ราชันเร้นลับ 697 : การดำเนินของเรื่องราว
ไม่ว่าจะพูดภาษาใด ทุกคนล้วนเข้าใจตรงกัน? ไคลน์มองข้ามประโยคแรกและเพ่งความสนใจไปยังประโยคหลังที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแม้ที่นี่จะเป็นโลกในหนังสือการเดินทางของกรอซาย สามารถเกิดเรื่องมหัศจรรย์แบบใดขึ้นก็ได้ แต่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยก็สามารถบ่งชี้ถึงปัญหาบางอย่างได้เช่นกัน!สำหรับไคลน์ สิ่งที่แปลกไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนเข้าใจคำพูด แต่เป็นหลักการที่ ‘ช่วย’ ทำให้ทุกคนเข้าใจความหมายตรงกันน่าแปลก… นี่เป็นกฎของโลก หรือว่าเบื้องหลังจะมีบุคคลที่ถือครองอำนาจเหนือทุกสิ่งคอยแปลภาษาให้? เหมือนกับเราในชุมนุมทาโรต์… ถ้าเป็นอย่างแรก ภาษาคนยักษ์จะไม่คุ้นหูสำหรับคนที่ไม่เคยฟัง แต่สามารถเข้าใจได้ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง คนฟังจะรู้สึกคุ้นเคย… เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณและภาษาที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับ ไคลน์จึงมิอาจระบุได้ชัดเจนว่าเป็นกรณีไหน ชายหนุ่มตัดสินใจลดฝีเท้าลง เดินด้วยความเร็วเท่าเดนิส ลดระดับเสียงถาม“นายได้ยินกรอซายพูดภาษาอะไร”เดนิสชะงัก ทำท่านึก“ภาษาที่ฟังดูคุ้นเคย แต่ก็เหมือนจะไม่คุ้นเท่าไร… แต่ฉันสามารถเข้าใจความหมายทั้งหมดได้”ภาษาในศาสตร์เร้นลับที่เดนิสคุ้นเคยคือเฮอร์มิสโบราณและเอลฟ์ ส่วนภาษาคนยักษ์ยังมีความรู้เพียงพื้นฐานเข้าใจแล้ว โลกใบนี้มีกฎการแปลภาษาร่วมกัน… เป็นการแปลความหมายระดับจิตใต้สำนึก… หรือกล่าวได้ว่า โลกของหนังสือสามารถมีกฎที่แตกต่างจากโลกภายนอก สามารถเปลี่ยนแปลง ‘กฎธรรมชาติ’ ได้บางส่วน แต่ก็ไม่ฉีกไปจากกฎของโลกภายนอกมากนัก… คงต้องตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันเรื่องนี้ให้แน่ใจ อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ในเรื่องอื่นออก ยกตัวอย่างเช่น การมีตัวตนแบบ ‘เดอะฟูล’ คอยแปลภาษาใส่จิตใต้สำนึกของทุกคน… เอ็ดวิน่าหลักแหลมมาก สามารถพบความผิดปรกติในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย จนนำไปสู่การค้นหาแก่นของโลกภายในหนังสือ… ขณะครุ่นคิด ไคลน์เดินเข้าไปในถ้ำขนาดใหญ่ที่มืดสลัวอย่างไม่รีบร้อนสำหรับประวัติศาสตร์พิสดารที่ชาวค่ายเล่าให้เอ็ดวิน่าฟัง ไคลน์ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร ตรงกันข้าม ชายหนุ่มกำลังรอฟังอย่างสนใจไคลน์ทราบมานานแล้วว่า โบสถ์หลักและอาณาจักรบนทวีปเหนือล้วนพยายามทำลายหรือปกปิดข้อมูลบางอย่าง ไม่อยากให้ใครทราบความจริงเบื้องหลังยุคสมัยที่สี่ สาม และสอง เนื้อหาที่ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลกจึงแตกต่างจากข้อมูลที่ชาวค่ายรับรู้ พวกเขาติดอยู่ในหนังสือนานหลายปีโดยไม่ได้ออกไปสัมผัสกับโลกภายนอกนั่นคือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ไคลน์ตัดสินใจเสี่ยงเข้ามาในโลกหนังสือ!ภายในถ้ำกว้างและอากาศโปร่ง สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์สามคนกำลังกระจายตัวรอบกองไฟที่ยังคงมอบความร้อนคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวเรียบง่าย หันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ ดวงตาสองข้างปิดสนิท สวดวิงวอนบางสิ่งอย่างตั้งใจ พิจารณาจากภายนอก อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนที่ยังไม่แก่มาก บนใบหน้ามีริ้วรอยเล็กน้อย ผมสีน้ำตาล ตามหัวไหล่ แขน น่อง และเท้า เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นถัดมาด้านข้างเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับบนก้อนหิน สวมชุดเกราะสีดำสนิท มอบความรู้สึกหนักและแข็ง ในมือถือดาบสีดำแผ่แสงเย็นยะเยือก ใบหน้าชัดลึกคล้ายกับชาวโลเอ็นฝั่งตรงข้ามคนทั้งสองเป็นชายอายุราวสามสิบ แต่งกายพิลึก มอบความรู้สึกชวนอึดอัดแก่ผู้พบเห็น สวมหมวกแหลมทรงแข็งสีดำ กระดุมเสื้อยุ่งเหยิง ไม่เรียงเป็นเส้นตรงหรือสมมาตรนอกจากนั้นยังสวมรองเท้าบูตหนังหัวแหลมและโค้งขึ้น คล้ายกับตัวตลกในคณะละครสัตว์ใบหน้าหล่อเหลา เส้นผมสีทองอมเทา ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเรียว ถึงจะอยู่ในท่านั่งก็ยังมอบความรู้สึกสง่างามและเย่อหยิ่งเอ็ดวิน่าชี้ไปทางชายคนดังกล่าวและเริ่มแนะนำตัว“ไวเคาต์แห่งจักรวรรดิโซโลมอน โมเบธ·โซโรอาสเตอร์ สุภาพบุรุษผู้สามารถพรากความฝันและอุดมคติของผู้อื่น”“ไม่ต้องอ้อมค้อมขนาดนั้น สวัสดี ข้าคือลำดับ 5 แห่งเส้นทางนักจารกรรม ‘นักชิงฝัน’ ” โมเบธหัวเราะ มิได้เย่อหยิ่งเหมือนภายนอกคนของตระกูลโซโรอาสเตอร์… เทวทูตปรสิตในตัวเลียวนาร์ดเองก็มาจากตระกูลนี้ พวกเขาอาจจะรู้จักกันก็ได้… ช่างน่าขัน ตอนนี้เรารู้จักชื่อของทั้งลำดับ 5 และ 4 แห่งเส้นทางนักจารกรรม แต่กลับยังไม่มีข้อมูลของลำดับ 7 กับ 6 เลย… ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยขณะเดียวกัน แอนเดอร์สันยิ้มทักทายและถามอย่างเป็นกันเอง“ขอสารภาพตามตรง ฉันเพิ่งเคยได้ยินชื่อ ‘นักชิงฝัน’ เป็นครั้งแรก เดิมทีรู้จักแต่ ‘นักจารกรรม’ และ ‘นักต้มตุ๋น’ … ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกสองลำดับที่หายไปคืออะไร”“ผู้วิเศษเส้นทางนี้หายากขนาดนั้นเชียว? แต่ทำไมเอ็ดวิน่าถึงทราบ? ลำดับ 7 มีชื่อว่า ‘นักถอดรหัส’ ลำดับ 6 คือ ‘นักชิงไฟ’ ฮะฮะ! มา… เดี๋ยวข้าช่วยแนะนำคนที่เหลือให้เอง” โมเบธชี้ไปทางชายผู้กำลังหันหลังสวดภาวนา “นักบวชเคร่งศาสนา สโนวมัน ศรัทธาในพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง… อย่าได้ถือสาเขาเลย ถึงจะเอาแต่ปิดกั้นตัวเองและจมอยู่กับความเชื่อ แต่ในยามต่อสู้ เจ้านั่นคือพวกพ้องที่ไว้ใจได้ เฮ้! สโนวมัน ในเวลาแบบนี้ ข้าคิดว่าเจ้าควรพูดอะไรกับพวกเขาหน่อยนะ”หลังจากไม่ได้รับการตอบสนองใด โมเบธเพียงยิ้มแห้งและลูบคาง“ข้าต้องเจออะไรแบบนี้ทุกวัน… พวกเจ้าคงจินตนาการไม่ออก ข้ามาถึงที่นี่ด้วยความโอหัง เย่อหยิ่งตามประสาขุนนางผู้มีการศึกษาสูง แต่กาลเวลาได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง… ฮะฮะ! โดยเฉพาะเมื่อพวกพ้องของเจ้าเป็นคนยักษ์ที่รู้จักแค่การหัวเราะและตะโกนปลุกใจล่ะนะ”กล่าวจบ กรอซายที่นั่งบนก้อนหินใหญ่ หันมายิ้มให้ทุกคนอย่างจริงใจพลางยกมือเกาหัว ดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวงปราศจากความดุร้ายและดูแคลน แตกต่างจากในข่าวลือโดยสิ้นเชิงโมเบธส่ายหน้า ชี้ไปทางนักบวชสโนวมันและเล่าต่อ“สโนวมันเป็นคนพูดน้อย บางทีอาจไม่คุยกับใครเลยนานนับสิบปี ส่วนเอลฟ์หญิงตรงนั้น เซียธาส เป็นผู้หญิงป่าเถื่อน ถ้าเกิดหงุดหงิดขึ้นมาก็จะลงไม้ลงมือกับข้าทันที เฮ่อ… ข้าเคยชอบหล่อน แต่ตอนนี้ทำได้แค่กลัว… ข้าพยายามชวนทุกคนคุย เพราะเกรงว่าตัวเองจะกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน… แต่โชคยังดี ภายหลังมีรอนเซลตามมาสมทบ เขาเป็นคนช่างพูด เฮ้! รอนเซล ตื่นได้แล้ว! พวกเรามีเพื่อนร่วมทางเพิ่ม!”อัศวินเกราะดำค่อย ๆ ตื่นจากภวังค์หลับ ลืมตาขึ้น มองไปทางไคลน์และคนที่เหลือทันใดนั้น รอนเซลพลันลุกพรวดจนเกิดเสียงโลหะเสียดสี จ้องไคลน์อย่างไม่กะพริบตา“ชาวโลเอ็น?”“ใช่” ไคลน์พยักหน้ารับ ขณะเดียวกันก็พบว่า ทหารชาวโลเอ็นที่หายตัวไปนานกว่าหนึ่งร้อยหกสิบห้าปีผู้นี้ มิได้แก่ลงเลยสักนิด เส้นผมยังดำขลับสุขภาพดี ดวงตาสีฟ้าคมเข้ม แผ่บรรยากาศข่มขวัญอย่างเจือจางรอนเซลผงะไปสักพัก ก่อนจะรีบกลับไปสำรวม“รู้จักตระกูลเอ็ดเวิร์ดในกรุงเบ็คลันด์ไหม?”“เบ็คลันด์มีหลายเอ็ดเวิร์ด” ไคลน์ตอบห้วน“…ตระกูลเอ็ดเวิร์ดที่อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 18 ถนนเดลาไฮในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ” รอนเซลถามด้วยสีหน้าคาดหวังไคลน์ส่ายหัว“ปัจจุบันไม่มีเขตตะวันตกเฉียงเหนือ”“ไม่มีเขตตะวันตกเฉียงเหนือ…” รอนเซลพึมพำในลำคอมันเงียบไปสักพัก ถอนหายใจยาว“ฉันไม่รู้ว่าข้างนอกผ่านไปกี่ปีแล้ว คงจะหลายปีมาก… เอ็ดวิน่าเคยระบุปีปัจจุบันให้ฟัง แต่ฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองเข้ามาตอนไหน… ส่วนใหญ่ก็เอาแต่นอนหลับ คล้ายกับเวลาที่นี่ไม่เดินหน้าเลยสักนิด”ได้ยินเช่นนั้น โมเบธหัวเราะในลำคอ“เจ้าก็แค่โชคร้ายกว่าคนอื่น เมื่อก่อนพวกเราเคยอาศัยในเมืองและหมู่บ้าน บรรยากาศที่นั่นงดงามมาก ทุกคนเต็มไปด้วยความสุข”โมเบธมองไปทางไคลน์ แอนเดอร์สัน และเดนิส“ย้อนกลับไปในตอนนั้น พวกเราอาศัยในถิ่นของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา พวกเราแต่งงานหนแล้วหนเล่า ได้เห็นภรรยาหลายคนแก่เฒ่าและตายไปต่อหน้า… เฮ่อ… ก่อนที่จะมีสมาชิกใหม่เข้าร่วม พวกเราเคยหลงลืมจุดประสงค์ที่แท้จริง มัวแต่ใช้ชีวิตเสพสุขไปวัน ๆ นานหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี… ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ พวกเราไม่สามารถมีทายาทได้… หลังจากได้พบรอนเซล พวกเราเริ่มเดินทางมายังดินแดนที่มีแต่พายุหิมะปกคลุมแห่งนี้ ล่าสัตว์ประหลาดมากไปมากมาย แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ทุกสิ่งก็เริ่มกลับสู่ความสงบนิ่ง ทุกคนเอาแต่นอนกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยตื่นมาทำอะไร จนกระทั่งพวกเราได้พบกับเอ็ดวิน่า”หรือสรุปได้ว่า เวลาภายในโลกหนังสือยังคงเดินไปตามปรกติ แต่เนื้อเรื่องจะไม่คืบหน้าจนว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับคณะเดินทาง… หากไม่มีสมาชิกใหม่เข้าร่วม เรื่องราวจะหยุดนิ่งที่จุดใดจุดหนึ่ง คณะเดินทางจะทำกิจวัตรเรื่อยเปื่อยที่ไม่เกี่ยวข้องกับความคืบหน้าของเรื่องราว… นี่คงเป็น ‘กฎ’ แบบเดียวกับการแปลงภาษาในระดับจิตใต้สำนึก…ถ้าอย่างนั้น… ในทางกลับกัน เมืองและหมู่บ้านของโลกหนังสือจะมีพัฒนาการตามปรกติไหม? เรื่องนั้นช่างมันก่อน… พวกเราต้องรีบตามหา ‘ราชาแห่งแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนให้พบโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นตัวเราก็จะง่วงซึมและเอาแต่นอนหลับเหมือนพวกเขา… อาจถึงขั้นลืมจุดประสงค์หลัก ต้องใช้ชีวิตไปจนกว่าจะมีสมาชิกใหม่เข้าร่วมและหาพวกเราพบ… ไคลน์เงียบงันหลายวินาที ขณะเตรียมกล่าวบางสิ่ง เอ็ดวิน่าชิงพูดตัดหน้า“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล… เรากำลังจะได้พบกับราชาแห่งแดนเหนือ”“เหตุผล?” แอนเดอร์สันและโมเบธถามพร้อมกันเอ็ดวิน่ามองไปรอบตัว อธิบาย“ก่อนที่ฉันจะเข้ามา บันทึกการเดินทางเหลือหน้ากระดาษในส่วนที่ติดกันอีกแค่ไม่กี่แผ่น… และตอนนี้ เมื่อพวกคุณเข้ามาเพิ่มและหาค่ายพบ เรื่องราวก็จะเริ่มดำเนินต่อ บางทีอาจใกล้ถึงตอนจบแล้ว”โมเบธพยักหน้ารับ เห็นพ้องกับข้อสันนิษฐานของเอ็ดวิน่า ส่วนแอนเดอร์สันเพียงพึมพำคำว่า ‘หน้ากระดาษที่ติดกัน’จากนั้น เอ็ดวิน่าหันไปส่งสัญญาณให้ไคลน์ แอนเดอร์สัน และเดนิส ก่อนจะเดินไปนั่งข้างกองไฟเป็นเยี่ยงอย่างไคลน์ถอดหมวกออก นั่งลงในท่าถือไม้ค้ำด้วยมือข้างหนึ่ง ชำเลืองไปทางโมเบธและยิงคำถาม“เคยได้ยินเรื่องของจักรวรรดิทูดอร์กับทรันซอสต์ไหม?”ชายหนุ่มไม่มัวอ้อมค้อม ซักถามตรงประเด็นตามแบบฉบับเกอร์มัน·สแปร์โรว์“ไม่” โมเบธส่ายหน้า “เอ็ดวิน่าก็เคยถามแบบเดียวกัน… ในยุคสมัยของข้า ทูดอร์และทรันซอสต์มีระดับเดียวกับโซโรอาสเตอร์ เป็นตระกูลขุนนางใหญ่ของจักรวรรดิโซโลมอน รับใช้จักรพรรดิมืดเพียงผู้เดียว”หมายความว่า ทูดอร์กับทรันซอสต์หักหลังจักรวรรดิโซโลมอน… ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถามต่อ“นอกจากคุณ จักรวรรดิโซโลมอนยังมีตระกูลขุนนางอีกเยอะไหม”“เยอะมาก” โมเบธยิ้มพลางมองแผ่นหลังรอนเซล “ออกัสตัส อับราฮัม ซาราธ และอื่น ๆ ที่กล่าวไม่หมด… ในยุคสมัยดังกล่าว ศัตรูตัวฉกาจของโบสถ์รัตติกาลคือโบสถ์เทพสงครามและราชวงศ์อายเกสแห่งทวีปใต้ ส่วนโบสถ์วายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้ก็ไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไร ทั้งหมดล้วนปรารถนาให้จักรวรรดิโซโลมอนหนุนหลัง”โมเบธชะงักสองสามวินาที กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“ในช่วงเวลานั้น เหล่าทวยเทพยังเดินดิน มิใช่บนโลกแห่งดารา”
คอมเม้นต์