ราชันเร้นลับ 689 : ดีหรือร้าย
หลังจากคนตีระฆังคาโน่ได้ยินชื่อแฟรงค์·ลี สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน“อา… เขาเป็นคนใจดีและใสซื่อ แต่บางครั้งก็ใสซื่อจนทำให้คนกลัว”เห็นด้วย… ไคลน์เดินลงบันได ตามหลังคนตีระฆังพลางชวนคุยเรื่อยเปื่อย“สนิทกับเขาไหม”คาโน่เดินต่อไปสักพักโดยไม่ตอบ จนกระทั่งหันมากล่าว“ฉันเป็นผลผลิตที่ล้มเหลว เต็มไปด้วยปัญหา มีแต่คนหัวเราะเยาะ แฟรงค์เป็นเพียงไม่กี่คนที่มองว่าฉันปรกติ ปฏิบัติต่อฉันด้วยจิตใจอันงดงาม”“แล้วเขาออกจากโบสถ์พระแม่ธรณีทำไม” ในสภาพถือกระเป๋าเดินทาง ไคลน์ซักถามทั้งที่ทราบคำตอบอยู่แล้วคาโน่เดินออกจากหอนาฬิกา มองหาเส้นทางสักพักก่อนจะเดินต่อ“ฉันเองก็ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด… แฟรงค์เป็นเด็กกำพร้า เติบโตในวิหาร รักทุกคนเหมือนครอบครัว มองว่าพระแม่คือมารดาของตน… เขาเป็นคนที่มีความคิดไม่เหมือนใคร ในตอนแรก แฟรงค์มีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งบิชอปของมุขมณฑล แต่สุดท้ายเกือบถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหานอกรีต”แฟรงค์เคยเล่าเรื่องนี้… เขาถูกขับไล่เพราะพยายามผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างกระทิง วัว และข้าวสาลี… ว่ากันตามตรง ถึงจะเป็นเราก็คงส่งแฟรงค์ขึ้นศาลเหมือนกัน… เหตุผลเดียวที่เขายังไม่สร้างความฉิบหายใด เพราะลำดับพลังยังค่อนข้างต่ำอยู่ มีข้อจำกัดในหลายด้าน… ไคลน์พึมพำเงียบงัน เดินตามคนตีระฆังคาโน่ไปตามถนน เลี้ยวเข้าตรอกด้านหลังโบสถ์นักบุญเดรโก้คาโน่เดินเข้าไปในบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง สั่นกระดิ่งทุกสองวินาที รวมทั้งหมดสามครั้งผ่านไปสักพัก เสียง ‘กึกกึก’ ดังใกล้เข้ามา ประตูเปิดพร้อมเสียงเสียดสีไคลน์มองเห็นคนผู้หนึ่งสวมโค้ทสั้นสีดำ ชายชราที่มาพร้อมไม้ค้ำแข็งแรงผิวพรรณชายชราขาวเนียนราวกับหิมะ ใบหน้าปราศจากริ้วรอยเด่นชัด สวมผ้าคาดตาสีดำปกปิดดวงตามิดชิด“ท่านสมาชิกสภา มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีธุระจะคุยด้วย”สมาชิกสภาริคคาร์ด? นี่คือสมาชิกสภาริคคาร์ด? ตาบอดหรือ? ไคลน์เพียงเคยได้ยินเสียง แต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนริคคาร์ดขยับใบหูเล็กน้อย บรรจงหันศีรษะมาทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เผยรอยยิ้มและกล่าว“ขอโทษที่ต้องออกมาพบในสภาพนี้… หลังจากตื่นนอนเมื่อเช้า ผมมีลางสังหรณ์ว่าไม่ควรเปิดตามองสิ่งใดในวันนี้ เพื่อมิให้เกิดอุบัติเหตุจึงต้องสวมผ้าปิดตาตลอดเวลา”ตอบแบบนี้ก็ได้หรือ… ยังกับนักต้มตุ๋นมืออาชีพ… ไคลน์ทั้งขบขันและประหลาดใจในเวลาเดียวกันแต่เพียงไม่นาน ชายหนุ่มเริ่มแปลความหมาย ‘ลางสังหรณ์’ ของอีกฝ่ายออก บางทีอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นหากริคคาร์ดมองมาทางตน!ไคลน์ยังจำได้แม่น อสรพิษปรอท วิล·อัสตินเคยกล่าวไว้ว่า ผู้วิเศษเส้นทางสัตว์ประหลาดสามารถมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมิอาจ ไม่เว้นแม้แต่ ‘ความพิเศษ’ ภายในตัวไคลน์ แม้กระทั่งเด็กชายอาเดมิทอร์ในเมืองทิงเก็น เพียงได้มองมาทางชายหนุ่ม โลหิตพลันทะลักออกจากดวงตา ล้มลงไปดิ้นทุรนทุรายบนพื้นอย่างน่าเวทนาสมาชิกสภาริคคาร์ดสามารถคาดเดาอนาคตล่วงหน้า จึงสวมผ้าปิดตาเตรียมไว้… ไคลน์ที่ไม่มีงานอดิเรกชอบเห็นคนอื่นเจ็บตัว สลัดความคิดฟุ้งซ่านและซักถามเปลี่ยนประเด็น“มีเบาะแสเกี่ยวกับสมบัติวิเศษที่ผมต้องการหรือยัง”“ยัง” สมาชิกสภาริคคาร์ดกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากฟื้นฟูร่างกาย ผมเดินทางไปบายัมและบังเอิญได้พบกับสมาชิกระดับสูงของกองทัพเรือ รอยคิงจึงถูกช่วยเหลือออกมาสำเร็จ แต่นั่นทำให้เสียเวลาไปมากทีเดียว”ไคลน์ที่พอจะเดาได้ ไม่เผยสีหน้าประหลาดใจ“ถ้าอย่างนั้น ผมขอเปลี่ยนเป็นความช่วยเหลือทางอื่น… ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่เผลอสัมผัสกับจิตรกรรมฝาผนังของ ‘เทวทูตโชคชะตา’ จนถูกสาปให้โชคร้าย อยากให้คุณช่วยปัดเป่า”สมาชิกสภาริคคาร์ดครุ่นคิดสักพัก“ไม่มีปัญหา คุณนำทางผมไป ห้ามพาเขาออกมา ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุ”ไคลน์พยักหน้ารับ ระหว่างเดินเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งพลางถือกระเป๋าเดินทาง ชายหนุ่มถือวิสาสะถาม“มิสเตอร์ริคคาร์ด รู้อะไรเกี่ยวกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายบ้าง”จากมุมมองของไคลน์ โรงเรียนกุหลาบและโรงเรียนชีวิตที่มีความขัดแย้งระหว่างกันอย่างรุนแรง ย่อมทราบข้อมูลของกันและกันในเชิงลึกริคคาร์ดถือไม้ค้ำเดินตามมาจากด้านข้าง แม้จะไม่มีใครช่วยพยุงหรือคอยนำทาง แต่สมาชิกสภาก็เดินได้อย่างชำนาญประหนึ่งมิได้สวมผ้าปิดตาริคคาร์ดหัวเราะในลำคอ“กล่าวกันว่า มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายเป็นร่างอวตารของ ‘เทพผู้ถูกล่าม’ แห่งโรงเรียนกุหลาบ แต่ผมกลับคิดตรงกันข้าม เทพผู้ถูกล่ามต่างหากที่เป็นร่างอวตารของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย เหตุผลของผมก็คือ ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรียเคยกล่าวว่า ลำดับ 0 ของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ยังคงว่างอยู่ ฮะฮะ… คุณรู้จักลำดับ 0 ใช่ไหม?”“รู้จัก” ไคลน์ตอบกระชับ ไม่พล่ามจนเกินพอดี มิได้กล่าวออกไปว่าตนเองก็รู้จัก ‘ภารดรภาพแสงพิสุทธิ์’ริคคาร์ด ‘อืม’ ในลำคอก่อนจะกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบตัวตนที่แท้จริงของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย ไม่ทราบเส้นทางที่แน่ชัดของท่าน หรือบางทีนั่นอาจเป็นตัวตนที่แท้จริงแล้ว… นอกจากนั้น ผมมีข้อมูลที่สอดคล้องกันจะเล่าให้ฟัง… มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายและดวงจันทร์บรรพกาลเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน คล้ายกับมีบางสิ่งขัดแย้งจนไม่สามารถกลมเกลียวกันได้ เป็นเหตุให้โรงเรียนกุหลาบมักทำตัวเป็นศัตรูกับพวกเราเสมอ… แต่ในบางครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายและดวงจันทร์บรรพกาลก็ซับซ้อนจนยากทำความเข้าใจ คุณอาจคิดไม่ถึงว่า บนทวีปใต้มี ‘ราชาหมอผี’ ที่นับถือดวงจันทร์บรรพกาลแต่เข้าร่วมกับโรงเรียนกุหลาบอยู่ด้วย… เจ็ดโบสถ์หลักอาจเกลียดชังเทพมารอย่างพระผู้สร้างแท้จริง แม่มดบรรพกาล และด้านมืดเอกภพ แต่พวกเขาเกลียดชังดวงจันทร์บรรพกาลและมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายยิ่งกว่า… เช่นเดียวกันกับที่ชุมนุมแสงเหนือ นิกายแม่มด และนิกายมอสส์ไม่ชอบหน้าโรงเรียนกุหลาบสักเท่าไร”เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก… มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายคือหนึ่งในสองเทพที่ถูกกีดกันมากที่สุด? ไคลน์ครุ่นคิดพลางโบกรถม้า ยืนมองคนตีระฆังคาโน่และสมาชิกสภาริคคาร์ดขึ้นไปก่อนหลังจากตัวเองขึ้นตามมา คนขับรถม้าถูกกำชับให้ขับไปยังโรงแรมไม่ไกลผ่านไปไม่กี่อึดใจ รถม้าแล่นถึงปลายทาง ขณะไคลน์กำลังลงจากรถ เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจนทำให้ถนนทั้งเส้นสั่นสะเทือน เศษกระจกหน้าต่างจำนวนมากร่วงกราวลงบนพื้นบ้าน่า… ความซวยของแอนเดอร์สันทำงานอีกแล้ว? สัมผัสวิญญาณแจ้งกับไคลน์แบบนั้น และดันเป็นความจริงเสียด้วย โชคดีที่นักล่าเจ้าของดวงซวยยังคงมีชีวิตอยู่ชายหนุ่มมองออกไปนอกรถม้า เห็นกำแพงใหญ่พังถล่มลงมาจากชั้นสองของโรงแรม เปลวเพลิงและควันดำยังคงหลงเหลือทันใดนั้น ชายผมทองยุ่งเหยิง ปรากฏกายด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วสักเท่าไร บ่นพึมพำในลำคอ“เจ้าพวกนั้นบ้าบิ่นชะมัด… กล้าซื้อขายอาวุธกันในโรงแรม แถมยังเป็นระเบิดรุ่นใหม่ เกือบทำให้เราตายโดยไม่รู้ตัว… โธ่… กระเป๋าเดินทาง…”ไคลน์ก้มมองกระเป๋าเดินทางในมือตน ภายในใจกำลังคิดว่า โชคดีที่ตนไม่ประมาทและหยิบติดมือไปด้วยชายหนุ่มหันกลับมา ช่วยพยุงริคคาร์ดลงจากรถม้าแอนเดอร์สันสัมผัสบางสิ่งได้ หันมาเผยรอยยิ้มขื่นขมและกล่าว“พวกพ่อค้าอาวุธสมัยนี้ไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย โชคดีที่เป็นเวลากลางวัน แขกในโรงแรมมีไม่มากนัก… เจ้าของโรงแรมน่าสงสารมาก งานนี้คงเสียหายยับเยิน แต่ด้วยทองคำที่พวกพ่อค้าพกติดตัวมา คงพอจะช่วยชดเชยความเสียหายได้อยู่”แต่ฉันกลับคิดว่า สิ่งที่ควรโทษมากที่สุดคือความซวยของนาย… ไคลน์พยักหน้า หันไปกล่าวกับสมาชิกสภาริคคาร์ด“เป็นเขา”ริคคาร์ดมองแอนเดอร์สันในสภาพปิดตามิดชิดสมาชิกสภาเว้นวรรคสองสามวินาที ตามด้วยเผยรอยยิ้ม“ส่งเหรียญทองมาหน่อย”“หือ?” แอนเดอร์สันหยิบเหรียญทองโลเอ็นจากกระเป๋าเสื้อด้วยสีหน้าประหลาดใจ หันไปยิ้มให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์เล็กน้อย “ตามธรรมเนียมของบ้านเกิดฉัน พวกเราจะเย็บกระเป๋าลับขนาดเล็กติดกับเสื้อผ้าตัวในสุด ใส่เหรียญเข้าไปสองสามเหรียญ… ตอนแรกไม่เชื่อ ก็เลยไม่ได้ทำ แต่พักหลังมามีแต่ความซวย…”ขณะเล่า มันโยนเหรียญให้ริคคาร์ดริคคาร์ดรับไว้อย่างไม่ยากเย็น หุบนิ้วทั้งห้า ชักมือกลับจากนั้นก็ยิ้มให้“เอาล่ะ ความโชคร้ายของคุณหายไปแล้ว”“หือ…?” แอนเดอร์สันหันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้างด้วยสีหน้าตกตะลึง คล้ายกับกำลังพูดว่า ‘นายไม่ได้พาพวกต้มตุ๋นมาหลอกฉันใช่ไหม’ไคลน์เองก็ประหลาดใจพอสมควร แต่ก็เลือกจะเชื่อในตัวริคคาร์ด ชายคนนี้เป็นถึงสมาชิกสภาแห่งชะตาริคคาร์ดเก็บเหรียญทอง หัวเราะในลำคอและพูด“คำสาปอับโชคที่คุณได้รับในคราวนี้ไม่ใช่อะไรรุนแรง ถ้าไม่เชื่อผม ลองแวะบ่อนพนันและเสี่ยงโชคดูก็ได้”“เข้าท่า!” แอนเดอร์สันตบมือหนึ่งฉาด เดินไปทักชาวเมืองใกล้เคียงเพื่อถามหาบ่อนพนันที่ใกล้ที่สุดผ่านไปไม่นาน มันกลับมาพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตสะอาดเอี่ยม ดวงตามองไปทางริคคาร์ดที่ยืนรอบนถนน เตรียมอ้าปากกล่าวบางสิ่งแต่ทันใดนั้นก็ชะงัก ปิดปากสนิทไปพักหนึ่ง อมยิ้มพลางขอบคุณรอจนกระทั่งครึ่งเทพถูกส่งกลับขึ้นรถม้า แอนเดอร์สันเดินเข้ามาหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างอารมณ์ดี“เมื่อครู่ฉันกำลังจะพูดว่า คนตาบอดอย่างคุณไม่น่าจะมองเห็นโชคชะตาของคนอื่นได้เลย… แต่บังเอิญนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นครึ่งเทพ…”ถ้าพูดออกไป นายคงเป็นนักล่าที่มีจุดจบน่าสมเพชที่สุด เสียชีวิตทันทีหลังจากโชคร้ายถูกปัดเป่า… ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนา เพียงหันไปถาม“เบาะแสของปืนลูกโม่?”เนื่องจากยุบพองหิวโหยมีข้อจำกัดพอสมควร ชายหนุ่มจึงอยากได้สมบัติวิเศษที่โจมตีได้หนักหน่วงมาทดแทนแอนเดอร์สันปรับแต่งทรงผม หัวเราะในลำคอและพูด“อยู่ที่บายัม… คนขายคือเพื่อนของฉันเอง เมื่อก่อนเคยเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งมาก แต่เกิดเบื่อชีวิตที่เต็มไปด้วยอันตรายและไม่แน่นอน จึงใช้เงินเก็บซื้อไร่เครื่องเทศสองสามแห่ง แต่งงานกับผู้หญิงดีๆ และออกจากวงการถาวร… เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากมีลูก เขาเกิดความคิดใหม่ อยากให้ลูกเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี ได้รับการศึกษาคุณภาพสูง มีชีวิตที่มั่นคงและปล่อยภัย จึงวางแผนย้ายไปเบ็คลันด์ ที่นั่นมีทั้งโรงเรียนทางวิชาการและโรงเรียนรัฐคุณภาพสูง… แต่เขาไม่อยากเช่าบ้าน และไม่อยากขายคฤหาสน์ในบายัมที่ยังคงสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ผนวกกับการที่สมบัติวิเศษเริ่มกลายเป็นส่วนเกินของชีวิต เขาจึงตัดสินใจขายปืนลูกโม่… ในช่วงที่ผ่านมา ฉันมัวแต่ติดตามคณะล่าสมบัติเข้าไปในเขตน่านน้ำพิเศษ จึงไม่ทราบว่าเขาขายออกไปแล้วหรือยัง แต่เชื่อว่าสินค้าราคาเกือบหมื่นปอนด์คงหาคนซื้อไม่ง่ายนัก”“ตกลง พาฉันไปหาเขา” ไคลน์ตอบเสียงเรียบ…บนฝันทองคำ เดนิสกำลังประสบปัญหาที่ชวนให้ตื่นตระหนกกัปตันของมันหายตัวไปสามวันแล้ว!…………………………………………………
คอมเม้นต์