ราชันเร้นลับ 756 : มหามิสซา
หลังจากรอเกือบสิบนาทีด้านนอกโถงสวดมนต์ ไคลน์และสาวกคนอื่นๆ ที่เตรียมเข้าร่วมพิธีมิสซาจันทราด้วยกัน ภายใต้คำแนะนำของบิชอป เริ่มทยอยเดินเข้าไปข้างในท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัวและสุขสงบ ทุกคนถูกต้อนรับด้วยบทสวดอันล่องลอย สอดประสานพร้อมเพรียง“จันทราเต็มดวง สีแดงเข้ม”“ส่องสะท้อน ธรณี”“มนุษย์ต่างนอนหลับ ฝันดี”“คิดเรื่อง ส่วนตัว”“บ้างคิดถึงพ่อแม่ ครอบครัว”“ตราบชั่ว นิรันดร์”สุ้มเสียงอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นจังหวะ ดังกังวานสอดประสาน เหล่าสาวกในโถงสวดมนตร์ต่างตาถูกสะกดให้จิตใจสงบนิ่ง หลงลืมปัญหาในชีวิตไปชั่วคราว เลิกคิดเกี่ยวกับความทุกข์ระทมบนโลกความจริงภายใต้การนำทางของนักบวชหลายคน บรรดาสาวกกระจายตัวนั่งหน้าแท่นบูชา จากนั้น บิชอปอีเล็คตร้าผู้รับหน้าที่ดูแลพิธีมหามิสซา เริ่มเทศนาพลาง ‘วิวรณ์แห่งรัตติกาล’ ไว้ในมือเมื่อพิธีการขั้นแรกจบลง นักบวชเตรียมน้ำและขนมปัง แจกจ่ายให้ไคลน์และสาวกคนอื่นๆ อย่างทั่วถึง สิ่งนี้ถูกเรียกว่าพรแห่งราตรี เป็นอาหารที่คนเป็นและคนตายแบ่งปันกันรับประทานไคลน์ที่อาหารค่ำยังไม่ตกถึงท้อง ย่อมไม่ปล่อยให้ขนมปังและน้ำสูญเปล่า นั่งกินจนกระทั่งเริ่มเห็นแสงเทียนสว่างขึ้นใจกลางแท่นบูชา ช่วยขจัดปัดเป่าความมืดมิด คล้ายกับดวงดาราในยามค่ำคืน คอยเปล่งแสงและมอบความอบอุ่นอ่อนโยนทันใดนั้น บิชอปอีเล็คตร้าเริ่มนำสวด ร่วมกันกับเหล่านักบวชและนักร้องประสานเสียง“เราแหงนมอง ท้องฟ้า ราตรียาม”“เราเปล่งนาม รัตติกาล อันยิ่งใหญ่”“เราจักไม่ เอ่ยถึง นามอื่นใด”“เทพธิดา คอยห่วงใย กลางใจเรา”“ทุกคนจง มารวมตัว ใต้สวรรค์”“นำมือขวา กุมทับกัน อย่าสั่นไหว”“เปล่งพระนาม เทพธิดา สื่อถึงใจ”“แทนการมอบ รอยยิ้ม ให้คนตาย”เสียงอันล่องลอยทะลวงผ่านโสตประสาท สาวกทุกคนพลันท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ คล้ายกับวิญญาณทุกดวงกำลังช่วยกันเปล่งเสียงกังวาน ในฐานะผู้วิเศษลำดับ 5 ไคลน์พบว่าวิญญาณของตนกำลังถูกชะล้างจนสะอาด กระแสการไหลเป็นไปอย่างนุ่มนวลและสะดวกสบายถัดมาไม่นาน ความมืดมิดอันเงียบสงัดปกคลุมการมองเห็นของทุกคน เป็นความมืดที่ปราศจากสุ้มเสียงโดยสมบูรณ์ท่ามกลางความมืด ไคลน์มองเห็นศพมากมายนอนเรียงราย มองเห็นใบหน้าอันขาวซีดที่เต็มไปด้วยความสุขสงบ ราวกับพวกเขาไม่ใช่คนตาย เพียงแค่นอนหลับไปเท่านั้นไคลน์ค่อยๆ ย่างกรายอย่างสงบภายในความมืด ก่อนจะหยุดลงกะทันหันและมองไปข้างหน้าในแนวเฉียงณ จุดที่มีดอกชมจันทร์เบ่งบานอย่างเงียบงัน ร่างของใครหลายคนกำลังนอนเรียงประกอบไปด้วยดันน์·สมิทในชุดกันลมสีดำ ไม่ได้สวมหมวก ลุงนีลล์ที่ยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำทรงโบราณ และโคเฮนรี่ร่างเล็ก ผู้พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินสร้างตัวทุกคนหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย คล้ายกับมีรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก ทุกป้ายของหลุมศพล้วนสลักคำเดียวกัน“ผู้พิทักษ์”ไคลน์หลับตาลงทันที จากนั้น เสียงอันศักดิ์สิทธิ์และล่องลอยดังแว่ว“จงประสาน สองมือ ให้แนบแน่น”“จงยกแขน ประกบติด แนบชิดเต้า”“จงสวดมนต์ ดลบันดาล เสียงแผ่วเบา:”“การหลุดพ้น ของคนเรา คือนิพพาน”ไคลน์ก้มหน้าลง ปิดตาสมิท ยกมือขึ้นมาทาบหน้าอก จากนั้นก็กระซิบ“การหลุดพ้น ของคนเรา คือนิพพาน”“การหลุดพ้น ของคนเรา คือนิพพาน”…เสียงเหล่านี้ดังซ้ำไปมา จนกระทั่งโถงสวดมนต์ใหญ่ตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ ไคลน์ลืมตาขึ้น ยกมือขึ้นลูบหางตาทั้งสองข้างชายหนุ่มหายใจออกเชื่องช้า เหลียวซ้ายแลขวา อาศัยแสงจากเชิงเทียน พบว่าสาวกส่วนใหญ่มีน้ำตาบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว กระทั่งบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันก็ยังปล่อยให้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ไม่ได้เลื่อนมือขึ้นมาเช็ดมิสซาจันทรามีความใกล้เคียงกับพิธีกรรมมาก… เป็นพิธีกรรมที่มีพลังพิเศษมาเกี่ยวข้อง… ผลลัพธ์คือการสั่นคลอนจิตใจของสาวก ทำให้แต่ละคนมองเห็นศพของคนใกล้ตัวในความมืด ปลดปล่อยความโศกเศร้าเพื่อสร้างความสงบสุขที่แท้จริง… การหลั่งน้ำตาไม่ได้เกิดจากพลังพิเศษ เราไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้… สำหรับคนธรรมดา นี่คือภาพลวงตาที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ ทุกคนคงเข้าใจว่าเกิดจากพระบารมีของเทพธิดารัตติกาล ไม่ใช่พลังพิเศษ… ลำดับ 5 ของเส้นทางรัตติกาล ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาญการครอบงำวิญญาณมาก… ไคลน์ถอนสายตากลับ วิเคราะห์หาคำตอบภายในใจถัดมา ชายหนุ่มหวนนึกถึงภาพในความมืดเมื่อครู่ นึกถึงร่างไร้ชีวิตที่นอนเรียงกันท่ามกลางดอกชมจันทร์หลับตาลง ไคลน์ปล่อยให้ความคิดของตนกระจัดกระจายทุ่งกว้างอันมืดมิดซึ่งเต็มไปด้วยดอกชมจันทร์ สมุนไพรราตรี และดอกหลับใหล เป็นการสื่อถึงอาณาจักรแห่งเทพธิดา?แล้วภัยอันตรายยามค่ำคืนใน ‘ซากสมรภูมิแห่งเทพ’ เกิดจากอะไรกันแน่?ไคลน์ค่อยๆ จินตนาการถึงค่ำคืนอันหนาวเหน็บ รวมถึงหมอกหนาทึบที่ปกคลุมท้องทะเลในแถบสุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนียท่ามกลางสายหมอกดังกล่าว อีกากำลังบินวนอยู่เหนือวิหารโบราณสีดำสนิท ยอดปลายแหลม คล้ายกับเป็นการรำลึกและไว้ทุกข์ รอบๆ วิหารยังประกอบไปด้วยบ้านที่ดูธรรมดา บ้านไม้เรียบง่าย โรงสีสีเทา และเงาดำของใครบางคนพิจารณาตามเหตุและผล ฉากที่เต็มไปด้วยหมอกหนา สามารถสื่อถึง ‘ค่ำคืน’ และ ‘ความฝัน’ ได้เช่นกัน… อาจเกิดจากออร่าที่ยังหลงเหลือของเทพธิดา หรือไม่ก็ราชาหมาป่าอสูร เฟรเกีย แต่ฉากดังกล่าวไม่เหมือนกับอาณาจักรแห่งเทพธิดาที่เราเห็นเมื่อครู่เลยสักนิด… นั่นสินะ มนุษย์ห้ามส่องความลับเทพ… บางที ทุ่งกว้างอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณ แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่อาณาจักรแห่งเทพ แต่เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากพิธีกรรม… เมื่อตระหนักว่าพิธีมิสซาจันทราดำเนินมาถึงจุดจบ ไคลน์ล้วงมือเข้าไปในเสื้อและหยิบกระเป๋าสตางค์ในท่าถือกระเป๋า ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินไปหน้าแท่นบูชา ภายใต้การเฝ้ามองด้วยสายตาแฝงความเมตตาและอบอุ่นของบิชอปอีเล็คตร้า ไคลน์เดินเฉียงไปหยุดด้านหน้ากล่องบริจาคแตะหน้าอกตัวเองสี่จุดในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา เมื่อวาดจันทร์แดงเสร็จ ไคลน์หย่อนธนบัตรปึกใหญ่ลงไปมูลค่ารวมทั้งสิ้นสามร้อยปอนด์!สำหรับคราวนี้ ไคลน์มิได้รู้สึกเจ็บแปลบหรือไม่เต็มใจเหมือนครั้งก่อน สีหน้าภายนอกเป็นไปอย่างสงบสุขุม เพราะชายหนุ่มยังจำพิธีกรรมที่ลุงนีลล์ใช้ชำระหนี้สินได้ดีย้อนกลับไปในตอนนั้น ภายใต้การอวยพรของเทพธิดา ลุงนีลล์บังเอิญพบกระเป๋าสตางค์ของเศรษฐีคนหนึ่ง ภายในนั้นบรรจุเงินสดไว้มากกว่าสามร้อยปอนด์ถอยหลังกลับหนึ่งก้าว ไคลน์วาดจันทร์แดงอีกครั้ง ก่อนจะหลีกทางให้สาวกคนอื่นเข้ามาบริจาคในหนนี้ บิชอปอีเล็คตร้าเป็นฝ่ายเดินมาทักทายด้วยตัวเอง หลังจากทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก มันกล่าว“ขอให้เทพธิดาอวยพรคุณ”“ขอพระองค์ทรงเมตตา… แต่สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในเวลานี้ก็คือ รับฟังคำเทศนาจากคุณ” ไคลน์ตอบด้วยรอยยิ้มบิชอปอีเล็คตร้าชำเลืองไปยังทางออกด้านข้างโถงสวดมนต์ ตอบกลับ“ถ้าช่วยรอสักสิบห้านาที ผมยินดีเทศนาให้คุณฟังในห้องสมุด”“นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ” ไคลน์ยิ้มอ่อนโยนบิชอปอีเล็คตร้าขอให้นักบวชนำทางดอน·ดันเตสออกจากห้องโถงหลัก ผ่านทางเดินด้านในวิหาร อ้อมไปยังห้องสมุดที่อยู่ใกล้กับบันไดวนที่นี่มีชั้นหนังสือไม้ขนาดใหญ่วางเรียงราย อัดแน่นไปด้วยหนังสือเก่าแก่ที่เกี่ยวกับโบสถ์เทพธิดารัตติกาลเป็นส่วนมาก นอกจากนั้นยังมีมุมวางโต๊ะและเก้าอี้สำหรับให้นักบวชเทศนาสาวกสิบสองนาทีถัดมา บิชอปอีเล็คตร้าเดินเข้าในห้องสมุดด้วยรอยยิ้มสุขุม พบดอน·ดันเตสมาดสง่างามที่มีจอนสีขาวตรงขมับ กำลังยืนอยู่หน้าชั้นไม้ อ่านหนังสือบางเล่มอย่างตั้งใจ บรรยากาศรอบตัวคล้ายนักวิชาการ“กำลังอ่านอะไรหรือ” มันถามด้วยรอยยิ้มไคลน์ปิดหนังสือ ยิ้มตามมารยาท“วิวรณ์แห่งรัตติกาล… ด้วยความสัตย์จริง ถึงผมจะศรัทธาในเทพธิดาอย่างแรงกล้า แต่ชีวิตต้องยุ่งอยู่กับการทำงานตลอดหลายปี ไม่มีโอกาสได้นั่งลงและอ่านพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้อย่างจริงจัง”ระหว่างพูดคุย ชายหนุ่มไม่เผยความผิดปรกติทางสีหน้า แต่ภายในใจรู้สึกกังวลเล็กน้อย เกรงว่าเทพธิดาจะเสกสายฟ้าลงมาสั่งสอน ‘สาวกผู้เปี่ยมศรัทธา’ ดอน·ดันเตสสักหนึ่งบทเรียนไม่หรอกมั้ง… สายฟ้าไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของเทพธิดา… ไคลน์ปลอบใจตัวเองบิชอปอีเล็คตร้ายิ้มตอบ รับหนังสือ ‘วิวรณ์แห่งรัตติกาล’ มาถือ“ไม่มีคำว่าสายเกินไป”มันเชิญให้ดอน·ดันเตสนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ เริ่มอธิบายถึงองค์ประกอบของพระคัมภีร์วิวรณ์แห่งรัตติกาล รวมถึงถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ภายในริชาร์ดสันกำลังถือหมวกและไม้ค้ำของนายจ้าง นั่งห่างออกไปเล็กน้อย รอคอยอย่างเงียบงัน คิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะฟังคำเทศนาผ่านไปสักพัก ขณะไคลน์กำลังแสร้งตั้งใจฟัง สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้นกะทันหัน ฉากหนึ่งผุดขึ้นภายในใจสิ่งนี่คือนิมิตลางสังหรณ์ซึ่งเป็นพลังของ ‘ตัวตลก’ แต่สำหรับไคลน์ พลังของมันถูกยกระดับขึ้นด้วยอำนาจสายหมอกสีเทา!ด้านนอกห้อง ชายชราในชุดคลุมสีดำกำลังเดินผ่านหน้าประตู ตรงไปยังบันไดวนใกล้เคียงผมขาวหงอก ดกหนา แต่ไม่ได้หวีจัดทรง จึงดูค่อนข้างยุ่งเหยิง ใบหน้าซูบผอมคล้ายมีเพียงหนังหุ้มกระดูก บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างเย็นชา สีผิวซีดผิดปรกติ ดวงตาเป็นสีดำล้วนที่หาได้ยากบุคคลดังกล่าวเดินผ่านประตูไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งฝีเท้าเริ่มกลับมาดังขึ้นอีกครั้งจากด้านบนผู้คุม! แต่ไม่ใช่คนที่เราเคยพบในโถงสวดมนต์… วันนี้เป็นเวรของเขาสินะ? ไคลน์มองไปทางบิชอปอีเล็คตร้าอย่างตั้งใจ แสร้งทบทวนเนื้อหาของพระคัมภีร์การที่ ‘ผู้คุม’ ปรากฏตัวในวิหารเวลานี้และเดินผ่านห้องสมุด มันมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพลังของ ‘ผนึก’ ที่อยู่ด้านหลังประตูยานิสจะเพิ่มถึงจุดสูงสุดในช่วงเวลากลางคืน ไม่เหมาะแก่การให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดังนั้น ผู้คุมจึงมักเข้าไปในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น และกลับออกมาหลังจากตะวันตกดินเราต้องบันทึกว่าวันนี้เป็นวันอะไร เป็นเวรของใคร… จากนั้นก็ค่อยๆ เก็บข้อมูล ค้นหาตารางการหมุนเวียนของผู้คุม จะได้กำหนดเป้าได้อย่างเหมาะสม… ไคลน์หยุดคิดเรื่อยเปื่อย กลับมาตั้งใจฟังเทศน์อีกครั้ง จนกระทั่งครบครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มลุกขึ้นและกล่าวคำอำลามันยิ้มให้บิชอปอีเล็คตร้า“หากมีโอกาส ช่วยเป็นเกียรติมาเทศนาผมอีกได้ไหม?”“ไม่มีปัญหา” เมื่ออยู่ต่อหน้าเศรษฐีที่บริจาคเงินมากถึงสามร้อยปอนด์ในคราวเดียว บิชอปอีเล็คตร้ามิอาจตอบปฏิเสธ เพียงพยักหน้ารับอย่างมีความสุข “ตราบใดที่คุณยังแวะเข้ามาวิหารบ่อยๆ และตราบใดที่ผมพอจะมีเวลา”ไคลน์ไม่ซักไซ้รายละเอียด เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย เพียงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจและเดินออกจากวิหารนักบุญแซมมวลพร้อมกับริชาร์ดสัน บุรุษรับใช้ส่วนตัวชายหนุ่มกลับถึงบ้านก่อนสองทุ่ม เพลิดเพลินไปกับอาหารมื้อค่ำ ใช้เวลาว่างอย่างผ่อนคลายจนกระทั่งเข้านอน…กลางดึกสงัด ภายในห้องนอนใหญ่ไคลน์ที่กำลังนอนหลับตา เลิกเปลือกตาขึ้นสัมผัสวิญญาณได้แจ้งกับมันว่า มีใครบางคนแอบเข้ามาในบ้าน!…………………………………….
คอมเม้นต์