเสียงร้องของเราได้ไม่นาน… แล้วแบบนี้จะสวมบทบาทเป็น ‘นักร้อง’ ได้ยังไง…ท่ามกลางความเงียบสงัด ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆ ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้สูงใหญ่ที่มีเปลือกไม้เป็นเกล็ดงู ขยับเข้าใกล้ซากปรักหักพังซึ่งเป็นปลายทางทีละนิดเนื่องจากมี ‘นักเดินเรือ’ อยู่ด้วย ไคลน์จึงสงวนไม่ใช้ ‘แท่งวิญญาณทำนาย’ สมาธิทั้งหมดทุ่มไปกับการระวังตัวจากภัยอันตรายที่ไม่คาดคิดความมืดและความเงียบมักชวนให้นึกถึงเรื่องสยองขวัญเสมอ ยิ่งคนทั้งสองเดินตรงไป ต้นไม้รอบๆ ตัวก็ยิ่งบางตาลงสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อครั้งที่เผชิญหน้ากับงูขนนกครึ่งเทพ ในตอนนั้น ต้นไม้บางตาลงอย่างกะทันหัน แต่สำหรับที่นี่ สภาพดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคนทั้งสองใกล้จะออกจากป่าสีดำแล้ว“เมื่อพ้นจากเขตนี้ พวกเราจะถึงด้านนอกของซากปรักหักพัง” อัลเจอร์พูดทำลายความเงียบมันเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะเสริมอย่างเป็นกันเอง“จากประสบการณ์ของผม ยิ่งใกล้ออกจากป่าก็ยิ่งอันตราย คราวก่อนก็พบร่องรอยของสัตว์วิเศษครึ่งเทพแถวนี้… แต่กลับกัน ถ้าพ้นจากเขตป่าและถึงหน้าซากปรักหักพังเมื่อไร อันตรายทั้งหมดจะหายไปในทันที… แต่ผมไม่รับประกันว่าข้างในจะเหมือนกันหรือไม่”นั่นเป็นเพราะว่า ในซากปรักหักพังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอาศัยอยู่ และบริเวณดังกล่าวคืออาณาเขตของมัน จึงไม่มีสัตว์วิเศษตัวใดกล้าเข้าใกล้… ไคลน์พึมพำแน่นอน ในการสำรวจครั้งนี้ ชายหนุ่มมีลางสังหรณ์ว่าตนจะได้เผชิญหน้ากับอันตราย จึงทำนายยืนยันให้แน่ใจล่วงหน้า แม้คำตอบที่ได้รับจะคลุมเครือและผันผวน แต่ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการหลบหนีได้ยินแฮงแมนพูดเช่นนั้น ไคลน์หัวเราะในลำคอ“คุณก็รู้คำตอบของผมอยู่แล้ว”ชายหนุ่มไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพียงมุ่งหน้าต่อไปยังเขตที่พืชพรรณเริ่มบางตาอัลเจอร์เดินตามไปอย่างเงียบงัน เริ่มแน่ใจว่าตนมองอีกฝ่ายไม่ผิดเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายคนนี้คือคนบ้าที่เยือกเย็น!หลังจากเดินไปได้ไม่กี่สิบเมตร พวกมันมองเห็นดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่งจากแสงของตะเกียงอีกฝ่ายคือลิงบาบูนที่กำลังนั่งยองๆ บนกิ่งไม้ ขนของมันค่อนข้างดำและหยิก บนศีรษะมีผลึกสีดำจำนวนมากฝังอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ ดูคล้ายกับมงกุฎเมื่อได้เห็นเต็มสองตา สัญชาตญาณของไคลน์และอัลเจอร์สั่งให้ก้มศีรษะลงทันที คล้ายกับกลัวการสบตากับสัตว์วิเศษตนดังกล่าว จึงอาจเป็นไปได้ว่า มันคือผู้ปกครองของป่าละแวกนี้ผู้ปกครอง… อัลเจอร์อาศัยอาการปวดหัวที่เกิดจาก ‘แส้จิต’ เพื่อดึงสติให้หลุดพ้นจากการถูกครอบงำ ก่อนจะรีบฉากหลบไปทางซ้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการจู่โจมที่คาดไม่ถึง ปล่อยให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จัดการกับสัตว์วิเศษลึกลับตัวนี้ตามลำพังนี่คือสิ่งที่พวกมันตกลงกันไว้ล่วงหน้าทว่า แม้สมองจะสั่งให้ก้าวไปทางซ้าย แต่ร่างกายกลับเดินไปข้างหน้าแทน แถมยังเป็นการเดินอย่างไม่มั่นคง คล้ายกับคนพิการที่ต้องใช้ไม้ค้ำจิตใต้สำนึกสั่งให้อัลเจอร์รีบชักมีดสั้นและยิงลมเฉือนใส่ลิงบาบูนขนหยิกสัตว์วิเศษตรงหน้าเผยรอยยิ้มทันทีพายุลมเฉือนล่องหนพลันเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน บ้างพุ่งไปทางซ้าย บ้างพุ่งไปทางขวา บ้างพุ่งขึ้น และบ้างพุ่งลง ทั้งหมดพลาดเป้าโดยสมบูรณ์ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์เชื่อว่าการบุกเข้าไปตรงๆ คงไม่เกิดประโยชน์ จึงสั่งให้ถุงมือข้างซ้ายเปลี่ยนเป็นสีโปร่งใสพร้อมกับหายตัวอัลเจอร์หยุดพฤติกรรมที่เกิดจากความตื่นเต้นของตน พลางเฝ้าดูเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง หายตัวไปโผล่ด้านหลังลิงบาบูนขนหยิกด้วยระยะห่างไม่ถึงห้าเมตรเพียงพริบตา ลิงบาบูนขนหยิกสีดำพลันแข็งทื่อ คล้ายกับกำลังสูญเสียสิทธิ์ในการควบคุมร่างกาย ลำพังการยกแขนสักข้างยังทำได้ลำบาก ยากจะใช้พลังใดให้สำเร็จในเวลาอันสั้นเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาศัยประโยชน์จากอาการชะงักของเหยื่อ ยกลูกโม่สีดำในมือขวา เล็งปากกระบอกปืนสีเหล็กดำบรรยากาศลึกลับไปยังท้ายทอยจากนั้น นักผจญภัยเสียสติเหนี่ยวไกโดยปราศจากสีหน้า…………………………………………….
คอมเม้นต์