ราชันเร้นลับ 664 : แข่งกับเวลา
นางเงือก?ไคลน์พลันปลาบปลื้ม ความตื่นเต้นที่เคยห่างหายไปนาน กลับมาเกิดขึ้นในใจอีกครั้งนับตั้งแต่เริ่มเดินทางออกจากกรุงเบ็คลันด์ก่อนต้นเดือนเมษายน มันผ่านอะไรมากมาย จนในที่สุดก็มาถึงจุดหมายของการเดินทาง ได้พบกับเงื่อนไขสุดท้ายของการเลื่อนเป็นลำดับ 5 นักเชิดหุ่น!ยิ่งเดินทางบนทะเลเนิ่นนาน ความร้อนรนและกระวนกระวายก็ยิ่งทวีคูณ ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นบนอนาคตกาลนั้นน่าเหลือเชื่อ แค่คิดย้อนกลับไปยังชวนให้ขนหัวลุก แถมยังมีอันตรายที่มองไม่เห็นจากสามช่วงเวลาอันประกอบด้วยกลางวัน กลางคืน และโลกความฝันของสนามรบแห่งเทพ ทุกสิ่งบีบคั้นจนชายหนุ่มตึงเครียด ทุกนาทีผ่านไปอย่างทุกข์ทรมานแล้วตอนนี้ล่ะ? ทั้งอารมณ์และความกดดันที่สั่งสม ในที่สุดก็มีโอกาสได้ปลดปล่อยฟู่ว… ไคลน์หายใจเชื่องช้า กลับเข้าไปในห้องโดยสาร ตรงไปยังห้องพักของตนโดยไม่ตื่นตระหนักหรือหลงลืม มันดำเนินการตามแผนที่วางไว้ นำนกหวีดทองแดงของอะซิกและนกกระเรียนกระดาษออกมาวาง ใช้เป็นเครื่องมือขัดขวางการสอดส่องของราชินีเงื่อนงำที่อาจเกิดขึ้นชายหนุ่มหยิบพลังวิญญาณตกค้างของวิญญาณอาฆาต ดวงตาการ์กอยล์หกปีกหนึ่งคู่ เปลือกต้นมังกร และขวดโลหะที่บรรจุน้ำพุทองคำบนเกาะโซเนียออกจากกระเป๋าเดินทาง วางเรียงรายบนโต๊ะอ่านหนังสือ เข้าห้องน้ำ ล็อกประตู และประกอบพิธีกรรมรับมอบอย่างชำนาญหลังจากเตรียมพิธีกรรมเสร็จ มันไม่รีบเข้ามิติเหนือหมอกไปตอบสนอง แต่ลงมือประกอบพิธีกรรมอื่นซ้อนทับ – พิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง!เดินถอยหลังสี่ก้าว ท่องคาถาเสียงต่ำ ไคลน์ส่งตัวเองเข้ามิติหมอก ตอบสนองต่อพิธีกรรมอัญเชิญและส่งร่างวิญญาณออกมายังโลกจริง เพื่อนำถุงมือ ‘อินธน์’ กลับสู่มิติหมอกเทาไคลน์มิได้ผ่อนคลายเมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนแรก รีบนำตัวเองมายังที่นั่งเดอะฟูล เสกกระดาษและปากกา เขียนประโยคทำนายอย่างรวดเร็ว“เพลงที่ได้ยินมาจากนางเงือก”ถอดจี้บุษราคัม ยืนยันสถานการณ์ด้วยพลังทำนายเป็นนางเงือกที่กำลังร้องเพลงด้านหน้าอนาคตกาล!ไคลน์พยายามสงบสติอารมณ์ กวักมือเสกให้กล่องบุหรี่โลหะลอยออกจากกองขยะ หล่นลงบนโต๊ะทองแดงยาวที่มีร่องรอยความเก่าแก่กริ๊ก ฝากล่องเปิดออก ‘ดวงตาดำล้วน’ ที่ปราศจากรูม่านตากำลังนอนแน่นิ่งอย่างสงบ สัมผัสได้ถึงความอันตรายและบ้าคลั่งอย่างเจือจาง แต่อยู่ในสภาพหลับใหลจ้องมองเงียบงันราวสองวินาที ไคลน์หยิบอินธน์ขึ้นมาสวมที่มือขวาเมื่อเตรียมตัวเสร็จ ชายหนุ่มไม่ลังเลอีกต่อไป เหยียดมือขวาไปข้างหน้า กางนิ้วทั้งห้าออกจากกันทัศนียภาพพลันถูกย้อมด้วยกลุ่มแสงสีสันฉูดฉาด ทั้งสีเทา เขียวทองแดง แดงเข้ม และสีดำ ทั้งหมดคือสีพื้นหลักของมิติลึกลับแห่งสายหมอกเมื่อมองเข้าไปในดวงตาดำล้วน สีดำเหล็กกำลังวูบวาบและโอบกอดสีที่เหลือทั้งหมดไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสัมผัสวิญญาณ อาศัยเพียงข้อมูลของศาสตร์เร้นลับที่เคยศึกษามา ไคลน์ทราบได้ทันทีว่า แสงสีดำเหล็กหมายถึงการกัดกร่อนทางจิตของ ‘พระผู้สร้างที่แท้จริง’!ท่ามกลางความตื่นตัว มันงอนิ้วจับเป้าหมาย ตามด้วยบิดข้อมือแสงสีดำเหล็กถูกดึงออกในคราวเดียว ผสานเป็นหนึ่งกับถุงมืออินธน์ และเพียงพริบตา ไคลน์ได้ยินเสียงเพรียกซึ่งอัดแน่นด้วยความชั่วร้าย น่ากลัว และอธิบายไม่ได้ ที่มันคุ้นเคยเป็นอย่างดีเสียงดังกล่าวทำลายสตินึกคิดชายหนุ่มโดยสมบูรณ์ ลบเลือนจิตใจ นำพาความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ราวกับศีรษะจะระเบิด แต่ก็ถูกพลังของมิติหมอกเทาสยบไว้ในทันทีไคลน์ไม่มัวครุ่นคิดให้เสียเวลา รีบทำตามแผนที่เคยซักซ้อมมาหลายหน ใช้มือซ้ายกระชากถุงมืออินธน์ออกจากมือขวา โยนลงบนพื้นหินของราชวังอันโอ่อ่าเมื่อเสียงเพรียกเลือนหาย ไคลน์รีบคว้าดวงตาดำล้วนที่ปลอดพิษภัย ตอบสนองต่อพิธีกรรมรับมอบ ส่งตะกอนพลังที่จำเป็นสำหรับ ‘นักเชิดหุ่น’ ผ่านประตูมายาลงไปยังแท่นบูชาภายในห้องน้ำชายหนุ่มไม่คิดผลาญเวลา เพียงชำเลืองสายตาไปมองถุงมืออินธน์ที่กำลังแผ่กลิ่นอายความชั่วร้าย ถูกย้อมด้วยสีเหล็กดำ นิ้วทั้งห้าบิดเบี้ยว และกึ่งกลางฝ่ามือฉีกขาด จากนั้นก็รีบส่งจิตดำดิ่งกลับไปยังโลกแห่งความจริงถ้าเราปล่อยให้ยุบพองหิวโหยเห็นสภาพของอินธน์เมื่อครู่ น่าสนใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร… ไคลน์ที่ลืมตาขึ้น หยิบดวงตาดำล้วนจากแท่นบูชา แต่ขณะกำลังจะเดินออกไป ชายหนุ่มฉุกคิดบางสิ่งได้กะทันหันมันเดินไปหยุดหน้าโต๊ะอ่านหนังสือ หยิบหม้อนมเหล็กที่นำมาจากครัวของอนาคตกาลขึ้นมาวาง เทน้ำพุทองคำจากเกาะโซเนียลงไปแปดสิบมิลลิลิตรของเหลวสีทองอ่อนยุบพองอย่างเชื่องช้า โปร่งใสและกระจ่างชัด ใครก็ตามที่ได้เห็นเป็นต้องอยากยกซดเพื่อดับกระหายทั้งเปลือกต้นมังกร ดวงตาคู่หนึ่งของการ์กอยล์หกปีก และพลังวิญญาณตกค้างของวิญญาณอาฆาตโบราณ ล้วนถูกไคลน์จับโยนลงหม้อ ก่อให้เกิดการตอบสนองที่แตกต่าง จนกระทั่งสีหลักของเนื้อโอสถกลายเป็นทองเข้ม แต่กลับดูบางเบา ปราศจากน้ำหนักท่ามกลางช่วงเวลาสำคัญ ไคลน์ที่เยือกเย็นจนน่าเหลือเชื่อ หยิบดวงตาดำล้วนซึ่งปราศจากรูม่านตาด้วยความไม่ประหม่า วางลงบนเนื้อโอสถเหลวในหม้อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การกัดกร่อนทางจิตของพระผู้สร้างแท้จริง มิอาจทะลุทะลวงมิติหมอกกลับมายังดวงตาดำล้วนได้!นี่คือสิ่งที่มันหวังให้เป็นมาตลอด!เมื่อดวงตาดำล้วนจมลงไปในของเหลวสีทองเข้ม ฟองอากาศเริ่มลอยขึ้นมาบนผิวทุกฟองแตกออกจนเนื้อโอสถเริ่มกลายเป็นสีดำ จนกระทั่งผ่านไปราวสิบวินาที การเปลี่ยนแปลงทุกชนิดได้หยุดลงภายในหม้อนม โอสถสีดำล้วนเริ่มจับตัวกัน ดูคล้ายกับหนอนแมลงตัวเล็ก ๆ ที่ยากจะเห็นด้วยตาเปล่าจำนวนมาก กำลังยุบพองอยู่ภายในไคลน์นำเหรียญทองออกมา รีบดีดทำนายยืนยันผลลัพธ์เมื่อคำตอบออกมาในเชิงบวก มันถอนหายใจพลางเทโอสถ ‘นักเชิดหุ่น’ ลงในขวดโลหะที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนจะสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อชายหนุ่มไม่รีบร้อน ไม่กระวนกระวาย ทำตามขั้นตอนอย่างใจเย็น รีบเก็บกวาดแท่นบูชาภายในห้องน้ำ รวมไปถึงนกหวีดทองแดงของอะซิกและนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสตินจากนั้น ไคลน์ออกจากห้องพัก ตรงไปทางดาดฟ้าเรือในวินาทีนี้ อักขระเวทมนตร์และลวดลายประหลาดบนผิวเรืออนาคตกาลกำลังส่องแสงจนเด่นชัด ก่อให้เกิดท้องทะเลดวงดาวพราวพราย เสียงขับขานของนางเงือกถูกบรรเทาลงหลายส่วนมีข่าวลืออย่างหนาหูว่า เสียงเพลงของนางเงือกจะทำให้มนุษย์สิ้นสติ กลายเป็นคนบ้าและกระโดดลงจากเรือ ตกเป็นอาหารแสนโอชะของพวกหล่อนไคลน์เงยหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก มองไปทางหน้าต่างห้องกัปตันพลเรือเอกดวงดาวกำลังยืนรออยู่ รอบตัวรายล้อมด้วยมวลหมู่ดารา จ้องมาทางชายหนุ่มด้วยอารมณ์ซับซ้อนหรือว่าจะเธอจะจำบทสนทนาในความฝันได้? ไคลน์รำพันพลางกล่าวเสียงเรียบ“ขอเรือเล็กหนึ่งลำ”“พร้อมแล้ว” แคทลียาจ้องไปทางเรือเล็กด้านข้างโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าย้อนกลับไปในตอนที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่าจ้างอนาคตกาล มันเน้นย้ำจุดประสงค์อย่างชัดเจนว่า ตนต้องการตามหานางเงือก!โดยไม่รีรอ ไคลน์ออกจากอนาคตกาล หลุดพ้นจากขอบเขตการปกป้องของดวงดาวพราวพรายและเหยียบลงบนเรือเล็กในทะเลเสียงร้องอันพร่ามัวดังมาตามสายลม คล้ายกับพยายามทะลวงเข้าสู่ดวงวิญญาณโดยตรง สติชายหนุ่มพลันชาชินและไร้ความรู้สึก เริ่มอยากได้ยินได้ฟังมากกว่านี้ระยะห่างแค่นี้ยังไม่ใกล้พอ…ไคลน์รับรู้ได้จากสัมผัสวิญญาณ ตนต้องเข้าไปใกล้และฟังเสียงเพลงให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม จึงจะผ่านเงื่อนไขของพิธีกรรม“พายุ!”ไคลน์หยิบเครื่องรางที่ทำจากดีบุกสีขาว เรียกสายลมอันรุนแรงเผื่อผลักเรือเล็กให้แล่นไปข้างหน้าผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เสียงเพลงของนางเงือกดังขึ้นอย่างกะทันหัน ดังเสียจนไคลน์นึกว่าพวกหล่อนกำลังขับขานอยู่ข้างหู ทุกตัวโน้ตคล้ายกับกำลังทิ่มแทงร่างวิญญาณ ทุกท่วงทำนองเปี่ยมด้วยความมัวเมาและโหยหาไคลน์เริ่มสะลึมสะลือ เกือบกระโดดลงทะเลและว่ายไปตามเสียงร้องอันไพเราะมันพยายามดึงสติ ด้านหน้ามีแนวปะการังเรียงรายไม่ห่างออกไป ร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนขอบปะการังพลางร้องเพลงขับขานแผ่วเบาสิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีศีรษะเป็นมนุษย์ คิ้วและดวงตางดงาม หน้าอกใหญ่แต่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดงเข้ม ร่างกายท่อนล่างเป็นหางปลาขนาดใหญ่ ปลายหางกระทบปะการังเป็นจังหวะนางเงือกแต่ละตัวจะมีรูปโฉมที่แตกต่าง รวมไปถึงสีของเกล็ดและหาง ในสายตามนุษย์ ภาพเช่นนี้นับว่างดงามและแปลกตาไคลน์ปล่อยมือจากเรือเล็ก ยกแขนขวาล้วงกระเป๋า จับขวดโอสถขณะเดียวกัน บรรดานางเงือกที่ตระหนักถึงผู้มาเยือน ต่างหันมามองเป็นตาเดียวจากนั้น เหล่าสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อเรียกว่า ‘ไซเรน’ เริ่มหยุดร้องด้วยความตกใจ จ๋อม จ๋อม จ๋อม พากันกระโดดลงไปในน้ำอย่าไป… ไคลน์ใช้อุ้งมือขวาคว้าอากาศเบาๆ สองหนไหนบอกว่าพวกหล่อนร้องเพลงเพื่อหลอกล่อมนุษย์ไปกิน? แล้วทำไมพอมนุษย์มาหา ถึงได้พากันว่ายน้ำหนี? ฉันไม่ใช่คนเลว แค่จะมาฟังเพลงเฉยๆ … ภายในใจไคลน์กำลังเต็มไปด้วยคำถามแต่เพียงไม่นานก็พบว่า เสียงร้องของนางเงือกยังไม่เลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ ยังดังแผ่วเบามาจากแนวด้านนอกปะการัง ตรงจุดดังกล่าวยังมีนางเงือกอีกสองสามตัวหันหลังให้ มองไม่เห็นการหลบหนีของเหล่าพวกพ้อง ยังคงร้องเพลงอย่างกล้าหาญท่ามกลางสายลมรุนแรงไคลน์เริ่มใจชื้น ครุ่นคิดสักพักจึงหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่งเป็นยันต์ในขอบเขตเทพสมุทร ที่จะทำให้สัตว์ทะเลเป็นมิตรกับผู้ใช้!“พายุ!”ท่ามกลางเสียงคาถา เปลวไฟสีน้ำเงินลุกไหม้แผ่นดีบุกสีขาว สลายไปจากโลกความจริงและเหลือเพียงอากาศอันว่างเปล่าเมื่อพบว่านางเงือกยังไม่หนีไปแม้จะเห็นตนแล้ว ไคลน์รีบหยิบขวดโลหะที่บรรจุโอสถนักเชิดหุ่นออกมา คลายเกลียวฝามันไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันใดขึ้นบ้าง!อึก อึก อึก ยาขมนิดๆ ถูกเทเข้าไปในปากไคลน์พร้อมกับกลิ่นเหม็นอับ ผ่านหลอดอาหารตรงเข้าไปยังกระเพาะอาหารเพียงพริบตา ไคลน์พบว่าร่างกายของตนเริ่มแข็งทื่อ ประหนึ่งย้อนกลับไปสมัยอยู่เมืองทิงเก็นและถูกหุ่นกระบอก ‘2-049’ ทำให้ตกอยู่ในอาการเฉื่อยชาชายหนุ่มพยายามขยับข้อต่อที่คล้ายกับเต็มไปด้วยตะกั่วเหลวขณะเดียวกัน มันรู้สึกเหมือนมีหนอนแมลงตัวเล็กๆ แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูเซลล์ ไหลซึมเข้าสู่ร่างวิญญาณสมองเริ่มคิดได้เชื่องช้า สติสัมปชัญญะค่อยๆ เสื่อมความชัดเจนเสียงร้องอันไพเราะของนางเงือกช่วยกระตุ้นความปรารถนาจากก้นบึ้ง กระตุ้นความคลั่งไคล้และหลงใหล ช่วยรั้งห้วงอารมณ์สุดท้ายของไคลน์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ส่งผลให้สถานะความเฉื่อยชาเริ่มบรรเทาลงหมอกสีเทาเจือจางพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมกับเสียงเพรียกมายา ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย… โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ แต่หากเทียบกับเมื่อครั้งเลื่อนลำดับเป็น ‘นักทำนาย’ ‘ตัวตลก’ และ ‘นักมายากล’ เสียงเพรียกหนนี้ขาดห้วงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับถูกบางสิ่งแทรกแซงแตกต่างจากตอนที่เราเลื่อนลำดับเป็นผู้ไร้หน้า… เสียงเพรียกชัดเจนขึ้นจากเดิม… คล้ายกับกำแพงกั้นระหว่างหมอกสีเทาและโลกความจริงเสื่อมพลังลง… สติสัมปชัญญะของเรากลับมาแล้ว! ไคลน์ที่กำลังมีความสุข พยายามยกแขนขึ้นความเฉื่อยชาระหว่างข้อต่อยังไม่หายไป แต่เสื่อมฤทธิ์ลงหลายส่วน!ขณะเดียวกัน ไคลน์ ‘เห็น’ ว่ารูปลักษณ์ปัจจุบันของตนเป็นเช่นไรผิวสีแทน คล้ายกับตุ๊กตาที่ห่อด้วยผ้าพันแผลเก่าและถูกฝังทั้งเป็นนานหลายปีตุ่มเนื้อแต่ละเม็ดซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง ยุบพอง แยกตัว และกลับมารวมตัวไคลน์รีบจินตนาการถึงลูกบอลแสงในใจ อาศัยการเข้าฌานเพื่อให้สภาวะดังกล่าวหยุดลงระหว่างนี้ เสียงเพลงของนางเงือกยังคงดังก้องกังวานในโสตประสาท ช่วยถอนความเฉื่อยชาระหว่างข้อต่อและกล้ามเนื้อออก อาการตึงเกร็งตามร่างกายค่อยๆ เลือนหายไปผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์ลืมตาขึ้นพร้อมกับร่างกายที่กลับเป็นปรกติชายหนุ่มสูดลมหายใจ พึมพำอย่างเงียบงันด้วยอารมณ์เต็มเปี่ยม“ในที่สุด… ในที่สุดก็ลำดับ 5!”“ในที่สุดก็ได้เป็นนักเชิดหุ่น!”……………………………………….
คอมเม้นต์