ราชันเร้นลับ 772 : ความผิดปรกติของวอลเตอร์
ขอใช้หินบนกำไลข้อมือ รวมถึงสิทธิ์ในการยืมบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ระยะหนึ่ง? เขาทราบได้ยังไงว่าเรามีสมบัติสองชิ้นนี้? เราจำได้ว่าไม่เคยเอ่ยถึงมันในชุมนุมทาโรต์… หลังจากได้ยินคำตอบของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ฟอร์สพลันประหลาดใจ เริ่มหวาดผวาเล็กๆ ราวกับความลับทั้งมองของตนถูกเปิดเผยอย่างทะลุปรุโปร่งหญิงสาวถูกครอบงำด้วยความเครียด พยายามเค้นสมองนึกถึงข้อบกพร่องของตัวเองนอกจากอาจารย์ ซิล และมิสเตอร์ฟูล ไม่มีใครทราบว่าเราครอบครองสองสิ่งนี้ โดยเฉพาะบันทึกการเดินทางของเลมาโน่… มิสเตอร์ฟูล… จะว่าไป มิสเตอร์เวิร์ลมักทำตัวแปลกๆ ในชุมนุมทาโรต์ เขาไม่เคยส่งไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เลยสักครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจด้วยซ้ำ… หรือว่า เขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับมิสเตอร์ฟูล จึงได้รับข้อมูลจากพระองค์โดยตรง? สาวก… หรือข้ารับใช้? ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก เริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่างคลุมเครือ บรรเทาความกลัวในจิตใจลงเธอเริ่มมีเรี่ยวแรงพอที่จะพิจารณาว่าคำขอของ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ สมเหตุสมผลหรือไม่สำหรับฟอร์ส ข้อเสนอของอีกฝ่ายนับว่าถูกมาก ถูกกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้ แถมยังสมเหตุสมผล!ในฐานะผู้วิเศษที่ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเพื่อพักผ่อนและเขียนงาน การถูกยืมบันทึกการเดินทางของเลมาโน่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยมากนัก และกำไลข้อมือสำหรับเดินทางผ่านโลกวิญญาณ หินอีกสองก้อน การมอบหนึ่งก้อนให้ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไม่ได้ทำให้เธอสูญเสียไพ่ตายไปโดยสิ้นเชิงปัญหาเดียวก็คือ มิสเตอร์เวิร์ลอาจใช้งานรวดเดียวมองเม็ด และถ้าเขาล้มเหลว เราก็จะเสียมันไปฟรีๆ … แต่ต้องไม่ลืมว่า ตัวเขาเองก็ต้องเผชิญความเสี่ยง เป็นเรื่องปรกติที่จะเรียกร้อง… เดิมที เราเคยคิดว่าต้องสูญเสียมากกว่านี้ ถึงขั้นต้องนำรางวัลที่ได้จากการส่งศีรษะคนทรยศ ลูอิส·เวย์น ให้อาจารย์โดเรี่ยน มาจ่ายเป็นค่าจ้าง… ฟอร์สสงบสติสองสามวินาที สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล“…เรียนท่านมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ได้โปรดนำข้อความไปบอกกับมิสเตอร์เวิร์ลว่า ดิฉันยอมรับเงื่อนไขของเขา และจะพยายามร่วมมืออย่างสุดความสามารถ”เดิมที ต้องเธอการจะเตือน ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่า การใช้หินบนกำไลจะทำให้ได้รับอิทธิพลจากคืนจันทร์เต็มวาง แต่ในภายหลังตระหนักเพิ่งตระหนักได้ มีเพียงผู้วิเศษเส้นทาง ‘ผู้ฝึกหัด’ เท่านั้นถึงจะได้รับผลกระทบดังกล่าว…ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว แต่เราก็จะได้ใช้งานหินบนกำไล นั่นจะช่วยให้ออกจากเบ็คลันด์ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว แอบไปพบกับมิสเตอร์แฮงแมนเพื่อสำรวจเกาะโบราณ… เมื่อเวลานั้นมาหนึ่ง เราจะใช้สมุดเวทมนตร์บันทึกการใช้งานของหิน ไม่ต้องกังวลเรื่องขากลับ เว้นเสียแต่จะโชคร้ายมาก การบันทึกล้มเหลว… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก เปิดประตูห้อง อนุญาตให้บุรุษรับใช้ริชาร์ดสันเดินเข้ามาช่วยจัดระเบียบเครื่องแต่งกาย“นายท่าน หลังเสร็จอาหารเช้า คุณมีกำหนดการต้องเดินทางไปชมนิทรรศการของสะสมของราชวงศ์ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ” ริชาร์ดสันช่วยนายจ้างสวมเสื้อโค้ท พลางอธิบายตารางเวลาประจำวันเนื่องจากทักษะการเต้นรำเพื่อเข้าสังคมของดอน·ดันเตสพัฒนาได้ไวมาก คาบเรียนมารยาทในช่วงเช้าจึงลดลงจากสัปดาห์ละห้าวัน เหลือเพียงสัปดาห์ละสามวัน มีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น และนิทรรศการประเภทนี้มักตกเป็นประเด็นสนทนาของชนชั้นสูงบ่อยครั้ง คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากไม่ได้ไปเยือนด้วยตัวเองสำหรับการแวะไปวิหารนักบุญแซมมวลเพื่อฟังบิชอปเทศนา ไคลน์ลดความถี่ลงเช่นกัน นั่นไม่ใช่เพราะมันเสียดายเงินค่าบริจาคหลายสิบปอนด์ต่อครั้ง แต่เป็นเพราะว่า หลังจากผ่านพ้นช่วงแรกมาแล้ว การแวะไปบ่อยครั้งอาจทำให้ถูกสงสัย ความเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผลคือแก่นสำคัญของแผนการนอกเหนือจากวันอาทิตย์ ไคลน์จะสุ่มเลือกสองวันจากหกวันที่เหลือเพื่อแวะไปวิหารนักบุญแซมมวล อาจต้องใช้เวลานานกว่าเดิมเพื่อตรวจสอบเวรยามของผู้คุม แต่ของแบบนี้ห้ามใจร้อนเด็ดขาด!“อดใจรอไม่ไหวแล้ว” ไคลน์สำรวจสีหน้าตัวเองในกระจก ยิ้มและกล่าวกับบุรุษรับใช้ส่วนตัวเมื่อนึกถึงการไปเยือนวิหารนักบุญแซมมวลและโบสถ์รัตติกาล ชายหนุ่มพาลนึกไปถึงเรื่องที่เลียวนาร์ด·มิเชลกำลังตามสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ โดยยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายค้นพบความผิดปรกติในเรื่องใดเป็นเพราะเอ็มลิน·ไวท์เคยซื้อถุงมือ ‘อินธน์’ เลียวนาร์ดจึงตัดสินใจสืบสวนขยายผล? หรือเป็นเพราะการปรากฏตัวเล็กๆ ของนักสืบคนดังในคดีคาพินและลาเนวุส ถุงมือแดงที่รับผิดชอบคดีจึงต้องสืบสวน? หรือทั้งสอง? ไคลน์นึกถึงร่องรอยที่ตนเหลือทิ้งไว้ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวไคลน์ไม่กลัวว่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้จะถูกโบสถ์รัตติกาลตั้งค่าหัว เพราะอีกเดี๋ยวนักสืบคนดังก็จะไม่ได้โผล่หน้ามาให้ใครเห็นอีก อาจปรากฏตัวเป็นบางคราวเพื่อติดต่อกับคนรู้จัก แต่สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังกังวลก็คือ ใครสักคนอาจฉุกคิดว่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้และไคลน์·โมเร็ตติมีใบหน้าคล้ายคลึงกันมาก เกิดเป็นการไล่ล่าอดีตเหยี่ยวราตรีผู้ล่วงลับอันที่จริง ถึงจะมีคนรู้เรื่องนั้น เราก็ไม่กังวลอะไร… ตอนนี้เราไม่ได้เป็นแค่ตัวตลกหรือนักมายากลสักหน่อย และครึ่งเทพที่กำลังไล่ล่าเราก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองตน เพิ่มอีกสักฝ่ายจะเป็นอะไรไป… หากโบสถ์รัตติกาลส่งกองทัพเหยี่ยวราตรีอาวุโสมาไล่ล่า พวกมันก็ไม่ได้เก่งกว่าเราแบบก้าวกระโดด.. เบ็นสันและเมลิสซ่าเป็นแค่คนธรรมดา ทางศาสนจักรคงไม่ไปยุ่งวุ่นวาย… แต่พวกเขาจะริบเงินชดเชยคืนไหม? คงไม่… เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้คนธรรมดาเข้าใจประเด็นนี้… ไคลน์บรรเทาความกังวลลงหลายส่วนนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ในตอนที่ได้ยิน ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสตินเอ่ยถึงไคลน์·โมเร็ตติเมื่อคืน ชายหนุ่มมิได้ออกท่าทีกังวลมากนักเป็นไปได้หรือ ที่ครึ่งเทพลำดับ 1 – เทวทูตที่เก่งกาจในด้านโชคชะตา จะไม่ทราบว่านักสืบคนดังรายนี้เป็นใครมาจากไหน?ต่อให้มีพลังสายหมอกช่วยปิดกั้น ลดทอนรายละเอียดไปหลายส่วน วิล·อัสตินก็ยังทราบอยู่ดีว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้มาจากเมืองทิงเก็นย้อนกลับไปในตอนที่ยังอยู่ทิงเก็น ไคลน์เคยเผชิญหน้ากับ ‘อาเดมิทอร์’ เด็กหนุ่มเส้นทางสัตว์ประหลาดที่ยืนขวางทางในตลาดมืด อีกฝ่ายถึงกับเลือดไหลออกจากดวงตา เช่นนั้นแล้ว อสรพิษแห่งชะตาย่อมมองเห็นได้ไกลกว่านั้น นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันจนได้รับคำตอบถ้าเลียวนาร์ดค้นพบตัวจริงของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เราก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเขาจะทำหน้าแบบไหน…. ไคลน์หัวเราะกับตัวเอง เดินออกจากห้องนอนใหญ่ ลงไปยังชั้นสอง เพลิดเพลินกับอาหารที่ถูกปรุงอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัว…เขตตะวันตก อาคารหมายเลข 2 ถนนหลวงราชา พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไคลน์พาพ่อบ้านวอลเตอร์และบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันผ่านประตูตรวจตั๋ว เข้าไปด้านในนิทรรศการนี้ถูกจัดขึ้นโดยราชวงศ์แห่งโลเอ็น จุดประสงค์เพื่อนำของสะสมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักร มาจัดแสดงให้ประชาชนได้รับชมและเข้าใจ เสริมสร้างความเคารพและการยอมรับในตัวราชวงศ์ในฐานะนักศึกษาที่จบจากสาขาประวัติศาสตร์ ไคลน์ค่อนข้างสนใจนิทรรศการทำนองนี้ เพราะหลายหลากเหตุการณ์ที่ตนคุ้นเคยจะถูกนำมาวางเรียงรายในรูปแบบของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ช่วยให้ดื่มด่ำไปกับข้อมูลที่เจ้าของร่างคนก่อนหลงใหลและปรารถนาจะรับรู้มาตลอดสิ่งที่ทำให้ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจเล็กๆ ก็คือ พ่อบ้านวอลเตอร์รู้จักของสะสมชิ้นต่างๆ อย่างลึกซึ้ง สามารถมอบคำแนะนำให้ดอน·ดันเตสได้อย่างละเอียดสมกับที่เคยเป็นพ่อบ้านของตระกูลขุนนางใหญ่… ไคลน์พยักหน้าในใจขณะแวะชมและฟังเรื่องราว ทั้งสามคนเดินสวนกับผู้เยี่ยมชมคนอื่นๆ อย่างไม่ขาดสาย สภาพห้องโถงนิทรรศการค่อนข้างเงียบสงบและเป็นระเบียบ มีเพียงเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาจนกระทั่งเดินผ่านตู้จัดแสดงหนึ่ง ไคลน์สังเกตเห็นว่าวอลเตอร์ชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน มองไปด้านข้าง สีหน้ายากซับซ้อนจะอธิบายเมื่อจากไม่ใช่ ‘ผู้ชม’ ไคลน์ไม่สามารถแปลความหมายของอารมณ์เหล่านั้น ทำได้เพียงมองตามสายตาวอลเตอร์ จ้องไปทางตู้จัดแสดงมีสองบุคคลกำลังยืนในจุดดังกล่าว ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายอายุราวสามสิบ สวมชุดสุภาพสีดำ หมวกผ้าไหม ใช้ไม้ค้ำเลี่ยมทอง ดูเป็นสุภาพบุรุษภูมิฐานและร่ำรวย ส่วนฝ่ายหญิงมาในชุดสีเหลือง สวมสร้อยคอทองคำ มองภาพรวมดูสง่างามมากมิสเตอร์พ่อบ้านกำลังมองไปที่ฝ่ายชาย… ไคลน์ประเมินอย่างรวดเร็ว กวาดสายตาไปรอบๆ อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ให้ใครผิดสังเกตมันพบว่าสุภาพบุรุษคนดังกล่าวดูแก่กว่าที่คิด ผิวค่อนข้างคล้ำแดด หลังมือมีลักษณะเหมือนไม้แห้ง นิ้วหยาบกร้านถ้าไม่มองเสื้อผ้า เราคงคิดว่าเขาเป็นชาวนา คนสวน หรือไม่ก็คนขับรถม้า… ไคลน์ถอนสายตากลับ ผุดความสงสัยเล็กๆ ในใจเหตุผลที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นรายละเอียดเหล่านี้ เพราะย้อนกลับไปสมัยที่เริ่มสร้างตัวตนดอน·ดันเตส ไคลน์พิจารณาอย่างจริงจังว่าผู้ชายที่เคยผจญภัยบนทวีปใต้มานาน ควรมีลักษณะทางกายภาพเป็นเช่นไรมันเชื่อว่า นอกจากดวงตา นิสัยใจคอ และใบหน้าที่เกิดจากการตกผลึกทางประสบการณ์อย่างยาวนาน ดอน·ดันเตสควรมีผิวพรรณที่เคยผ่านแสงแดดมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง มีรอยแผลเป็นที่ไม่โดดเด่นนัก มีฝ่ามือที่หยาบกระด้างแต่แข็งแรง ไม่อย่างนั้น ความสมจริงของตัวละครจะไม่มากพอพูดกันตามตรง นับตั้งแต่กลายเป็น ‘ผู้ไร้หน้า’ จนถึงปัจจุบัน เราค่อยๆ พัฒนาฝีมือในการสร้างตัวตนใหม่ สั่งสมความรู้และประสบการณ์จนสามารถออกแบบตัวละครใหม่ได้อย่างสมจริง… หากกลับสู่โลกเก่า แม้จะไม่มีพลังพิเศษ แต่เราก็ยังแสดงละครได้เก่ง พร้อมเล่นทุกบทบาท… ไคลน์หัวเราะกับตัวเอง เหลือบไปเห็นพ่อบ้านวอลเตอร์กลับมาทำสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นขณะเดียวกัน ชายที่มีใบหน้าค่อนข้างชราและผิวหยาบกร้าน ชี้ไปยังธงผืนหนึ่งในตู้จัดแสดง“ธงผืนนี้มาจากสงครามกุหลาบขาว เป็นธงรบของเอิร์ลแห่งลาสติ้ง องค์ชายฮาโรลด์·ออกัสตัส… ช่างน่าเศร้า พระองค์สิ้นพระชนม์ในศึกดังกล่าว ทว่า การจากไปของพระองค์คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสงคราม ช่วยให้พวกเราชาวโลเอ็นได้รับชัยชนะ… ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นเลือดที่ติดบนผืนธง นั่นคือเลือดของพระองค์”มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ไม่เลว… ไคลน์ใช้หางตาชำเลืองพ่อบ้านวอลเตอร์ ครุ่นคิดสองสามวินาที ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คู่ชายหญิงพลางยิ้มและทักทายอย่างเป็นมิตร“คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่ทราบรายละเอียดในเชิงลึกเช่นนี้ เดิมที ผมเข้าใจว่าชาวโลเอ็นจะรู้จักสงครามกุหลาบขาวเฉพาะเรื่องฝ่ายตนได้รับชัยชนะเหนืออินทิส… มิสเตอร์ ผมขอชื่นชมความรู้อันกว้างขวางของคุณ”เมื่อถูกยกยอต่อหน้าสตรี แววตาของชายคนดังกล่าวเปลี่ยนจากตื่นตัวเป็นผ่อนคลาย เผยรอยยิ้มเล็กๆ“ผมแค่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์”มันหันไปมองพ่อบ้านของสุภาพบุรุษฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเป็นมิตร แต่ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วและคลายออกในทันที ทิ้งความสงสัยเล็กๆ ไว้อย่างเจือจางเป็นอย่างที่คิด เขารู้จักพ่อบ้านวอลเตอร์… ไคลน์ยิ้มสุขุม“สวัสดีครับ ผมเป็นนักธุรกิจจากอ่าวเดซีย์ ดอน·ดันเตส ไม่ทราบว่าต้องเรียกคุณว่าอย่างไร”อีกฝ่ายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบ“วิลเลี่ยม·ไซเคส ผู้ดูแลคฤหาสน์”……………………………………………………………
คอมเม้นต์