ราชันเร้นลับ 684 : เผชิญหน้า
เพล้ง!ขณะจิลเซียสหันได้เพียงครึ่งตัว แก้วเบียร์ตกลงบนโต๊ะกลมด้านข้างพร้อมกับแตกละเอียดแม้จะได้ยินเสียงปืน แต่มันก็มิได้คิดหลบ คล้ายกับรับรู้โดยสัญชาตญาณว่านั่นคือภาพลวงตา ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายที่มีสิงห์พนันขี้เมาหมอบลงหรือไม่ก็วิ่งหนีตายอลหม่าน จิลเซียสดีดตัวขึ้นประหนึ่งสปริง สายตาจ้องเขม็งไปทางนักผจญภัยที่สวมหมวกและโค้ทสำหรับสุภาพบุรุษ ณ ทางเข้าผับเกอร์มัน·สแปร์โรว์… จิลเซียสพลันหดรูม่านตา อ้าปากกว้างพร้อมกับพึมพำ ‘ภาษากัดกร่อน’ จากนรกทันใดนั้น ไคลน์เหนี่ยวไกปืนของจริง ส่งกระสุนสีทองซีดที่คล้ายกับเพิ่งออกจากหม้อต้มพุ่งตรงมาทาง ‘จอมเชือด’ เจ้าของค่าหัวเก้าพันห้าร้อยปอนด์ทว่า จิลเซียสเพียงยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย กางห้านิ้วออกพร้อมกับจุดไฟสีฟ้าอ่อนบนฝ่ามือ ใช้สิ่งนี้หยุดกระสุนให้แน่นิ่งอย่างน่าเหลือเชื่อในวินาทีที่เปลวไฟสีฟ้าแข็งตัว กระสุนถูก ‘จองจำ’ กลางอากาศ เกิดแสงสีทองสว่างวาบออกจากตัวกระสุน สลายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่าด้านข้างจิลเซียส สองบุคคลลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง คนหนึ่งเป็นสตรีผมสั้นถือปืนสั้นสองกระบอก อีกคนหนึ่งเป็นบุรุษกำยำสวมนวมชกมวยเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พวกมันแวะท่าเรือทอสคาร์เตอร์เพื่อเติมเสบียง จิลเซียสจึงไปไหนมาไหนเป็นกลุ่ม หรือไม่ก็ เป็นคนรู้จักของมันที่บังเอิญอยู่ในร้านพอดี!ผู้วิเศษสามคน… จิลเซียสน่าจะอยู่ลำดับ 5… ในวินาทีนี้ ไคลน์นึกอยากโพล่งออกไปว่า ‘ขอโทษที่เข้ามารบกวน’การจะโจมตี ‘ปีศาจ’ ไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ ต้องอาศัยความบังเอิญโดยแท้จริง แถมยังต้องปราศจากความลังเล ไม่อย่างนั้น ศัตรูจะรับรู้ถึงจิตสังหารและภัยคุกคามส่งผลให้ ฝ่ายที่เปิดก่อนจึงไม่ได้ถือครองความได้เปรียบเสมอไป!ไคลน์หันรีบหมุนตัว ในสภาพถือลูกโม่ด้วยมือข้างหนึ่ง ชายหนุ่มแหวกผ่านกลุ่มคนจำนวนมากของผับ ผ่านศีรษะสิงห์พนันขี้เมาที่กำลังนั่งยอง วิ่งตรงไปยังบันไดซึ่งนำไปสู่ชั้นสองของผับด้วยความเร็วสูงขณะกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าใกล้เป้าหมาย ลูกไฟสีฟ้าอ่อนพุ่งกระแทกราวบันไดพร้อมกับขยายตัวและระเบิดออกบึ้ม!ส่วนล่างของบันไดยุบหายไปครึ่งหนึ่ง อาคารผับสั่นสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งหลัง กลิ่นกำมะถันลอยฟุ้งเข้มข้นจิลเซียสและพรรคพวกทั้งสองกระโจนขึ้นมายังบันไดสองขั้นแรกอย่างคล่องแคล่ว ไล่ล่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์สุดชีวิตตึก! ตึก! ตึก!ไคลน์รีบเผ่นหนีขึ้นชั้นสอง ระหว่างทางเปิดเนตรด้ายวิญญาณด้วยความชำนาญอาศัยพลังดังกล่าว ชายหนุ่มสามารถระบุได้ทันทีว่าห้องไหนไม่มีคนพักอาศัย ไคลน์เลือกพังประตูห้องหนึ่งพร้อมกับบิดเอวเล็กน้อย ทำท่าเตรียมกระโดดออกจากหน้าต่างเพื่อหนีออกจากผับขณะเดียวกัน จิลเซียสและพวกพ้องที่ไล่ตามมาถึงชั้นสอง เมื่อเห็นฉากดังกล่าวเข้า พวกมันรีบกระจายตัวอย่างชำนาญ รายแรกไล่ตามไคลน์เข้าไปในห้อง ส่วนอีกสองคนแยกไปเข้าห้องด้านข้างที่อยู่ฝั่งเดียวกัน เตรียมกระโดดตามลงไปเพื่อไล่ล่าต่อและนี่คือสิ่งที่ไคลน์รอคอย!ในเสี้ยววินาที ชายหนุ่มหมุนตัวกลับครึ่งรอบ ฝ่ามือข้างซ้ายที่สวมถุงมือดำ ทำท่าบีบอากาศอันว่างเปล่าพร้อมกับบิดข้อมือหญิงสาวผู้ใช้ปืนคู่ และชายกำยำสวมนวมชกมวย ยังคงทำตามแผนเดิมโดยไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากห้องด้านข้าง พวกมันรีบกระโดดออกจากหน้าต่าง จากนั้นก็หายตัวไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาจุดประสงค์เดิมของพวกมัน ‘แยกกันไปขัดขวางศัตรู’ ได้ถูกไคลน์ใช้พลังบารอนแห่งการเน่าเปื่อย ‘บิดเบือน’ ให้เป็น ‘แยกกันทำงาน’ !ถึงแม้จะแสดงผลไม่นาน แต่ก็มากพอจะเปิดโอกาสให้ไคลน์ได้ดวลตัวต่อตัวกับจิลเซียส!ตุ้บ! หลังจากบิดเบือนเสร็จ ชายหนุ่มโน้มตัวลง กลิ้งไปบนพื้นห้องเพื่อหลบกลุ่มลูกไฟสีฟ้าอ่อนที่จิลเซียสกระหน่ำยิงใส่เกิดเสียงระเบิดดังอึกทึกเป็นระยะ อาคารผับสั่นคลอนหนักหน่วงราวกับมีแผ่นดินไหวในละแวกใกล้เคียงถัดมา จิลเซียสพุ่งไปด้านหน้า ตรงเข้าห้องพักที่ค่อนข้างใหญ่ได้เห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กระโดดกลิ้งไปมาอย่างชำนาญ ไม่ชอบเผชิญหน้ากับตนโดยตรง ‘จอมเชือด’ ควบคุมสติพร้อมกับขยับปาก เปล่งถ้อยคำชั่วร้ายออกมาเป็นภาษาปีศาจ“เชื่องช้า!”คล้ายกับทุกสิ่งภายในห้องหยุดนิ่งกะทันหัน การกลิ้งตัวของไคลน์เชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ขาดความต่อเนื่องและราบรื่นจิลเซียสยังคงพุ่งเป้ามายังคู่ต่อสู้อย่างแน่วแน่ เปล่งภาษากัดกร่อนเพิ่มเติมอีกหนึ่งคำ“ตาย!”ร่างกายไคลน์พลันแข็งทื่อ ชะงักค้างในตำแหน่งเดิม แต่ไม่นานก็เริ่มหดตัวในลักษณะแบนราบ กลายเป็นกระดาษรูปคนที่ปกคลุมด้วยคราบสนิมสีแดงแทบจะในเวลาเดียวกัน บุรุษสวมโค้ทกระดุมสองแถวและหมวกผ้าไหมตรงกึ่งสูง ปรากฏกายที่ข้างประตูห้อง มือซ้ายซึ่งสวมถุงมือดำสนิทจับลูกบิดแน่น ดึงซากประตูกลับเข้ามาปิดห้องและลงกลอนปึง!เสียงรบกวนจากภายนอกพลันอันตรธานหาย คล้ายกับมิติภายในถูกตัดขาดจากโลกด้านนอกโดยสมบูรณ์ ประหนึ่งกรงปิดตายที่แข็งแกร่งได้เห็นเช่นนั้น ร่างกายจิลเซียสเริ่มพองโต เสื้อผ้าเกิดการปริแตกเพียงไม่นาน มันกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสูงกว่าสามเมตร ผิวพรรณดูหม่นหมอง ทั้งคล้ำและมอบความรู้สึกชั่วร้าย เขาแพะสองกิ่งที่งอกกึ่งกลางหน้าผาก เต็มไปด้วยลวดลายลึกลับนับไม่ถ้วน แผ่นหลังมีปีกค้างคาวสยายออกกว้าง รายล้อมด้วยเปลวไฟสีฟ้าอ่อนที่แผ่กลิ่นกำมะถันคละคลุ้งซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!ลูกไฟสีฟ้าอ่อนเริ่มกระหน่ำยิงพร้อมเพรียง พุ่งถล่มบริเวณประตูห้องอย่างไร้ความปรานี ขณะเดียวกัน ดวงตาสีแดงของจิลเซียสพลันส่องแสง ปากขยับกล่าวถ้อยคำกัดกร่อน“กัดกร่อน!”นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการโจมตีระยะไกล!ไคลน์กำหมัดซ้ายแน่นพร้อมกับดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน ตามด้วยการบิดข้อมือครึ่งรอบกลุ่มลูกไฟสีฟ้าพลันสูญเสียวิถี ประสบความปั่นป่วนและไร้ทิศทางประหนึ่งอนุภาคโมเลกุลบ้างกระแทกเพดาน บ้างชนประตู บ้างกระทบพื้นห้อง บ้างลอยกลับไปหาศีรษะของจิลเซียส ภายในห้องเกิดเสียงระเบิดโครมครามอย่างต่อเนื่อง ‘ผนึก’ ที่ไคลน์ใช้พลังบิดเบือนสร้างขึ้นเริ่มสั่นสะเทือนหนักหน่วง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีร่องรอยความเสียหายเปลวไฟสีฟ้าพลันสว่างวาบและลอยสูงขึ้นด้านบน เมื่อบรรยากาศเริ่มปกคลุมด้วยกลิ่นกำมะถันเข้มข้น ร่างกายไคลน์เริ่มทรุดตัว ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยของเหลวสีดำเหนียวหนืดบึ้ม!ร่างของชายหนุ่มเกิดการระเบิด เศษกระดาษกระจัดกระจายท่ามกลางกลุ่มหมอกสีดำสนิทขณะเดียวกัน ไคลน์โผล่จากอีกด้านหนึ่งของห้อง ผิวหนังหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เสื้อผ้าเสียหายจากแรงระเบิดและเปลวไฟจากนรก ปรากฏรูโหว่ชำรุดหลายแห่งว่ากันตามตรง พลัง ‘กัดกร่อน’ ซึ่งโจมตีเป็นวงกว้าง สามารถแก้ทางพลัง ‘กระดาษคนตัวแทน’ ของไคลน์ได้ชะงักงัน ไม่มีทางหลบหลีกความเสียหายพ้นทั้งหมด และสะเก็ดความเสียหายก็มากเกินกว่าจะมองข้าม หรือกล่าวได้ว่า พลังชนิดนี้สามารถทำให้ไคลน์ตกที่นั่งลำบากอย่างไรก็ตาม ในการปะทะกันหนแรก ชายหนุ่มได้ ‘มอบ’ แก้วเบียร์ให้จิลเซียสเพื่อทำการ ‘ติดสินบน’ ส่งผลให้พลังทำลายและผลข้างเคียงของ ‘กัดกร่อน’ ลดลงจากปรกติมาก!แต่จิลเซียสย่อมคาดไม่ถึงในเรื่องนั้น ชะล่าใจคิดว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คงกำลังบาดเจ็บหนักจากพลังกัดกร่อน จึงทำการดึงดาบยาวที่สร้างจากเปลวเพลิงอย่างใจเย็น แต่ขณะเตรียมโจมตีซ้ำด้วยความดุดันและแข็งกร้าว หางตาจิลเซียสเหลือบไปเห็นถุงมือซ้ายของศัตรูส่องแสงสีทองเพียงพริบตา สายฟ้าสองเส้นพุ่งออกจากดวงตาไคลน์!ทะลวงจิต!“อั่ก!”จิลเซียสส่งเสียงครวญคราง คล้ายกับถูกน้ำมนต์ร้อยขวดสาดใส่อาศัยประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชน มันรู้ตัวทันทีว่าถูกเล่นงานด้วยทะลวงจิต และทราบว่าจะถูกโจมตีตามติดอีกหลายชุด สัญชาตญาณปีศาจจึงสั่งให้ร่างกายแปรสภาพเป็นของเหลวสีดำ ไหลซึมไปตามพื้นห้องและกระจายตัวของเหลวซึ่งดูราวกับสั่งสมแรงกระหายอันท่วมท้นในใจมนุษย์เอาไว้ ไหลไปตามพื้นห้องโดยมีเป้าหมายเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ด้วยบรรยากาศคุกคามดุจดังพร้อมจะกัดกร่อนทุกสรรพสิ่งสภาพแบบนี้… รับมือได้ยากมาก… หากศัตรูของ ‘ปีศาจ’ ไม่เตรียมความพร้อมหรือมีข้อมูลล่วงหน้า คงได้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแน่… โชคดีที่เราคอยเตือนตัวเองเสมอว่า อีกฝ่ายมีพลังของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย จึงระงับอารมณ์มิให้พลุ่งพล่านจนเกินพอดี… ไคลน์ไม่คิดหลบหลีก ถุงมือซ้ายพลันถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์บริสุทธิ์และสว่างจ้าแขนสองข้างกางออก สร้างลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อาบด้วยเพลิงสีทองอร่าม พุ่งลงมาจากความว่างเปล่าเบื้องบน มอบความสว่างไปยังทุกซอกทุกมุมของห้อง ไม่มีเงาใดหลงเหลือเล็ดลอด!ลำแสงพุ่งกระทบของเหลวในจุดที่มืดที่สุด ก่อนจะแผ่ออกไปยังบริเวณข้างเคียงในลักษณะคลื่นกระเพื่อมท่ามกลางแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์ ของเหลวสีเข้มส่วนใหญ่ระเหยไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังเหลือส่วนน้อยที่ขจัดไม่หมดจิลเซียสรีบคืนสภาพเดิม ก่อตัวเป็นร่างกายใกล้กับหน้าต่างยังคงเป็นรูปลักษณ์ของปีศาจสูงเกือบสามเมตร ท่าทางสุขุมเยือกเย็น แต่ความกระหายเลือดและจิตสังหารอันเข้มข้น เริ่มเอ่อล้นจนยากจะปกปิดให้มิดชิดสภาพปัจจุบันของมันค่อนข้างอ่อนแอ จึงไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม รอให้อารมณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เกิดความแปรปรวนไปเอง จะได้เล่นงานด้วยการควบคุมแรงกระหาย เขาแพะสองกิ่งบนหน้าผากจิลเซียสเริ่มลุกไหม้ เตรียมโจมตีใส่จิตใจของศัตรูโดยตรง หวังให้อารมณ์บางชนิดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถูกกระตุ้นและเมื่อเกิดแรงปรารถนา ความกระหายดังกล่าวจะถูก ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ใช้เป็นจุดอ่อนเล่นงาน!ทว่า สติจิลเซียสกลับเริ่มวิงเวียนหนักหน่วง รุนแรงชนิดที่ว่า แผนการที่วางไว้เมื่อครู่เกือบเลือนหายไป!นับตั้งแต่ที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่เกินห้าเมตร ไคลน์ไม่ขยับตัวมากนัก พยายามใช้พลังกระดาษคนตัวแทนและพลัง ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ ประคองสถานการณ์ ถ่วงเวลาให้ยืดออกไป นั่นเพราะชายหนุ่มกำลังเบี่ยงความสนใจเพื่อใช้ ‘ด้ายวิญญาณ’ ควบคุมร่างกายจิลเซียส!ตามปรกติแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของร่างวิญญาณผู้วิเศษลำดับ 5 การใช้ด้ายวิญญาณเข้าควบคุมขั้นต้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เนื่องจากจิลเซียสถูก ‘ติดสินบน’ ด้วยเบียร์หนึ่งแก้ว ระดับการป้องกันจึงลดลงจากปรกติ และหลังจากนั้น ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายยังถูก ‘ทะลวงจิต’ และ ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ เล่นงานต่อเนื่อง จึงไม่แปลกที่ร่างวิญญาณจะอ่อนแอลงดังนั้น แม้ไคลน์ต้องแบ่งสมาธิไปใช้พลังอื่น แต่ก็ยังสามารถควบคุมร่างจิลเซียสในระดับขั้นต้นได้ภายในเวลาสิบห้าวินาทีการต่อสู้อันดุเดือดสงบลงในพริบตา อย่างไรก็ตาม ถึงสติของจิลเซียสจะเริ่มเฉื่อยชาลงไปบ้าง แต่ก็ยังกระทำบางสิ่งได้อยู่ อย่างเช่นการพยายามดิ้นรนขัดขืน ‘พลังควบคุม’ ซึ่งมีต้นตอมาจากก้นบึ้งจิตใจดวงตาสีแดงสุขุมของมันกำลังสะท้อนร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เขาแพะทรงโค้งกึ่งกลางหน้าผากเริ่มลุกไหม้อย่างเกรี้ยวกราด มวลอารมณ์มหาศาลจำพวกความเกลียดชัง ความโลภ ตัณหา ความโกรธ และอีกมาก กำลังแผ่ขยายไคลน์กำลังอยู่ในภาวะกึ่งเข้าฌาน เพ่งสมาธิกับการ ‘ควบคุม’ ศัตรูอย่างใจเย็น พยายามทำให้จิลเซียสหมดสิทธิ์ขัดขืนโดยเร็ว…………………………………………….
คอมเม้นต์