ราชันเร้นลับ 696 : คนยักษ์ผู้พิทักษ์
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีแรงกดดันมหาศาลบินผ่าน การเคี้ยวของแอนเดอร์สันพลันหยุดชะงัก รอจนกระทั่งอีกฝ่ายบินหายไป จึงค่อยกลืนเนื้อกระต่ายที่เหลือและหันไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์“นั่นคือมังกรที่นายหมายถึง?”ไคลน์พยักหน้ารับ บอกเป็นนัยว่าข้อสันนิษฐานของอีกฝ่ายถูกต้องมุมปากแอนเดอร์สันยกขึ้นเล็กน้อย ดูไม่ออกว่ากำลังหัวเราะหรือร้องไห้“ฉันคิดว่านายหมายถึงมังกรเด็กหรือวัยรุ่น… ไอ้ตัวที่เพิ่งบินผ่านไปมันออกจะ… เฮ่อ ฉันคงเป็นนักล่ามังกรไม่ได้แล้ว อย่างมากก็เป็นได้แค่อุจจาระมังกร… ล่ะนะ”พลังข่มขวัญของราชาแห่งแดนเหนือรุนแรงมาก… ไม่ด้อยไปกว่าสัตว์ประหลาดเศษเนื้อเย็บติดกันซึ่งมีพลังกระตุ้นให้เส้นขนงอกยาว ที่เราได้พบบนอนาคตกาลเลยสักนิด… บางทีอาจเป็นลำดับ 4… ระดับครึ่งเทพ… ไคลน์วิเคราะห์อย่างเยือกเย็น ไม่เผยความตื่นตระหนักหรือหวาดกลัวชายหนุ่มยังคงไม่ลืม จากเรื่องราวที่หนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ บันทึกไว้ แม้โจรสลัดหญิงจะถูกราชาแห่งแดนเหนือจู่โจม แต่สุดท้ายเธอก็หนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด จนพบกับคณะเดินทางของตัวเอกที่นำโดยคนยักษ์กรอซายเอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดไม่ใช่ครึ่งเทพอย่างแน่นอน เธอคือลำดับ 5 ของเส้นทางนักอ่าน แถมยังถูกดูดเข้าไปในหนังสืออย่างกะทันหัน สมบัติวิเศษหรือสมบัติปิดผนึกส่วนใหญ่ยังอยู่ในห้องกัปตัน พกติดตัวไว้เพียงไม่กี่ชิ้นที่ใช้งานบ่อย…ด้วยสภาพดังกล่าว เธอกลับยังรอดชีวิตจากการจู่โจมของราชาแห่งแดนเหนือ ไคลน์จึงเชื่อว่า ลำพังการหนีเอาตัวรอดคงไม่ยากเกินความสามารถของตนที่เพิ่งเลื่อนลำดับและปรับเปลี่ยนพลังในถุงมือ แถมยังมีอีกหนึ่งตัวช่วยอย่างการสวดภาวนาถึงห้วงมิติเหนือสายหมอกและยืมพลังคทาเทพสมุทรนี่คือเหตุผลที่ทำให้ไคลน์กล้าตามเข้ามาในหนังสือ ชายหนุ่มยืนยันแล้วว่าเดนิสสามารถสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลได้ตามปรกติอา… ราชาแห่งแดนเหนือไม่น่าจะเป็นสัตว์วิเศษบนเส้นทางทั่วไป อ้างอิงจากคำบอกเล่าของพลเรือโทธารน้ำแข็ง มันน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งที่ดูดซับตะกอนพลังเกี่ยวกับน้ำแข็งหลากหลายชนิดเข้าไป พลังจึงใกล้เคียงกับครึ่งเทพในบางเส้นทาง แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนในด้านอื่น… ถ้ามีเรา เอ็ดวิน่า แอนเดอร์สัน รวมถึงทีมผู้วิเศษของคณะเดินทางตัวเอก โอกาสเอาชนะก็ไม่ริบหรี่เสียทีเดียว! หรือต่อให้หมดสิ้นหนทาง เราก็ยังมีคทาเทพสมุทร หนังสือเล่มนี้ไม่มีทางกีดขวางพลังจากมิติหมอกได้แน่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราคงพบความผิดปรกติได้นานแล้ว… ไคลน์ที่ยืนข้างกองไฟ หันไปทางแอนเดอร์สันพลางยิ้ม“กลัวหรือ?”แอนเดอร์สันชะงักเล็กน้อย ยิ้มตอบและกล่าว“ไม่เลยสักนิด… แต่นายดูมั่นใจมากเลยนะ”กล่าวจบ มันส่ายหน้าเล็กน้อยพลางมองไปทางเดนิสที่ยังคงเผยอาการสั่นกลัวให้เห็น แม้จะพยายามข่มแล้วก็ตาม“ตามความคิดของนาย สิ่งใดสำคัญที่สุดสำหรับลูกผู้ชาย”เดนิสที่กำลังสูดลมหายใจเข้าลึก สะดุ้งเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำถามไม่คาดฝัน ไม่กี่อึดใจถัดมา มันเหยียดนิ้วชี้และนิ้วกลางออก ชี้ลงไปที่เป้ากางเกงตัวเองแอนเดอร์สันกะพริบตาหนึ่งครั้ง ระเบิดเสียงหัวเราะ“สัปดนจริง… พวกโจรสลัดนี่หยาบคายชะมัด… ฮะฮะ! ฉันเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ประโยคเมื่อครู่ของนายดันทำให้ลืมไปหมด…”“…”“อ๊ะ! นึกออกแล้ว ที่ฉันอยากจะบอกคือความกล้าหาญ สิ่งสำคัญที่สุดของลูกผู้ชายคือความกล้าหาญ! ลองดูตัวนายในตอนนี้สิ ยังไม่ทันที่มังกรนั่นจะโจมตี ก็เอาแต่สั่นกลัวจนแทบจะใช้มือกุมหัวร้องขอชีวิตอยู่แล้ว!”ใบหน้าเดนิสพลันแดงก่ำ หันไปถลึงตาใส่อีกฝ่ายหมอนี่ไม่เคยทำตัวแบบนี้บนเกาะทอสคาร์เตอร์… ไคลน์พึมพำขณะเดนิสเตรียมโต้เถียงว่านั่นเป็นอิทธิพลจากแรงกดดันของมังกร โจรสลัดคนดังพลันฉุกคิดบางสิ่งได้ สีหน้าจึงเริ่มกลับเป็นปรกติ ตอบโต้อย่างเยือกเย็น“ก็ยังดีกว่าคนที่เปรียบตัวเองเป็นอุจจาระมังกรล่ะนะ”รอยยิ้มแอนเดอร์สันพลันเลือนหาย มันกระแอมแห้งหนึ่งหน ฉีกขากระต่ายออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยื่นไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์“นายไม่กินหรือ”ไคลน์เงียบงันหนึ่งอึดใจ ส่ายหน้าเชื่องช้า“โลกใบนี้เต็มไปด้วยความพิสดาร หากยังยืนยันไม่ได้ว่าปลอดภัย พวกเราก็ไม่ควรกินอะไรส่งเดช… ถึงจะเป็นแค่เนื้อกระต่าย แต่มันอาจทำให้นายต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”“…” แอนเดอร์สันยกขากระต่ายมาจ่อดมจมูกเล็กน้อย ก่อนจะวางลงด้วยสีหน้ามืดหม่น “แล้วทำไมนายไม่บอกให้เร็วกว่านี้”ไคลน์ตอบเย็นชา“ฉันเพิ่งคิดได้”ใบหน้าแอนเดอร์สันบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะก้มศีรษะลงและรีบกัดน่องกระต่ายย่างคำใหญ่“นี่นาย…! ไม่กลัวเลยรึไง?” พฤติกรรมของนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดทำให้เดนิสเผยสีหน้าตกตะลึงแอนเดอร์สันยิ้มอย่างจนปัญญา“ฉันกินไปแล้วขาหนึ่ง ป่านนี้คงย่อยเรียบร้อยแล้ว… ในเมื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมตัวเองไม่ได้ ขอมีความสุขจนถึงที่สุดก็แล้วกัน”ไคลน์และเดนิสหมดคำจะกล่าวไปพักใหญ่หลังจากกินขากระต่ายเสร็จ แอนเดอร์สันตั้งคำถาม“พวกนายจะไม่กินจริง ๆ หรือ? พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนบนโลกใบนี้ ถ้าปล่อยให้ท้องหิว จะเหลือเรี่ยวแรงไปสู้กับสัตว์ประหลาดอย่างมังกรได้ยังไง”ไคลน์ไม่ตอบทันที เพียงหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝา“ตอนนี้เวลาข้างนอกคือ… หกโมงเย็นกับอีกสิบนาที… ถัดจากนี้อีกราวสี่ถึงหกชั่วโมง ถ้าไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับนาย พวกเราจะลองหามื้อเบา ๆ กิน”“…” แอนเดอร์สันทำได้เพียงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกไคลน์เมินอีกฝ่าย หันไปทางเดนิสและกล่าว“พักสิบห้านาที จากนั้นจะออกตามหากัปตันของนาย”ขณะพูด ชายหนุ่มล้วงหยิบต่างหูไข่มุกของพลเรือโทธารน้ำแข็ง“ตกลง!” เลือดลมในตัวเดนิสพลันสูบฉีด ความหนาวเหน็บในใจพลันสลายเป็นปลิดทิ้งผ่านไปเจ็ดแปดวินาที เดนิสกลับไปผิงกองไฟอีกครั้ง…หนึ่งทุ่มตรงตามเวลาโลกภายนอก ไคลน์ในสภาพถือหมวกและไม้ค้ำ อาศัยผลการทำนายคอยนำทาง เดินฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจนกระทั่งถึงยอดเขาแห่งหนึ่งพร้อมกับเดนิสและแอนเดอร์สันหลังจากเดินวนรอบหินก้อนใหญ่ที่มีน้ำแข็งจับตัวหนา ทั้งสามมองเห็นปากถ้ำมืดมิดขนาดใหญ่ หน้าทางเข้ามีสตรีคนหนึ่งกำลังยืนเฝ้ายามด้วยคันศรแบบโบราณเส้นผมของเธอดำขลับ นุ่มสลวย มัดหางม้าเรียบง่าย ใบหน้าอ่อนนุ่มกระจ่างใส แตกต่างจากชาวทวีปเหนือชัดเจนในสภาพสวมเสื้อโค้ทและกางเกงล่าสัตว์สีน้ำตาลทรงโบราณ หญิงสาวหันมาจ้องบุรุษทั้งสามคล้ายกับมีอะไรดลใจเมื่อเห็นปลายหูที่ค่อนข้างแหลมของเธอ ผนวกกับเรื่องราวที่เคยอ่านจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไคลน์เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใครสตรีผู้นี้คือเอลฟ์สาวที่เป็นเพื่อนร่วมทางคนแรกของคนยักษ์กรอซาย ในเนื้อหามิได้ระบุชื่อสกุลเอาไว้หากเปรียบกับโลกเก่า ชาวทวีปเหนือจะเหมือนกับชาวตะวันตก ส่วนเอลฟ์หญิงคนนี้มีเสน่ห์คล้ายคลึงชาวตะวันออก… ไคลน์สรุปความประทับใจแรกที่มีต่ออีกฝ่าย“เอลฟ์! เธอเหมือนกับเอลฟ์ในจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์!” แอนเดอร์สันโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น “ฉันอยากเจรจากับเธอ อยากได้เธอมาเป็นนางแบบในวาดภาพ!”เดนิสด้านข้างพ่นลมหายใจ กล่าวเย้ยหยัน“สัปดนจริง!”เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ชายคนนี้ยังไม่ลืมทุกคำเสียดสีของแอนเดอร์สัน“นายรู้จักแต่ภาพวาดแบบนั้นรึไง?” แอนเดอร์สันชำเลืองด้วยหางตา ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปหาเอลฟ์สาวเพียงเริ่มขยับตัว อีกฝ่ายโก่งคันศรโดยปราศจากความลังเล ลูกธนูสีเงินแวววาวถูกบรรจุเสร็จสรรพ“ห…หยุดก่อน!” แอนเดอร์สันรีบยกสองมือขึ้นระดับอกเปล่าประโยชน์… เอลฟ์ส่วนมากมักอยู่บนเส้นทางวายุสลาตัน เป็นพวกฉุนเฉียวและใจร้อน… ไคลน์แอบเปิดเนตรด้ายวิญญาณ เตรียมเข้าควบคุมขั้นต้นเพื่อเจรจากับอีกฝ่ายทันใดนั้น เบื้องหน้าแอนเดอร์สันพลันปรากฏ ‘ท่อนขา’ ขนาดมหึมาจำนวนสองท่อน สีเทาอมฟ้า กล้ามแน่นทุกมัด รวมไปถึงดาบเล่มใหญ่ที่ส่วนปลายจมลงในหิมะ!“…” แอนเดอร์สันพูดไม่ออกเมื่อพบว่า ตนสูงเลยหัวเข่าของท่อนขาตรงหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สายตาของนักล่าอันดับหนึ่งค่อย ๆ มองไล่จากปลายดาบขึ้นไปตามสัญชาตญาณจนกระทั่งแหงนคอเกือบสุด มันได้พบกับคนยักษ์สูงเกือบสี่เมตร!ผิวพรรณของยักษ์ตนนี้มีสีฟ้าอมเทา รอบสะโพก หน้าอก และหน้าท้องมีขนสัตว์หนาปกปิด แต่ส่วนอื่นล้วนเปลือยเปล่า ไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่าเท้าและท่อนขาในสภาพถือดาบเล่มมหึมาที่กว้างยิ่งกว่าบานประตูของมนุษย์ คนยักษ์ก้มมองไคลน์และแอนเดอร์สันด้วยดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวงอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์“พวกเจ้าเป็นใคร… มาทำอะไรในค่ายของกรอซาย”ขณะไคลน์เตรียมมอบคำตอบ บุคคลที่คุ้นเคยได้เดินออกจากปากถ้ำสีดำขนาดใหญ่ ภาพดังกล่าวทำให้ดวงตาของเดนิสลุกวาวในสภาพสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มและกางเกงขายาวสีน้ำตาล ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่ากวาดตามองผู้มาเยือนทั้งสาม ทันใดนั้น สีหน้าอันเย็นชาที่หญิงสาวสวมไว้ตลอดเวลา พลันเผยความตกตะลึงหลังจากเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์และแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเต็มสองตาแต่เพียงไม่นานก็กลับสู่ปรกติ เธอเงยหน้าขึ้นและกล่าวกับคนยักษ์“กรอซาย พวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน”กรอซายเผยรอยยิ้ม ซักถามด้วยน้ำเสียงเจือความยินดี“พวกเจ้าก็มาช่วยข้าจัดการกับยูลิเซี่ยนเหมือนกันหรือ?”ยูลิเซี่ยน? ไคลน์ตอบสนองไม่ถูกไปสักพักทันใดนั้น ชายหนุ่มเห็นเอ็ดวิน่าที่ยืนใต้เงาคนยักษ์ขยิบตาให้ตน เป็นนัยบอกใบ้ให้ตอบว่าใช่“ใช่”“ฮะฮะ! ถ้าอย่างนั้น พวกเราคือสหาย!” กรอซายก้มมองมนุษย์ทั้งสาม ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขขณะอีกฝ่ายกำลังพูด แอนเดอร์สันแอบชำเลืองเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลางกระซิบเสียงแผ่ว“ฉันเพิ่งเคยเห็นคนยักษ์ตัวเป็น ๆ ก็คราวนี้… ไม่มีทางโจมตีใส่จุดอ่อนได้เลย หมอนี่สูงเกินไป!”โจมตีเล็บเท้าไปก่อนก็แล้วกัน… ไคลน์พึมพำ ตอบกลับเสียงห้วน“ยิ่งตัวใหญ่ก็ยิ่งพลาดเป้ายาก”“…นั่นสินะ” แอนเดอร์สันเห็นพ้องขณะเดียวกัน เอ็ดวิน่าเดินเข้ามาใกล้คนทั้งสามพร้อมกับกล่าวแนะนำ“นี่คือหัวหน้าค่าย กรอซาย คนยักษ์ผู้พิทักษ์”“ทางนี้คือผู้ขับขานแห่งเอลฟ์ เซียธาส”ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์? หมายถึงผู้ขับขานสมุทร? ไคลน์เริ่มพบความหวังในการหาสูตรโอสถให้มิสเตอร์แฮงแมนเอ็ดวิน่าหมุนตัวครึ่งรอบ กล่าวกับกรอซายและเอลฟ์หญิงเซียธาส“พวกเขาเป็นเพื่อนของฉันเอง… นักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุด เกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักล่าสมบัติ แอนเดอร์สัน·ฮู้ด และกะลาสีคนดัง เดนิส”“…” เราเคยคิดว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งจะเป็นพวกจริงจังและเกลียดการโกหกเสียอีก… กะลาสีคนดัง… หึหึ อย่างน้อยก็มีส่วนจริงล่ะนะ… ไคลน์ถอดหมวกคำนับอย่างนอบน้อม ส่วนแอนเดอร์สันทำตามลวก ๆเดนิสโล่งใจเมื่อได้ยินได้กัปตันแนะนำตนในฐานะมิตรสหาย มิใช่ลูกน้อง แต่หลังจากผ่านไปสักพัก มันเริ่มพบความผิดปรกติในคำพูดกรอซายหัวเราะในลำคอ“เข้าไปในค่ายเถอะ พวกเรากำลังจะทำศึกกับยูลิเซี่ยน!”เป็นกันเองและมีชีวิตชีวามาก… น่าแปลก ไม่ว่าจะในบันทึกของโบสถ์หรือตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ คนยักษ์จะถูกนิยามว่าเป็นพวกใจร้อนเสมอ นอกจากนั้นยังเกรี้ยวกราด จ้องแต่จะทำลาย… นั่นสินะ ในหนังสือจะเขียนอะไรขึ้นมาก็ได้ ขอให้สอดคล้องกันเป็นพอ… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย ตามกรอซายเข้าไปในปากถ้ำกว้างเห็นดังนั้น เอ็ดวิน่ารีบขยับเข้าไปใกล้คนทั้งสาม ทำทีว่ากำลังเดินนำทาง แต่ความจริงแล้วแอบกระซิบสองสามประโยค“ประวัติศาสตร์ที่พวกเขาเล่าให้ฟังค่อนข้างแปลก… ภาษาก็ด้วย ไม่ว่าใครจะพูดภาษาไหน ทุกคนล้วนเข้าใจตรงกัน”
คอมเม้นต์