ราชันเร้นลับ 671 : ชื่อที่สี่
บางอย่างแปลกๆ? ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงลางร้าย แต่ภายนอกยังคงถามอย่างใจเย็น“จับได้อะไร?”“ปลาที่มีนิ้วอยู่ในท้อง!” โดยไม่ปล่อยให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ถามต่อ แฟรงค์รีบวิ่งออกไปนอกห้องอาหารและกลับมาในเวลาไม่นาน ในมือถือปลาประหลาดตัวสีน้ำเงินเข้มความยามของปลาอยู่ในเกณฑ์ปรกติ ดวงตามีเปลือกตาครอบเหมือนมนุษย์ ช่องท้องถูกผ่าออกจนมองเห็นสามนิ้วชุ่มเลือดด้านใน“ฉันไม่ได้เป็นคนใส่เข้าไป มันมีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว! พิจารณาจากปากของมัน นิ้วมือพวกนี้ไม่น่าจะเป็นอาหาร หมายความว่าต้องงอกขึ้นมาเองจากภายใน! แต่ฉันยังหาคำตอบไม่ได้ว่า นิ้วพวกนี้ส่งผลอย่างไรกับตัวปลาบ้าง” แฟรงค์รีบเล่าสมมติฐานไคลน์ชำเลืองปลาด้วยหางตา กล่าวหลังจากใคร่ครวญ“อาจถูกใครบางคนยัดเข้าไปก็ได้”“ก็อาจจะใช่… ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ใช่ปลาประหลาด…” แฟรงค์ผงะเล็กน้อย สีหน้าเผยความผิดหวังชัดเจน “นิ้วมือประกอบด้วยเลือดและเนื้อ… ฉันจะไปถามฮีธ เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้”ขณะกล่าว แฟรงค์กวาดตามอง พบฮีธ·ดอยล์กำลังนั่งหลบมุมกินอาหารแฟรงค์รีบขยับเข้าไปใกล้ ปลาประหลาดสีน้ำเงินเข้มถูกวางบนลงหน้า ‘ผู้ไร้เลือด’ฮีธ·ดอยล์เหยียดแขนออก วางมือลงบนตัวปลาพร้อมกับขยับใบหน้าเข้าไปใกล้เห็นฉากตรงหน้า แฟรงค์พลันตระหนักว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้องมันรีบตอบสนอง ฉีกยิ้มกว้างละกล่าว“อย่ากิน! นี่ไม่ใช่อาหารของนาย แล้วอีกอย่าง นายกินปลามากเกินไปแล้ว ถึงขั้นที่กลิ่นคาวปลาโชยหึ่งออกจากร่างกาย… สิ่งที่ฉันอยากถามก็คือ นิ้วในท้องปลาคืออะไร ใครเป็นเจ้าของพวกมัน?”ฮีธ·ดอยล์หยุดการนำใบหน้าเข้าไปใกล้ มอบคำตอบหลังจากตรวจสอบเล็กน้อย“เป็นของบิชอปกุหลาบ… อย่างน้อยก็ต้องระดับบิชอปกุหลาบ”มันนำนิ้วทั้งสามออกมาวาง กองรวมกันในสภาพชุ่มเลือดผ่านไปสักพัก นิ้วทั้งสามเริ่มละลายคล้ายเทียนไข กลายเป็นบ่อเลือดเนื้อเหนียวข้นเลือดเนื้อยุบพองสักพัก จนกระทั่งก่อตัวเป็นอักษรสีแดงสว่างบนโต๊ะอาหารใจความว่า :“ช่วยด้วย!”นิ้วของบิชอปกุหลาบ… ช่วยด้วย… เห็นภาพตรงหน้า ไคลน์ที่ยืนไม่ห่างเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวมันหวนนึกถึง ‘นักบุญมืด’ เลโอมาสต์ในโลกความฝัน!นักบุญแห่งชุมนุมแสงเหนือรายนี้ติดอยู่ในซากปรักหักพังสักแห่ง เนื่องจากถูกพลังที่หลงเหลือจากเทวทูตหรือเทพสักตนบนเส้นทางผู้ชม แบ่งจิตใต้สำนึกออกเป็นฝ่ายดีและชั่ว จึงถูกกักขังอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานบุคลิกด้านดีและชั่วเกิดมาเพื่อขัดแย้ง มักกระทบกระทั่งกันภายในใจ และฝ่ายชั่วค่อยๆ กุมความได้เปรียบมากขึ้นทีละนิด ส่งผลให้ฝ่ายดีที่คอยหลบซ่อนอยู่ในใจ พยายามขอความช่วยเหลือหมายความว่า นิ้วทั้งสามคือการดิ้นรนจากจิตด้านดีของเลโอมาสต์? พิจารณาจากฐานะของ ‘นักบุญ’ แห่งชุมนุมแสงเหนือ เขาคงผ่านเส้นทางคนเลี้ยงแกะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีพลังพิเศษของบิชอปกุหลาบ… ไคลน์พยักหน้าพลางครุ่นคิด เชื่อว่าทฤษฎีของตนใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง“ช่วยด้วย? ช่วยยังไง?” แฟรงค์·ลีจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยสีหน้างุนงงนายต้องไปถามกัปตัน ไม่ใช่ฉัน… ไคลน์ส่ายหน้า“อย่าไปใส่ใจ… ทะเลแถบนี้มีแต่เรื่องประหลาด”ชายหนุ่มให้ความเห็นโดยอ้างอิงจากความฝันก่อนหน้า ด้านมืดของเลโอมาสต์ได้เปรียบเหนือด้านดีอย่างมาก หากหวังจะช่วยก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับครึ่งเทพ จริงอยู่ว่าอาจมีบุคลิกด้านดีคอยช่วยเหลือ แต่ก็คงลดทอนพลังของ ‘นักบุญมืด’ ได้ไม่มากนัก อีกฝ่ายยังคงแข็งแกร่งระดับครึ่งเทพจริงอยู่ ราชินีเงื่อนงำเองก็อยู่บนอนาคตกาล หากเธอยื่นมือช่วยก็ยังมีโอกาสสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ถ้าการช่วยบุคลิกด้านดีของเลโอมาสต์เป็นเรื่องง่ายเช่นนั้นจริง ไคลน์เชื่อว่า ‘ราชินี’ คงลงมือด้วยตัวเองไปนานแล้ว สาเหตุที่เธอเพิกเฉย คงเพราะมีอุปสรรคบางอย่างคอยกีดขวางยกอย่างเช่น… จุดที่เลโอมาสต์ถูกขังอยู่ มีพลังซึ่งสามารถ ‘แยกบุคลิก’ ของสิ่งมีชีวิตในละแวกใกล้เคียง จนแม้แต่ราชินีเงื่อนงำก็ไม่กล้าเสี่ยง… กระทั่งในความฝันเลโอมาสต์ เรายังตึงมือจนเกือบตกที่นั่งลำบาก โชคดีที่นำคทาเทพสมุทรออกมาแก้ปัญหาได้… หากพบกันอีกครั้งบนโลกความจริง บุคลิกของเราคงถูกแบ่งแยก กลายเป็นหนึ่งในคนไข้โรงพยาบาลจิตเวช และต้องรักษาโดยการยืมเทียนไขจิตฝันร้ายจากหลวงพ่อยูทรอฟสกี้… ก็ยังมีทางรักษาสินะ… หึหึ อีกวิธีหนึ่งคือการให้มิสจัสติสช่วย แต่ตัวเธอในตอนนี้เธอยังแข็งแกร่งไม่พอ… ระหว่างใช้ความคิด ไคลน์รำพันติดตลก“เข้าใจแล้ว” แฟรงค์·ลีเชื่อใจเกอร์มัน·สแปร์โรว์ “บางที คนที่ขอความช่วยเหลืออาจจะตายไปแล้วก็ได้”กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของมันพลันแวววาว จ้องไปทางฮีธดอยล์และกล่าว“นายลบตราประทับทางจิตที่หลงเหลือในบ่อเลือดเนื้อนี่ได้ไหม?”“ได้” ฮีธ·ดอยล์ตอบห้วนแฟรงค์·ลีฉีกยิ้ม ท่าทางคล้ายกับเด็กอ้วนหนักสองร้อยปอนด์“ฉันนึกสงสัยในส่วนประกอบเลือดเนื้อของบิชอปกุหลาบมาตลอด… อยากได้ตัวอย่างมาวิจัยทฤษฎีผสมข้ามสายพันธุ์นานแล้ว… ผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงกันนะ”แล้วสักวัน นายจะต้องตายเพราะการทดลองของตัวเอง… ช่างเถอะ อีกไม่นานเราก็จะออกจากเรือลำนี้… ไคลน์รู้สึกราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กซนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเล่นในคลังแสงฮีธ เจ้าของใบหน้าเกือบโปร่งใส ผงะไปสองวินาที ก่อนจะกล่าวจากใจจริง“ขอบคุณมาก”“หือ? เรื่องอะไร?” แฟรงค์เกาศีรษะ เผยใบหน้าฉงนน่าจะขอบคุณเรื่องที่นายพยายามเก็บงำความอยากรู้อยากเห็นมาตลอด ไม่สติแตกใช้พวกพ้องคนสำคัญเป็นตัวอย่างในการทดลอง… ไคลน์ยกมุมปากเล็กน้อยขณะถอดความนัย พลางคิดว่าระบบสมองของรองกัปตันและผู้ช่วยกัปตันแห่งอนาคตกาลค่อนข้างไม่ปรกติ…หมู่บ้านยามบ่าย ภายในซากปรักหักพังวิหารนักล่าปีศาจโคลินที่ยืนข้างนักบวชชุดคลุมสีขาว ซักถามเสียงแผ่ว“เหล่าราชาคือใครบ้าง? อะไรคือหายนะร้ายแรง? ใครเป็นผู้ล่อลวงซาสเรีย?”แต่คล้ายกับนักบวชไม่ได้ยิน ยังคงก้มต่ำในจุดเดิม สารภาพบาปหนแล้วหนเล่า ประหนึ่งเป็นเพียงภาพตกค้างที่ถูกฉายซ้ำชายคนนี้เป็นวิญญาณอาฆาต ภูตผี หรือวิญญาณมารกันแน่? เดอร์ริคจ้องอย่างกังวลเมื่อนักล่าปีศาจโคลินไม่เห็นการตอบสนองจากอีกฝ่าย มือขวาเริ่มเหยียดออก ปลายดาบสีเงินที่ฉาบด้วยน้ำมันสีเงินอ่อนขยับเข้าใกล้ทีละนิดแต่แม้นปลายดาบจะจ่อติดท้ายทอย นักบวชยังคงก้มกราบสำนึกผิด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอากัปกิริยาโคลิน·อีเลียดชักดาบเงินกลับ ดวงตาที่ส่องแสงสีเขียวเข้มกวาดไปรอบตัวจากนั้น มันเดินตรงไปยังแท่นบูชาที่อยู่เยื้องในแนวเฉียง ดวงตาเพ่งมองเทียนไขที่กำลังส่องแสงเหลืองนวลหลายวินาทีผ่านไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเจ้าเมืองเหยียดแขนซ้าย ดับเปลวไฟของเทียนไขซากเทวรูปกึ่งกลางแท่นบูชาพลันหมองหม่น ชายสวมชุดคลุมสีขาวหยุดการสารภาพบาปทันทีมันเงยศีรษะขึ้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าดำมืด ดวงตาแฝงความอาฆาตเดอร์ริค ฮาอิม และคนที่เหลือต่างตอบสนองไม่ทัน เนื่องจากนักบวชผู้มากศรัทธาที่หมอบกราบจนถึงเมื่อครู่ พลันพุ่งกระโจนด้วยความเร็วที่สามารถทำให้เกิดภาพตกค้างแต่ดูเหมือนนักล่าปีศาจโคลินจะเตรียมพร้อมตลอดเวลา ขยับเท้าขวาเฉียงไปด้านหน้าเล็กน้อย หมุนตัวกลับหลังครึ่งวงกลมพร้อมกับตวัดกวาดดาบเงินในมือในจุดเหนือใบดาบ ประกายแสงพลันสว่างวาบ ก่อตัวเป็นวังวนพายุในพริบตาพายุแสงบริสุทธิ์เริ่มดูดกลืนทุกสิ่งรอบตัว ส่งให้นักบวชลอยค้างกลางอากาศเล็กน้อย ก่อนจะกลืนกินเข้าไปอย่างสมบูรณ์พายุสงบลงในเวลาไม่นาน นักล่าปีศาจโคลินยืนจ้องนักบวชที่ถูกแสงรุ่งอรุณซึมซาบเข้าไปในร่างกายอย่างท่วมท้น พลางทวนซ้ำคำถาม“เหล่าราชาคือใครบ้าง? อะไรคือหายนะร้ายแรง? ใครเป็นผู้ล่อลวงซาสเรีย?”นักบวชที่ร่างกายเริ่มพร่ามัว มอบคำตอบอย่างเหม่อลอย“เหล่าราชาคือซาสเรีย โอโรเลอุส เมดีซี และ…”ขณะกำลังจะเอ่ยชื่อที่สี่ เปลวไฟโปร่งใสพลันลุกท่วมร่างนักบวช!เพลิงครอกทุกอวัยวะของร่างกาย แผดเผาจนกลายเป็นเพียงแก๊สสีดำดูเหมือนว่า ‘ราชา’ ที่ว่าจะหมายถึงราชาเทวทูต… นามที่สี่เป็นใครกัน ทำไมถึงทำลายตัวเองเพียงเพราะพยายามเอ่ยออกมา? เป็นผู้ที่ล่อลวงซาสเรีย หรือเป็นคนอื่น? เดอร์ริคเต็มไปด้วยคำถามเมื่อนักบวชตายไป ถนนด้านนอกรวมถึงหมู่บ้านยามบ่าย พลันมีเสียงคล้ายสัตว์ป่าร้องระงมเดอร์ริคจ้องไปทางหน้าต่างตามสัญชาตญาณ จนได้พบกับใบหน้าขนาดมหึมาณ จุดที่เคยเป็นกระจก นอกจากดวงตาหนึ่งดวง ยังมีขนสั้นดกดำบนใบหน้าตึง! ตึง! ตึง! สัตว์ประหลาดที่คล้ายกันพลันพรั่งพรูเข้ามาภายในวิหาร ส่วนสูงเท่ากับมนุษย์ปรกติ แต่ตามลำตัวปกคลุมไปด้วยขนสั้นสีดำคล้ายสัตว์ป่า“หมู่บ้านที่ถูกกัดกร่อนโดยสมบูรณ์…” โคลินถอนหายใจพลางเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ประหลาดเดอร์ริค ฮาอิม และโจชัวรีบประจำตำแหน่งต่อสู้ พยายามหยุดยั้งสัตว์ประหลาดที่เหลือ…อนาคตกาลแล่นอย่างสงบสุข เพียงไม่นานก็มาถึงยามค่ำคืนอีกครั้งหลังจากตื่นขึ้นในความฝัน ไคลน์พบว่าตัวเองถูกส่งมายังจุดเดิมจากครั้งก่อนหน้า ใกล้กับพลเรือเอกดวงดาวแคทลียาขณะชายหนุ่มเตรียมหันไปมองทัศนียภาพของวังราชาคนยักษ์บนภูเขาฝั่งตรงข้าม โดยหวังจะได้พบเบาะแสที่สำคัญ ทันใดนั้น แคทลียาซึ่งกำลังนั่งกอดเข่า ซักถามเสียงล่องลอย“คุณได้พบกับท่านแล้วหรือ?”ไคลน์ ‘อืม’ สั้นๆ โดยไม่ปิดบังแคทลียาเม้มปาก“ท่านอยู่บนเรือหรือ?”“ใช่” ไคลน์หันศีรษะ จ้องพลเรือเอกดวงดาวและกล่าวอย่างเป็นกันเอง “คุณมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเธอใช่ไหม”แคทลียาผู้มิได้กำลังล่องลอยหรือเฉื่อยชา เม้มริมฝีปากแน่น หัวเราะกับตัวเอง“ใช่… ฉันติดตามท่านตั้งแต่ยังไม่สามขวบ ฮะฮะ! ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฉันแทบไม่มีความทรงจำในช่วงเวลาดังกล่าวเลย… ท่านคอยมอบความรู้ พาฉันออกผจญภัย เฝ้ามองฉันเติบโตทีละนิด ท่านเป็นทั้งกัปตัน อาจารย์ แล้วก็… เป็นเหมือนกับ… แม่…”ขณะเล่า แคทลียาเงียบไปกะทันหัน………………………………………..
คอมเม้นต์