ราชันเร้นลับ 731 : เก็บเกี่ยว
ด้ายมายาสีดำที่ยื่นออกจากร่างเซนอลกำลังถูกโยงผ่านฝ่ามือไคลน์ การถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปแต่ละครั้งจะทำให้เกิดท่าทีตอบสนองต่างกันในความเป็นจริง การควบคุมด้ายวิญญาณไม่จำเป็นต้องใช้สองมือ แต่ไคลน์เคยชินกับการทำแบบนี้ เพราะได้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังควบคุมหุ่นเชิดของจริงหืม… จากเท่าที่ดู นักเชิดหุ่นคนอื่นสามารถมองเห็นหุ่นเชิดของกันและกันได้ ดังนั้นต้องคอยระวังตัวให้ดี… ไคลน์สรุปสิ่งที่ค้นพบเบื้องต้น จากนั้นก็หันกลับมาสนใจเซนอลพลเรือเอกโลหิตคนนี้ตายไปแล้ว ร่างวิญญาณเป็นของแถมจากสถานะหุ่นเชิด ไม่หลงเหลืออัตลักษณ์และตัวตนอีกต่อไป ดังนั้น พลังทำนายหลายๆ ชนิดจะไม่มุ่งเป้ามาหาเซนอลอย่างไรก็ตาม การทำนายหา ‘ศพ’ ยังจะใช้ได้ผลอยู่ ไคลน์จึงมีแผนจะฆ่าเชื้อ ‘วิญญาณอาฆาต’ ตนนี้บนมิติเหนือสายหมอก จากนั้นก็ใช้เทวทูตกระดาษห่อหุ้มวัตถุที่สามารถแทนกระจกเงา ให้วิญญาณอาฆาตเข้าไปสิงในวัตถุดังกล่าว และนำวัตถุใส่กล่องบุหรี่โลหะที่ปิดผนึกด้วยกำแพงวิญญาณ เก็บไว้ด้วยกันกับนกหวีดทองแดงอะซิก เป็นการกีดขวางพลังทำนายถึงสามชั้นด้วยเหตุนี้ ไคลน์เชื่อว่าโรงเรียนกุหลาบแทบไม่มีโอกาสทำนายถึงพลเรือเอกโลหิตเพื่อระบุตำแหน่งตนได้เลยสำหรับคำถามที่ว่า มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายจะทิ้ง ‘ลูกเล่น’ ไว้บนร่างเซนอลหรือไม่ ไคลน์ไม่กังวลมากนัก เพราะถ้ามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายทิ้งลูกเล่นไว้บนร่างกายพลเรือเอกโลหิตจริงๆ ในระหว่างที่ครึ่งเทพกำลังต่อสู้กันอยู่ ท่านสามารถทำให้เซนอล ‘กลายพันธุ์’ และเล่นงานตนทันที พิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนั้น โอกาสจัดการสำเร็จมีค่อนข้างมากมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย หรือที่เราควรเรียกว่าเทพผู้ถูกล่าม คงใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมสมาชิกองค์กร อย่างเช่นการฝังคำสาปและพันธสัญญาลงในดวงวิญญาณ… สิ่งนี้สามารถอนุมานได้จากคำอธิบายของมาดามชารอน รวมถึงประสบการณ์ของเราขณะมีปฏิสัมพันธ์กับตะกอนพลังบนเส้นทางที่เกี่ยวข้อง…ตราบใดที่เราไม่ใช้ศพของ ‘พลเรือเอกโลหิต’ ทำนายถามหาความลับของโรงเรียนกุหลาบ หรือสูตรโอสถเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ ปัญหาก็จะไม่เกิด… แม้แต่ตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าที่ถูกเก็บไว้บนมิติหมอกเป็นเวลานาน จนป่านนี้ก็ยังไม่พบความผิดปรกติใดนอกจากนั้น หากผ่านกระบวนการ ‘ฆ่าเชื้อ’ ของมิติหมอก ถึงจะมีปัญหาหลงเหลืออยู่ ก็คงถูกขจัดออกไปแล้ว… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก นำนกหวีดทองแดงอะซิกออกจากตัวบิดมือขวาแผ่วเบา ขยับให้ด้านที่มีลวดลายน้อยหันเข้าหาแสงแดด สะท้อนแสงคล้ายกระจกทันใดนั้น ใบหน้าเซนอลพลันปรากฏบนผิวโลหะของนกหวีดอย่างคมชัดและพลเรือเอกโลหิตตรงหน้าไคลน์ก็หายไปทันทีอา… มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายอาจสามารถระบุตำแหน่งของเราได้อย่างคลุมเครือผ่านพันธสัญญาบางอย่าง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะอีกฝ่ายสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายหมอกสีเทาในตัวเราได้อยู่แล้ว สามารถสัมผัสถึงเราหากเข้ามาอยู่ในระยะ… นอกจากนั้น ถ้าเราใช้เซนอลเป็นโล่ในการต่อสู้ สักวันหุ่นเชิดตัวนี้ก็ต้องถูกทำลาย ไม่มีอะไรต้องกังวล… ไคลน์รู้สึกเหมือนกับคนเร่ร่อนที่กำลังติดหนี้ก้อนโต ภายในใจปราศจากความหวาดกลัว ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแน่นอน ในบางแง่มุม มันกำลังติดหนี้ก้อนโต!วันใดที่เราเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพและซ่อนกลิ่นอายพิเศษของหมอกสีเทาได้หมดจด ถึงตอนนั้นจะเสียหุ่นเชิดไปก็ไม่เป็นอะไร… ไคลน์มองไปรอบตัว ก้มลงหยิบสร้อยคอที่ทำจากเงินแท้ เดินถอยหลังสี่ก้าว ท่องคาถาเสียงต่ำเนื่องจากในคราวนี้ ชายหนุ่มมิได้เข้ามาในหนังสือด้วยพิธีกรรมอัญเชิญร่างวิญญาณ จึงไม่สามารถยุติพิธีกรรมและกลับได้ทันทีหมอกสีเทารายล้อมอย่างรวดเร็ว เสียงเพรียกก้องกังวานตลอดทาง นกหวีดทองแดงอะซิกในมือไคลน์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการเล่นตุกติกอะไรกับร่างกายของพลเรือเอกโลหิตนั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะทองแดงยาว ไคลน์วางนกหวีดทองแดงอะซิกไว้ด้านหน้า บังคับเซนอลที่สวมแจ็คเก็ตสีแดงเข้มและหมวกทรงสามเหลี่ยมใบเก่าให้โผล่ออกมาด้านข้าง ทำท่าทางคล้ายกับพ่อบ้านที่รอรับคำสั่งเจ้านาย“ยังเหลือสิ่งของอะไรในตัวอีก” ไคลน์ตั้งคำถาม ประหนึ่งพลเรือเอกโลหิตกำลังมีชีวิตอยู่ชายหนุ่มกำลังลองสวมบทบาทเป็นนักเชิดหุ่น!ในเวลาเดียวกัน ไคลน์บังคับให้เซนอลค้นทุกกระเป๋าในตัว หยิบธนบัตรสามร้อยยี่สิบห้าปอนด์ สิบหกซูล และแปดเพนนีออกมา นอกจากนั้นยังมีเหรียญทองอีกสามเหรียญบางที อาจเพราะต้องคอยสลับร่างเป็นวิญญาณอาฆาต เซนอลจึงไม่ได้พกสิ่งของติดตัวมากนักจนฉิบ… เป็นถึงนายพลโจรสลัด แต่กลับมีสมบัติวิเศษแค่ชิ้นเดียว? ที่เหลืออยู่กับโรงเรียนกุหลาบ? หรืออยู่กับโจรสลัดลูกน้อง? ไคลน์พิจารณาความเป็นไปได้อย่างจริงจัง ถึงการนำค่าหัวของพลเรือเอกโลหิตไปขึ้นในตลาดมืดชายคนนี้มีมูลค่าสูงถึงสี่หมื่นสองพันปอนด์!ไม่สิ… การไปขึ้นเงินกับอาณาจักรโลเอ็นไม่ใช่เรื่องฉลาด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือโบสถ์วายุสลาตัน พวกมันล้วนต้องการตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย จากนั้นก็จะสอบสวนหาองค์กรลับเบื้องหลัง ไม่มีทางยอมจ่ายค่าหัวแน่ หรือถ้าจ่ายก็ต้องเป็นกับดัก…ด้วยเหตุผลเดียวกัน ศาสนจักรและรัฐบาลของอาณาจักรอื่นคงมีแนวคิดไม่ต่างกันมากนัก ถึงทัศนคติอาจดีกว่าเล็กน้อย แต่การขึ้นค่าหัวก็ยังต้องแบกรับความเสี่ยงสูง…นอกจากนั้น เราไม่จำเป็นต้องรีบ ไว้ค่อยอยากเปลี่ยนหุ่นเชิด ค่อยส่งตัวเซนอลไปขึ้นค่าหัวก็ไม่สาย… การมาเป็นหุ่นเชิดสักพักไม่ได้ทำให้ค่าหัวลดลงสักหน่อย… ไคลน์นึกทบทวนความคิดตัวเอง มองไปยังสร้อยสีเงินที่ห้อยจี้คล้ายเหรียญโบราณชายหนุ่มใช้พลังทำนาย ตรวจสอบต้นกำเนิดและพลังของสร้อยคร่าวๆมีต้นตอมาจากลำดับ 5 ‘ผู้ชนะ’ ของโรงเรียนชีวิต หลังจากสุภาพบุรุษรายนี้เสียชีวิตลงด้วยเงื้อมมือของครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบ ตะกอนพลังได้รวมเข้ากับสร้อยเงินธรรมดาที่เขาพกติดตัว เกินเป็นสมบัติวิเศษส่วนคำถามที่ว่า ทำไมยอดฝีมือลำดับ 5 ถึงสวมสร้อยเงินธรรมดาๆ ไคลน์มิอาจทำนายหาคำตอบ อาจเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นนานแล้ว หรือไม่ก็ถูกกัดกร่อนจนบิดเบี้ยวสมบัติวิเศษชิ้นนี้มีประโยชน์สองสิ่ง หนึ่งคือการทำให้ผู้สวมใส่ประสบความโชคดี หากเป็นในชีวิตประจำวันปรกติ เจ้าของสร้อยจะพบเจอสิ่งดีๆ เป็นระยะ งานการลุล่วงอย่างง่ายดาย แต่หากเผชิญกับอันตรายร้ายแรงระหว่างต่อสู้ จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ช่วยให้รอดชีวิตได้ราวกับปาฏิหาริย์ โดยผลของอย่างหลังจะอยู่ได้นานสิบนาทีประการที่สอง มอบโชคร้ายกับศัตรูแบบสั่งได้ ทำให้เป้าหมายอับโชค ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวันหรือการต่อสู้ ทุกการกระทำมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุผลเสียของสร้อยก็คือ ‘กฎการอนุรักษ์โชคชะตา’ หากประสบความโชคดี ผู้สวมก็ต้องเผชิญโชคร้ายเป็นการแลกเปลี่ยน ถ้าเคยโชคดีมากแค่ไหน ความโชคร้ายก็จะรุนแรงในระดับเดียวกัน ผลข้างเคียงของมันทำให้เจ้าของต้องมีสมาธิตลอดเวลา คอยหลบหลีกความผิดปรกติรอบตัวอย่างตั้งใจ ไม่งั้นอาจเสียชีวิตเอาง่ายๆ ในสภาพน่าสมเพช อีกทั้งยังมีฤทธิ์เล่นงานคนรอบตัวสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ดวงชะตาจะพลิกผันหลังจากประสบความโชคดีครบหนึ่งเดือน โดยไม่ว่าจะสวมสร้อยไว้หรือไม่ โชคร้ายก็จะยังตามหลอกหลอน แต่ถึงอย่างนั้น ความโชคร้ายจะค่อยๆ มาในรูปแบบที่ไม่รุนแรงนัก ระดับความอันตรายไม่สูงมากหากเป็นกรณีของโชคดีที่ได้รับในการต่อสู้ เมื่อผ่านไปครบสิบนาที โชคร้ายจะย้อนกลับมาเล่นงานด้วยความรุนแรงที่เท่าเทียมประเมินจากภาพรวม มันเป็นสมบัติวิเศษที่ค่อนข้างดี แต่ไม่มีประโยชน์กับเราสักเท่าไร เพราะแม้แต่ ‘สภาแห่งชะตา’ ริคคาร์ดก็ยังมีพลังไม่มากพอจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเรา… เอาเป็นว่า ตอนนี้ใส่ไปก่อนก็แล้วกัน เพราะมันแทบไม่ส่งผลเสียกับเราเลย ถ้ามีก็โอกาสขายก็จะไม่ลังเล รีบใช้หนี้ของมิสผู้ส่งสารให้หมด… มิสผู้ส่งสารต้องการเหรียญทอง การแลกเปลี่ยนเหรียญทองหนึ่งหมื่นเหรียญผ่านธนาคารทั่วไปและตลาดมืดในคราวเดียวคงทำได้ยาก… ดูเหมือนว่าต้องแบ่งงานกันทำ ค่อยๆ ให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ช่วยกันรับผิดชอบ… ไคลน์สรุปแผนการในอนาคต ถือวิสาสะมอบชื่อใหม่ให้สร้อยคอ“ตาชั่งโชคชะตา!”จากนั้น ชายหนุ่มจ้อง ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลที่ยืนอยู่ด้านข้าง ศึกษาอย่างถี่ถ้วนว่าวิญญาณอาฆาตมีพลังแบบใดบังคับสิงร่าง ควบคุมร่าง เสียงหวีดร้องของวิญญาณอาฆาต ผิวกระจกสั่นไหว ทะลวงผ่านสิ่งกีดขวาง คาถามรณะ และการหายตัวที่ผู้วิเศษลำดับต่ำถึงกลางตรวจจับไม่ได้… ไคลน์ระบุทีละหนึ่ง และนำมาผนวกกับข้อมูลที่ชารอนกับมาริคเคยเล่าให้ฟัง รวมถึงประสบการณ์ต่อสู้จริงชายหนุ่มรีบสรุปผล ด้วยเกรงว่าเทียนไขในโลกจริงจะดับมอดเสียก่อน ถ้ำที่ปราศจากแสงสว่างไม่เป็นมิตรกับคนที่กลัวความมืดสักเท่าไรไคลน์เสกกระดาษรูปคนขึ้นจากกองขยะ จับคู่กับไพ่จักรพรรดิมืด อาศัยพลังของมิติเหนือหมอกสีเทาเล็กน้อย ผสานกันเป็น ‘เทวทูต’ ที่สามารถต่อต้านการทำนายถึงเทวทูตกางปีกออก โอบกอดเหรียญทองแนบแน่น ผิวเหรียญกำลังสะท้อนใบหน้าของเซนอลถัดมา ไคลน์นำเหรียญทอง นกหวีดทองแดงอะซิก ลูกโม่ลางมรณะ กระเป๋าเดินทาง และสิ่งของจิปาถะกลับสู้โลกความจริง ส่วนยุบพองหิวโหยและการเดินทางของกรอซาย อย่างแรกเป็นเพราะไม่มีอาหาร ส่วนอย่างหลังไม่ควรพกติดตัวนานเกินไป ไม่อย่างนั้นอาจดูดไคลน์เข้าไปในหนังสือกะทันหัน พวกมันจึงต้องถูกทิ้งไว้ในกองขยะของห้วงมิติเหนือหมอกสีเทากลับมายังถ้ำ ไคลน์นำเหรียญทองและนกหวีดทองแดงอะซิกบรรจุลงในกล่องบุหรี่โลหะ ลงมือผนึกด้วยกำแพงวิญญาณอีกชั้นหลังจากเก็บกวาดที่เกิดเหตุและเปลี่ยนเป็นชุดสุภาพ ชายหนุ่มแบกกระเป๋าเดินทาง เดินไปตามย่านชุมชนริมชายหาด จนกระทั่งพบว่าตัวเองอยู่ในบริเวณใกล้เคียงท่าเรือพริสต์ไคลน์ไม่ตรงกลับเบ็คลันด์ทันที แต่เปลี่ยนใบหน้า ขึ้นรถจักรไอน้ำ มุ่งหน้าไปยังเมืองคอนแนนท์ในอ่าวเดซีย์ โดยมีแผนจะอ้อมจากที่นั่นกลับเบ็คลันด์และเปลี่ยนตัวตนอีกครั้ง…ท่าเรือแบนชีท่ามกลางแสงแดดยามบ่าย อัลเจอร์·วิลสันมองดูเมืองที่ถูกทำลายย่อยยับอาคารบ้านเรือนกลายเป็นเศษซาก พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ ร่องรอยไหม้เกรียมหลายจุดฉากทำนองนี้ทอดยาวเข้าไปในส่วนลึกของเกาะ แม้แต่ภูเขาก็ยังถล่มปัจจุบันไม่มีคนของโบสถ์วายุสลาตันคอยเฝ้าระวังรอบซากปรักหักพัง เนื่องจากที่นี่ไม่หลงเหลืออะไรแล้ว ส่วนแผนการสร้างท่าเรือใหม่ยังไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมอัลเจอร์กระโดดลงจากโทสะสีคราม เดินวนเวียนในซากปรักหักพัง ไม่พบสิ่งของมีค่า“ไปกันเถอะ” มันออกคำสั่งเยือกเย็นเพียงไม่นานก็กลับขึ้นเรือ แล่นออกจากเกาะผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ร่างหนึ่งโผล่ออกจากส่วนลึกของซากปรักหักพังสวมเสื้อคลุมนักบวชสีดำกระดุมสองแถว ผมสีทองเข้ม ใบหน้าชัดลึก คล้ายกับประติมากรรมโบราณ ปราศจากริ้วรอยใดๆรูม่านตาเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ดูราวกับไร้วิญญาณ แต่หากมองเข้าไปจะพบเส้นเลือดฝอยจำนวนมหาศาลอัดแน่น……………………………………………………
คอมเม้นต์